ยิ่งลักษณ์ เป็นไพ่ที่ถูกละทิ้งไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง
ทักษิณและกุนซือตัดสินใจทิ้งไพ่ใบสุดท้ายเพื่อลากม็อบกำนันละเลงอยู่ในปลักเลือดพร้อมกับตัวไปด้วย ประมาณว่ากูเปียกมึงก็ต้องเปียกด้วย ยกระดับสถานการณ์ให้กลายเป็นการปะทะและความรุนแรง
ตั้งแต่การโยนระเบิดที่บรรทัดทอง ประคอง ชูจันทร์ตายแล้วจากนั้นก็มีการเจ็บตายอีกหลายครั้งล้วนแต่เป็นการจงใจทำร้ายกันกลางวันแสกๆ ทั้งสิ้น
ไพ่ใบสุดท้ายคือการละเลงเลือดที่ตีลงไปไม่ได้ต่ออายุรัฐบาลยิ่งลักษณ์พราะยังไงเธอไม่พ้นบ่วงป.ป.ช.ในเรื่องจำนำข้าวหรอก ละทิ้งยิ่งลักษณ์เพื่อรักษาระบอบทักษิณต่างหาก
ดังนั้นต่อให้เธอจะเป๋อจะเปิ่นทำอะไรบ๊องๆ อีกสักหลายครั้งก็ไม่มีผลอะไรกับอนาคตทางการเมืองของเธอแล้ว เพราะชีวิตทางการเมืองของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้ถูกคนที่ใหญ่กว่าประกาศิตให้ยุติลงแล้ว
ที่เหลืออยู่ก็แค่เป็นสัญลักษณ์ประคองรัฐบาลรักษาการณ์ไปวันๆ ไม่ได้ตัดสินใจอะไรเองทุกอย่างเป็นเรื่องของพี่ชายพี่สาว
จากนี้ไปก็เหลือแต่รอดูว่ารัฐบาลนี้จะจบลงแบบไหน
ก่อนหน้านี้รัฐบาลทำทุกทางหวังการเลือกตั้งมาต่ออายุตน พูดแบบตัวเลขกลมๆ เลือกตั้ง 2 ก.พ. มีคนออกจากบ้านมาราว 50% ถือว่าสูงใช้ได้เมื่อเทียบว่าฐานเสียงเดิมของปชป.หายไปราว 25%
แต่เมื่อลงลึกรายพื้นที่ก็พบว่าที่สูงๆ เกินมีนล้วนแต่อยู่ในเขตฐานเสียงพื้นที่ภาคเหนือตอนบนเป็นหลักช่วยฉุดเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยให้ดูดีขึ้นมา
แต่นี่มันแค่จำนวนผู้ใช้สิทธิ์ยังไม่ได้ลงลึกไปที่คะแนนที่หย่อนให้กับ “พรรคเพื่อไทยเบอร์15” ที่ไม่เท่าเดิมหรอก เอาแค่หลายหน่วยในเชียงใหม่เองกาให้เบอร์ 15 ไม่ถึง 30% ด้วยซ้ำ
ตัวเลขผู้ออกมาเลือกตั้งออกมาแล้วต่างก็เคลมกันไป ตัวเลขจริงแม้ไม่ประกาศออกแต่รัฐบาลก็คงมีวิธีนับจากทุกหน่วยเองคงรู้แล้วว่าไม่เท่าเดิม ที่สุดแล้วรัฐบาลหวังจะอ้าง 2 ก.พ.ต่ออายุก็อ้างได้ไม่เต็มปาก
หมุดหมายสำคัญ 2 ก.พ.ผ่านไปแล้ว การเผชิญหน้ายันกันก็ยังดำเนินอยู่ต่อไป รัฐบาลจะรักษาการณ์ไปเรื่อยๆ แบบที่มีตำแหน่งแต่อำนาจจำกัดลองไม่สามารถโยกย้ายใช้คนได้ กู้เงินไม่ได้ ก็หมดกันเท่านั้นเพราะที่อยู่ๆ กันก็เพื่อโครงการเงินกู้ทั้งหลายใช่ไหม
ไม่ต้องคิดแล้วครับโครงการอภิมหาลงทุนน้อยใหญ่ เลิกคิดหวังเถอะไอ้โครงการขยันใช้เงินภาษีนี่ อย่างตาปลอดประสพสั่งองค์การพัฒนาพิงคนครจ้างบริษัทเกี่ยวข้องกับเมียตัวเอง (อีกแล้ว)ปัดฝุ่นศึกษาพ่วงทำอีไอเอสร้างกระเช้าลอยฟ้าขึ้นดอยสุเทพ คราวนี้ไม่รู้ไปได้ไอเดียมาจากไหนบอกว่าจะสร้างกระเช้าชมดอยที่ยาวที่สุดในโลกประมาณ 10 กิโลเมตร
คนที่สติดีๆ ที่พอมีความรู้ส่ายหัวกันเป็นแถว เพราะธรรมชาติของเจ้ากระเช้าลอยฟ้ามีไว้เพื่อเดินทางลัด หรือทางลาดชันไม่สะดวก หรือไม่ก็ลัดผ่านพื้นที่ละเอียดอ่อนที่ต้องอนุรักษ์
เขาทำไว้เพื่อย่นระยะทาง ไม่มีใครบ้าอุตริออกแบบให้มันยาวที่สุดในโลกเข้าไว้ นั่งแช่จนตูดบานทีละ 10 กิโลเมตรหรอก
มี่แต่พวกอยากจะละเลงเงินแผ่นดินใช้เท่านั้นที่คิดทำโครงการบ้าๆ แบบนี้
นอกจากเงินกู้ 2 ล้านล้าน โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านก็ยังดีที่โครงการบ้าๆ หาเงินใช้พวกนี้ได้ระงับลงไปด้วยพร้อมๆ กับความเป็นรัฐบาลรักษาการณ์
สถานการณ์ตอนนี้ทั้งรัฐบาลเพื่อไทยศิษย์แม้วและทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมนกหวีดศิษย์กำนันต่างก็ยันกันด้วยความเหนื่อยล้ากันทั้งสองฝ่าย ชอบภาพที่คุณบรรจง นะแสเอามาโพสต์ในเฟซบุ้ค เป็นรูปนกกระแสคาบกบเข้าไปในปากแต่กบก็เอื้อมมือไปบีบที่คอนกกระสา ฝ่ายหนึ่งหากเหนื่อยขึ้นก็จะถูกอีกฝ่ายจัดการ คุณบรรจงบรรยายที่ภาพว่า
“สังคมไทยวันนี้...ดูสิว่าใครจะตายก่อนกัน”
สถานการณ์หลัง 2 ก.พ.ฝ่ายกลางๆ ที่เปิดตัวขึ้นมาแล้ว 70 กว่าองค์กรดูน่าเชื่อถือกว่าพวกแอ๊บขาว ยื่นข้อเสนอที่ทั้งสองฝ่ายต้องยอมถอย
รัฐบาลยอมแบ่งอำนาจบริหารให้คนกลางและฝ่ายค้าน เลิกทำโครงการใหญ่ มีรัฐบาลผสมเพื่อการปฏิรูป ให้เดินหน้าปฏิรูปภายในเวลาสั้นๆ ไม่เกินสองปีแล้วยุบสภาเลือกใหม่
ฝ่ายกำนันก็ต้องยอมถอยจากเป้าหมายการได้อำนาจเบ็ดเสร็จฝ่ายเดียว ยอมเข้าไปมีส่วนในอำนาจบริหารเพื่อการปฏิรูป โดยมีคนกลางๆ ที่เหลือในสังคมเข้าร่วม
ข้อเสนอแนวนี้หากออกมาในช่วงต้นๆ คงถูกถีบไปพ้นจากวงตะลุมบอน
แต่หลังจากนี้เป็นต้นไปพลังที่สามจะมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าทักษิณฉลาด ยอมสละพื้นที่อำนาจเดิม สละอวัยวะรักษาชีวิตประกาศพร้อมรับเงื่อนไขของฝ่ายกลางๆ ยอมไม่ลงทุนโครงการใหญ่ ไม่นิรโทษ ไม่แก้รัฐธรรมนูญ จะเท่ากับโดดเดี่ยวฝ่ายกำนันทันที
เขียนไปหลายรอบแล้วจะยังยืนยันความคิดเดิมว่า ในสภาพการ “ยัน” ยืดเยื้อกันแบบนี้เสียงของฝ่ายที่สามมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ