ตามแผนของ กปปส.ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศมาว่า จะเริ่มปฏิบัติการปิดกรุงเทพฯ วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2557 จนกว่าจะได้รับชัยชนะ มีการปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมืองสมความตั้งใจของ กปปส.
หลักการคร่าวๆ คือ ให้มีการปิดถนนเส้นสำคัญๆ ตั้งเวทีขึ้น 7 เวที ได้แก่เวทีสวนลุมพินี เวทีอโศก เวทีราชประสงค์ เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวทีห้าแยกลาดพร้าว เวทีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยให้เวทีแยกปทุมวันเป็นเวทีหลักที่นายสุเทพ จะมาประจำบัญชาการที่เวทีนี้เอง
ซึ่งการปิดกรุงเทพฯ นี้เริ่มกันตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ที่ 12 เพื่อเตรียมการกั้นถนน เปิดเวที และลำเลียงมวลชนเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมเมื่อถึงเวลาเช้าของวันที่ 13 ก็พร้อมรับมวลชนที่ทยอยกันเข้ามาในพื้นที่
ในขณะที่เขียนคอลัมน์นี้ ประชาชนยังหลั่งไหลเข้ามาในแต่ละเวที แต่ละจุดชุมนุมอย่างหนาตาหนาแน่น เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
ส่วนยุทธการตัดน้ำตัดไฟ สถานที่ราชการและบ้านนายกฯ กับคณะรัฐมนตรีนั้นยังไม่มีการดำเนินการ รวมทั้งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการบุกหรือเคลื่อนขบวนไปปิดสถานที่ราชการที่ไหนอย่างไร
จุดมุ่งหมายคือเพื่อจะปิดกรุงเทพฯ ให้เป็นถนนคนเดิน เพื่อตัดวงจรการทำงานของระบบราชการ แสดงให้ชาวโลกเห็นว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของคณะรัฐมนตรีรักษาการของยิ่งลักษณ์นั้น หมดความสามารถในการบริหารประเทศแล้ว และไม่เป็นที่ยอมรับเชื่อฟังจากประชาชนอีกต่อไป เรียกว่าเป็น Fail State ก็ว่าได้
ที่ได้ติดตามดู การจัดการในการชุมนุมเท่าที่ผ่านมานั้นยังถือว่าทำได้ดี แม้จะเป็นการตรึงหรือปิดกรุงเทพฯ เพื่อไม่ให้กลไกราชการที่ยังต้องรับใช้รัฐบาลรักษาการทำงานต่อไปได้ และเรียกร้องให้ข้าราชการออกมาเข้าร่วมกับมวลมมหาประชาชน แต่มาตรการต่างๆ นั้นก็ถือว่าได้จัดช่องทางผ่อนปรนไว้ตามสมควร เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความเดือดร้อนเกินไป เช่น ถนนเส้นที่มีการปิดล้อม ก็จะมีเส้นทางสำรองหรือถนนอื่นพอให้ประชาชนที่มีเหตุจำเป็นหรือมีบ้านอยู่ในจุดที่ปิดชุมนุมนั้นเดินทางไปได้บ้างไม่ถึงกับปิดตาย แม้จะต้องหลบต้องอ้อมหรือเข้าซอยต่างๆ บ้าง
รวมทั้งการที่ยังคงบริการขนส่งมวลชนและขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ เรือด่วน รถไฟลอยฟ้า รถไฟใต้ดินเอาไว้สำหรับการเดินทางของผู้ที่มีธุระหรือการงานต้องทำ
เห็นจากที่ประชาชนที่ยังต้องออกไปทำงานอยู่ ก็สามารถไปทำงานกันได้โดยปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางตามความเหมาะสมและเส้นทางที่ตัวเองต้องผ่าน
ถ้านับว่ามาตรการในการปิดกรุงเทพฯ นี้ เป็นเหมือนการผ่าตัดใหญ่ ซึ่งหวังผลเลิศคือการกำจัดโรคร้ายที่กัดกินประเทศไทยมาเป็นเวลากว่าสิบปี คือระบอบทักษิณ มาตรการปิดกรุงเทพฯ ก็ถือเป็นการผ่าตัดที่แรง แต่ก็ละมุนละม่อมเหมือนการให้ยาสลบหรือยาชา
ใครเคยผ่านการผ่าตัดหรือต้องนอนโรงพยาบาลนานๆ คงรู้ว่าไอ้การจะรักษาโรคร้ายแบบไม่ให้เจ็บเลยหรือเจ็บน้อยๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะดีกว่าเสียชีวิตหรืออวัยวะสำคัญ ดังนั้นจึงต้องเป็นหน้าที่ของหมอที่จะต้องใช้ฝีมือในการเลี้ยงรักษาสัญญาณชีพของคนไข้ไปจนกระทั่งการผ่าตัดสำเร็จลุล่วง
ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ว่าเท่าที่ผ่านมา ทาง กปปส. จัดว่าทำได้ดีพอประมาณแล้ว กล่าวคือไม่ได้ทำให้ประชาชนเดือดร้อนจนเกินไป ซึ่งตรงนี้ต้องขอให้รักษามาตรฐานไว้ระดับนี้ คือ “เจ็บปวด” ร่วมกันพอประมาณแต่ไม่ถึงกับตาย เพื่อผ่าตัดใหญ่เอาเนื้อร้ายออกไป
การต่อสู้ของมวลมหาประชาชนน่าจะบรรลุผลได้ในการต่อสู้ครั้งนี้ เนื่องจากจัดว่าเป็นช่วงที่อำนาจของฝ่ายระบอบทักษิณนั้นอ่อนแอจนถึงที่สุด เพราะประชาชนที่มีนัยสำคัญนั้นรู้ทันและไม่ยอมรับ กลไกการตรวจสอบต่างๆ หันหลังให้ และไม่สามารถควบคุมได้
สัปดาห์แห่งวิบากกรรมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่า “กรรม” กำลังเช็กบิลเครือข่ายทักษิณอย่างไร ได้แก่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ย้ำอีกครั้งว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ของสภาฯ ที่ครอบงำด้วยรัฐบาลรักษาการนี้เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่มิชอบซ้ำรอยคดีแก้รัฐธรรมนูญเรื่องให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดทั้งสภาฯ ที่ดับฝันเครือข่ายทักษิณที่จะครอบงำทีเดียวทั้งสองสภาฯ มาแล้ว
และทั้งการที่ ป.ป.ช.ก็ออกมาแจ้งข้อกล่าวหา ส.ส. และ ส.ว. จำนวน 309 คน ที่ร่วมกระบวนการดังกล่าว ส.ส.จำนวนมากในคราวนั้นเป็นว่าที่ ส.ส.หรือผู้สมัครในคราวนี้ ก็แน่นอนว่าอาจจะมีสถานะไม่สมบูรณ์ได้ หากถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดหรือดำเนินคดี
ยิ่งกว่านั้น การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่พยายามจะยื้อจะดึงให้ถึงนั้น ไม่อาจเป็นการเลือกตั้งที่สมบูรณ์ได้แน่เพราะจะเป็นการเลือกตั้งที่จะได้สภาไม่ครบองค์ประกอบ
คำขอของฝ่ายผู้สมัครที่ยื่นต่อศาลฎีกาซึ่งเป็นเหมือนลมหายใจเฮือกสุดท้ายถูกยก และต้องถือยุติตามนั้น แน่นอนว่าเมื่อการเลือกตั้งที่ต่อให้จัดได้ก็ไม่อาจสมบูรณ์ได้ เสียเงินเสียทองเปล่าๆ ฝ่ายผู้จัดการเลือกตั้งอย่าง กกต. ก็เห็นว่าไม่ควรจะจัด ให้เลื่อนออกไปก่อน และได้แจ้งมติเช่นนั้นให้รัฐบาลไปแล้ว
ข้อเท็จจริงนี้ ต้องฝากให้ชาวเสื้อขาว เฉพาะกลุ่มที่ไม่ใช่เสื้อแดงถอดเสื้อออกมาผสมโรงจะต้องพิจารณาด้วย ว่าการเลือกตั้งที่เลือกไปก็เสียเปล่าเป็นโมฆะ พวกท่านจะเรียกร้องการเลือกตั้งไปทำไม? และแม้พวกท่านจะไม่ใช่เครือข่ายเสื้อแดงหรือ นปช. แต่ในเมื่อการเลือกตั้งนี้จะนำไปสู่ข้ออ้างและการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลของคนกลุ่มดังกล่าว ท่านคิดว่าจะหลับหูหลับตาสนับสนุนการเลือกตั้งไปทำไม
ไม่มีประชาธิปไตย ถ้าไม่มีการเลือกตั้งนั้นถูกต้อง แต่ประชาธิปไตยก็ไม่ใช่การเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ได้แปลว่า หากไม่มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ จะเท่ากับประชาธิปไตยหายวับไปแต่อย่างใดก็หาไม่ ในขณะที่ถ้ารอให้เลือกตั้งเมื่อชาติบ้านเมืองพร้อมเสียก่อน และมีระบบการเลือกตั้งที่รับรองความบริสุทธิ์ยุติธรรมแสดงออกซึ่งเสียงข้างมากของประชาชนได้อย่างแท้จริงจะไม่ดีกว่าหรือ?
การยืนกรานว่าจะเลือกตั้งคำเดียว เลือกตั้ง 2 กุมภาฯ ครั้งนี้ให้ได้ ก็เหมือนกับผู้ป่วยที่อาการหนักต้องผ่าตัดใหญ่ ไม่ยอมอดหรืองดอาหารตามที่แพทย์แนะนำร้องจะกินเนื้อย่าง ส้มตำ หรือแฮมเบอร์เกอร์ ทั้งๆ ที่โรคไตกำลังถามหา หรือไขมันสูง
แน่นอนว่า การเลือกตั้งเหมือนอาหารของประชาธิปไตย ไม่ได้กินอาหารก็คงไม่มีชีวิต หรือไม่มีการเลือกตั้งก็ไม่มีประชาธิปไตย แต่การกินอาหารผิดประเภทผิดเวลา แทนที่จะต่อชีวิตไปได้ มันจะทำให้ตายแบบไม่ฟื้นเอาเลยทีเดียว.
หลักการคร่าวๆ คือ ให้มีการปิดถนนเส้นสำคัญๆ ตั้งเวทีขึ้น 7 เวที ได้แก่เวทีสวนลุมพินี เวทีอโศก เวทีราชประสงค์ เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวทีห้าแยกลาดพร้าว เวทีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยให้เวทีแยกปทุมวันเป็นเวทีหลักที่นายสุเทพ จะมาประจำบัญชาการที่เวทีนี้เอง
ซึ่งการปิดกรุงเทพฯ นี้เริ่มกันตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ที่ 12 เพื่อเตรียมการกั้นถนน เปิดเวที และลำเลียงมวลชนเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมเมื่อถึงเวลาเช้าของวันที่ 13 ก็พร้อมรับมวลชนที่ทยอยกันเข้ามาในพื้นที่
ในขณะที่เขียนคอลัมน์นี้ ประชาชนยังหลั่งไหลเข้ามาในแต่ละเวที แต่ละจุดชุมนุมอย่างหนาตาหนาแน่น เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
ส่วนยุทธการตัดน้ำตัดไฟ สถานที่ราชการและบ้านนายกฯ กับคณะรัฐมนตรีนั้นยังไม่มีการดำเนินการ รวมทั้งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการบุกหรือเคลื่อนขบวนไปปิดสถานที่ราชการที่ไหนอย่างไร
จุดมุ่งหมายคือเพื่อจะปิดกรุงเทพฯ ให้เป็นถนนคนเดิน เพื่อตัดวงจรการทำงานของระบบราชการ แสดงให้ชาวโลกเห็นว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของคณะรัฐมนตรีรักษาการของยิ่งลักษณ์นั้น หมดความสามารถในการบริหารประเทศแล้ว และไม่เป็นที่ยอมรับเชื่อฟังจากประชาชนอีกต่อไป เรียกว่าเป็น Fail State ก็ว่าได้
ที่ได้ติดตามดู การจัดการในการชุมนุมเท่าที่ผ่านมานั้นยังถือว่าทำได้ดี แม้จะเป็นการตรึงหรือปิดกรุงเทพฯ เพื่อไม่ให้กลไกราชการที่ยังต้องรับใช้รัฐบาลรักษาการทำงานต่อไปได้ และเรียกร้องให้ข้าราชการออกมาเข้าร่วมกับมวลมมหาประชาชน แต่มาตรการต่างๆ นั้นก็ถือว่าได้จัดช่องทางผ่อนปรนไว้ตามสมควร เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความเดือดร้อนเกินไป เช่น ถนนเส้นที่มีการปิดล้อม ก็จะมีเส้นทางสำรองหรือถนนอื่นพอให้ประชาชนที่มีเหตุจำเป็นหรือมีบ้านอยู่ในจุดที่ปิดชุมนุมนั้นเดินทางไปได้บ้างไม่ถึงกับปิดตาย แม้จะต้องหลบต้องอ้อมหรือเข้าซอยต่างๆ บ้าง
รวมทั้งการที่ยังคงบริการขนส่งมวลชนและขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ เรือด่วน รถไฟลอยฟ้า รถไฟใต้ดินเอาไว้สำหรับการเดินทางของผู้ที่มีธุระหรือการงานต้องทำ
เห็นจากที่ประชาชนที่ยังต้องออกไปทำงานอยู่ ก็สามารถไปทำงานกันได้โดยปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางตามความเหมาะสมและเส้นทางที่ตัวเองต้องผ่าน
ถ้านับว่ามาตรการในการปิดกรุงเทพฯ นี้ เป็นเหมือนการผ่าตัดใหญ่ ซึ่งหวังผลเลิศคือการกำจัดโรคร้ายที่กัดกินประเทศไทยมาเป็นเวลากว่าสิบปี คือระบอบทักษิณ มาตรการปิดกรุงเทพฯ ก็ถือเป็นการผ่าตัดที่แรง แต่ก็ละมุนละม่อมเหมือนการให้ยาสลบหรือยาชา
ใครเคยผ่านการผ่าตัดหรือต้องนอนโรงพยาบาลนานๆ คงรู้ว่าไอ้การจะรักษาโรคร้ายแบบไม่ให้เจ็บเลยหรือเจ็บน้อยๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะดีกว่าเสียชีวิตหรืออวัยวะสำคัญ ดังนั้นจึงต้องเป็นหน้าที่ของหมอที่จะต้องใช้ฝีมือในการเลี้ยงรักษาสัญญาณชีพของคนไข้ไปจนกระทั่งการผ่าตัดสำเร็จลุล่วง
ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ว่าเท่าที่ผ่านมา ทาง กปปส. จัดว่าทำได้ดีพอประมาณแล้ว กล่าวคือไม่ได้ทำให้ประชาชนเดือดร้อนจนเกินไป ซึ่งตรงนี้ต้องขอให้รักษามาตรฐานไว้ระดับนี้ คือ “เจ็บปวด” ร่วมกันพอประมาณแต่ไม่ถึงกับตาย เพื่อผ่าตัดใหญ่เอาเนื้อร้ายออกไป
การต่อสู้ของมวลมหาประชาชนน่าจะบรรลุผลได้ในการต่อสู้ครั้งนี้ เนื่องจากจัดว่าเป็นช่วงที่อำนาจของฝ่ายระบอบทักษิณนั้นอ่อนแอจนถึงที่สุด เพราะประชาชนที่มีนัยสำคัญนั้นรู้ทันและไม่ยอมรับ กลไกการตรวจสอบต่างๆ หันหลังให้ และไม่สามารถควบคุมได้
สัปดาห์แห่งวิบากกรรมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่า “กรรม” กำลังเช็กบิลเครือข่ายทักษิณอย่างไร ได้แก่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ย้ำอีกครั้งว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ของสภาฯ ที่ครอบงำด้วยรัฐบาลรักษาการนี้เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่มิชอบซ้ำรอยคดีแก้รัฐธรรมนูญเรื่องให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดทั้งสภาฯ ที่ดับฝันเครือข่ายทักษิณที่จะครอบงำทีเดียวทั้งสองสภาฯ มาแล้ว
และทั้งการที่ ป.ป.ช.ก็ออกมาแจ้งข้อกล่าวหา ส.ส. และ ส.ว. จำนวน 309 คน ที่ร่วมกระบวนการดังกล่าว ส.ส.จำนวนมากในคราวนั้นเป็นว่าที่ ส.ส.หรือผู้สมัครในคราวนี้ ก็แน่นอนว่าอาจจะมีสถานะไม่สมบูรณ์ได้ หากถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดหรือดำเนินคดี
ยิ่งกว่านั้น การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่พยายามจะยื้อจะดึงให้ถึงนั้น ไม่อาจเป็นการเลือกตั้งที่สมบูรณ์ได้แน่เพราะจะเป็นการเลือกตั้งที่จะได้สภาไม่ครบองค์ประกอบ
คำขอของฝ่ายผู้สมัครที่ยื่นต่อศาลฎีกาซึ่งเป็นเหมือนลมหายใจเฮือกสุดท้ายถูกยก และต้องถือยุติตามนั้น แน่นอนว่าเมื่อการเลือกตั้งที่ต่อให้จัดได้ก็ไม่อาจสมบูรณ์ได้ เสียเงินเสียทองเปล่าๆ ฝ่ายผู้จัดการเลือกตั้งอย่าง กกต. ก็เห็นว่าไม่ควรจะจัด ให้เลื่อนออกไปก่อน และได้แจ้งมติเช่นนั้นให้รัฐบาลไปแล้ว
ข้อเท็จจริงนี้ ต้องฝากให้ชาวเสื้อขาว เฉพาะกลุ่มที่ไม่ใช่เสื้อแดงถอดเสื้อออกมาผสมโรงจะต้องพิจารณาด้วย ว่าการเลือกตั้งที่เลือกไปก็เสียเปล่าเป็นโมฆะ พวกท่านจะเรียกร้องการเลือกตั้งไปทำไม? และแม้พวกท่านจะไม่ใช่เครือข่ายเสื้อแดงหรือ นปช. แต่ในเมื่อการเลือกตั้งนี้จะนำไปสู่ข้ออ้างและการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลของคนกลุ่มดังกล่าว ท่านคิดว่าจะหลับหูหลับตาสนับสนุนการเลือกตั้งไปทำไม
ไม่มีประชาธิปไตย ถ้าไม่มีการเลือกตั้งนั้นถูกต้อง แต่ประชาธิปไตยก็ไม่ใช่การเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ได้แปลว่า หากไม่มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ จะเท่ากับประชาธิปไตยหายวับไปแต่อย่างใดก็หาไม่ ในขณะที่ถ้ารอให้เลือกตั้งเมื่อชาติบ้านเมืองพร้อมเสียก่อน และมีระบบการเลือกตั้งที่รับรองความบริสุทธิ์ยุติธรรมแสดงออกซึ่งเสียงข้างมากของประชาชนได้อย่างแท้จริงจะไม่ดีกว่าหรือ?
การยืนกรานว่าจะเลือกตั้งคำเดียว เลือกตั้ง 2 กุมภาฯ ครั้งนี้ให้ได้ ก็เหมือนกับผู้ป่วยที่อาการหนักต้องผ่าตัดใหญ่ ไม่ยอมอดหรืองดอาหารตามที่แพทย์แนะนำร้องจะกินเนื้อย่าง ส้มตำ หรือแฮมเบอร์เกอร์ ทั้งๆ ที่โรคไตกำลังถามหา หรือไขมันสูง
แน่นอนว่า การเลือกตั้งเหมือนอาหารของประชาธิปไตย ไม่ได้กินอาหารก็คงไม่มีชีวิต หรือไม่มีการเลือกตั้งก็ไม่มีประชาธิปไตย แต่การกินอาหารผิดประเภทผิดเวลา แทนที่จะต่อชีวิตไปได้ มันจะทำให้ตายแบบไม่ฟื้นเอาเลยทีเดียว.