พลังอำนาจที่ 4 ทำให้ยุทธ-รัฐศาสตร์การเมืองไทยเปลี่ยนไป เปลี่ยนแปลงสมรภูมิการเผชิญหน้า และอาจจะถึงขั้นเปลี่ยนแปลงผลแพ้ชนะ
กล่าวไปหลายครั้งในทั้งบทความออนไลน์และที่เฟซนี้ว่า พลังอำนาจที่4ที่กล่าวถึงคืออำนาจประชาชนเจ้าของประเทศที่ไม่เคยมีอยู่จริงนับจาก 2475 เป็นต้นมา การเมืองไทยจากบัดโน้นจนถึงบัดนี้เป็นเรื่องของขุนนางอำมาตย์ทุนนักการเมืองยื้อแย่งกันถ้าไม่มีทหารปกครอง พอเลือกตั้งครั้งหนึ่งก็อ้างประชาชนครั้งหนึ่ง นักการเมืองหิ้วกระเป๋าจากไหนไม่รู้ได้เป็นผู้แทน
ในยุคที่ทักษิณครองอำนาจได้รับเสียงสนับสนุนมาก มีคนรักมากเพราะประชานิยมขนาดที่ถูกรัฐประหารก็มีคนออกมาต่อสู้ให้ในนามเสื้อแดง เมื่อปี 52-53 นักเคลื่อนไหวนักวิชาการจิตอ่อนไหวโมแลนติกตื่นเต้นวี้ดว้ายกับ red shirt movement กันใหญ่ยกให้เป็นการตื่นรู้ของชนชั้นกลางใหม่ เป็นโฉมหน้าใหม่ของประชาธิปไตยนำชาติไทยสว่างไสวอยู่ประชาอารยะ บางคนทำงานวิจัยก็แต่งปั้นกันไปเกินจริงเป็นกระแสเทียม พลังอำนาจประชาชนที่เป็นความหวังบ้าอะไรกันที่พอเกิดเคลื่อนไหวกันทีต้องรอส.ส.จัดรถบัสให้ พอแกนนำประกาศอีเวนท์ไปร่วมก็ได้แต่ต้องมีเบี้ยเลี้ยง หนุนเฉพาะพรรคที่รัก ไม่ได้หนุนหลักการ พรรคที่เกลียดทำผิดด่านะชอบแล้ว แต่พรรคที่รักทำผิดแบบเดียวกันทำเฉย อันนี้มันไม่ใช่ประชาชนที่เป็นความหวัง แต่เป็นของตายหิวขึ้นมาก็หาอะไรป้อนให้ทีเลี้ยงเอาไว้เป็นฐานเสียง
พลังอำนาจของประชาชนในโครงสร้างสังคมประชาธิปไตย ไม่จำเป็นต้องมีประชาชนตื่นรู้ Active citizen จัดตั้งเป็นองค์กรเป็นเครือข่ายต้อง “ตื่น” ตลอดเวลาหรอก อันนั้นสำคัญก็จริงแต่ไม่ใช่ความหมายของพลังอำนาจที่4 ในสนามการเมืองยุคใหม่
ประชาชนที่ นักการเมือง-ทุน-ขุนนางอำมาตย์ขุนศึก ซึ่งเป็นคู่แย่งชิงอำนาจกันมายาวนานเขากลัวคือประชาชนปัจเจกไร้ชื่อเสียงเดินดินกินข้าวแกง มีตังค์หน่อยก็เดินห้างหาซื้อของลดราคา จ่ายภาษีประจำเพราะหักจากเงินเดือนหรือไม่ก็เป็นข้าวของกิจการไม่ใหญ่แค่ผ่อนรถยนต์ผ่อนบ้านได้ บางทีก็ซื้อแกงถุงกินมาม่าแบบที่เห็นกลาดเกลื่อนกันในสังคม ที่ก่อนหน้านี้หลับๆตื่นๆ มีประเด็นใหญ่กระทบกันทีก็ตื่นขึ้นมาครั้ง
ก่อนหน้านี้ นักการเมือง นายทุนใหม่นายทุนเก่า ข้าราชการอำมาตยาธิปไตยขุนนางขุนศึก ต่างแย่งชิงอำนาจกัน ตั้งแต่ยุค 2475 คนที่แย่งอำนาจจากเจ้าคือขุนนางและทหาร จากนั้นขุนนางกับทหารก็แย่งอำนาจกันยกหนึ่ง และจากนั้นอีกขุนนางและทหารแนวคิดเก่าก็แย่งอำนาจจากขุนนางและทหารฝ่ายเปลี่ยนแปลงการปกครอง เล่นกันอยู่ในโครงสร้างส่วนบนของบรรดาเทวดา ส่วนประชาชนนั้นเอาไว้ให้เทวดาอ้างถึงเพื่อความชอบธรรมของเทวดา
ต่อให้ยุคทักษิณที่พวกนักเคลื่อนไหวนักวิชาการโมแลนติกยกย่องคนเสื้อแดงชนชั้นกลางใหม่ขนาดให้เป็นพลังตื่นรู้เปลี่ยนแปลงชาติแต่ที่สุดแล้วกลับเป็นพลังหนุนเสริมอำนาจการเมืองเฉพาะฝ่าย ไม่ได้หนุนเสริมอำนาจประชาชนจริงๆ
อำนาจประชาชนในระบอบประชาธิปไตยจริงๆ คือพลังที่ประกาศถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน พลังที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของอำนาจแล้วทนไม่ได้ที่ผู้เล่นนักการเมืองเอาอำนาจไปปู้ยี่ปู้ยำ ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
การตื่นขึ้นมาของมวลมหาชนทนไม่ได้กับกฎหมายนิรโทษกรรมนี่แหละคือลักษณะของอำนาจของพลังอำนาจที่ 4 ซึ่งออกมาแล้วมีผลให้เหล่าเทวดาที่เห่อเหิมอำนาจขี้หดตดหาย ถอยกรูดๆ ประชาชนก็ได้เห็นได้สัมผัสด้วยตัวเองกันแล้วว่า คนเดินดินซื้อแกงถุงอย่างเราๆ ก็มีอำนาจจริงเป็นอำนาจที่ชอบธรรมที่เมื่อรวมตัวกันเปล่งออกมาเป็นเสียงเดียวกันมันมีพลังขนาดเหล่าเทวดาหัวขึ้นกลากทั้งหลายทำตัวเรียบร้อยขึ้นมา
ดุลกำลังในสมรภูมิเปลี่ยนโฉมแล้ว
มวลชนที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ประชาธิปัตย์ ไม่ใช่ขาม็อบไล่รัฐบาลที่ออกจากบ้านมาแสดงออกน่ะไม่พอใจจริงๆ และต้องยอมรับว่าเป็นกระแสจิตวิทยาสังคมรวมอยู่ด้วย ซึ่งนี่ก็ไม่แปลกเพราะจิตวิทยาสังคมเป็นเรื่องเดียวกับการเมืองมวลชน
คนไม่พอใจกฎหมายนิรโทษ ไม่ได้หมายว่าไม่พอใจเนื้อหามาตรา 1-2-3-4 แต่ที่เขาไม่พอใจยังหมายถึงการเหิมอำนาจ ไม่ยี่หระแยแสถูกผิด พวกมากลากไป กฎหมายระยำอะไรออกตอนตีสี่ ฯลฯ แล้วก็มีความไม่พอใจอื่นๆ ที่ทับถมกันมาก่อนทั้งจำนำข้าวขาดทุนเป็นห้าหกแสนล้านรัฐมนตรีแถลงข่าวลิ้นพัน ฯลฯ ล้วนแต่สะสมมาจนเรื่องนี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดเป็นจุดระเบิด
รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการมองว่าถอนกฎหมายก็จบ ประกาศถอนแล้วและก็ให้หัวหน้าพรรคลงสัตยาบัน แค่นี้ไม่ได้ปลดล็อกความไม่พอใจ เพราะที่เขาไม่พอใจก็คือ พวกมึงเหิมอำนาจ ไม่ยี่หระแยแสความถูกผิด ... ประกาศสัตยาบันแต่ไม่ขอโทษสักคำ ถ้าเป็นญี่ปุ่นเกาหลีเขาออกมาก้มหัวคู้ๆ โขกพื้นรับผิดต่อประชาชนไปแล้ว แต่นักการเมืองไทยยังเชิดหน้าคิดว่า ที่ลักหลับประชาชน ที่สอดไส้แก้กฎหมายวาระแปรญัตติไม่ได้เป็นความผิด
การแถลงข่าวของนปช.เมื่อวานนี้ (9พ.ย.) หากพิจารณาความระหว่างบรรทัดดีๆ พวกเขายังเกรงพลังของมวลชนที่ออกมามืดฟ้ามัวดิน พยายามแยกคนที่ยัวะไม่พอใจกฎหมายออกมาจากม็อบขาประจำ ประกาศว่าจะไม่ปะทะ ไม่ขัดแย้ง ห้ามคนเสื้อแดงไปที่ชุมนุม
ผมเชื่อว่าแกนนำนปช.พูดจริง ขนาดตำหนิการแถลงของอริสมันต์ที่ท้าตีท้าต่อยว่าไม่ฉลาด (แม้จะไม่เอ่ยชื่อก็เหอะ)
นปช.และเสื้อแดงมีปัญหาภายในนะ ทั้งความขัดแย้งเก่าๆ เพราะแต่ละกลุ่มๆ ที่ตั้งกันมานานๆ ต่างก็มีปัญหาขัดแย้งภายใน แกนนำนปช.สายนายใหญ่ กับสายอยู่ปากซอยก็ทะเลาะกัน คิดหรือว่าชินวัฒน์ หาบุญพาดจะสู้เต็มร้อยหากว่าธิดา สั่งเรียกพล แดงเสรีทั้งหลายไม่ชอบหน้าแดงนปช. ฯลฯ
อันนี้ยังไม่เท่ากับปัญหาโลกแตกของนักทำม็อบเมืองไทย เพราะฤดูนี้เป็นฤดูเกี่ยวข้าว เป็นที่รู้ว่านับจากกลางตุลาเรื่อยมาถึงพฤศจิกาฤดูนี้เป็นฤดูเกี่ยว นี่มีข่าวหางพายุไห่เยี่ยนจะมาฝนจะลงอีสานไม่ระดมเกี่ยวกันยกใหญ่แล้วรึ การระดมพลยาวๆ มีปัญหา ฤดูปลูกหนึ่งฤดูเกี่ยวหนึ่งใครอย่าใช้งานพี่น้องอีสานเชียว
ดังนั้นเวทีแดงที่ประกาศตั้งขึ้นมาน่ะ เพื่อเป็นหมากบรรเทาสถานการณ์ ปะทะปะทังไป ไม่ใช่ทัพกระหายเลือดที่จะยกมาไล่ตีม็อบเมืองหลวง เพราะขวัญกำลังใจต่างๆ ก็ห่างกันแล้ว มิหนำซ้ำ กุนซือพรรคเองก็รู้ว่า มวลชนที่มาเหล่านี้อาจทำให้พรรคเพื่อไทยแพ้เลือกตั้งได้เลย
ไม่ยุบสภาเพราะดุลอำนาจเปลี่ยน
เลือกตั้งที่ผ่านมาเพื่อไทย 15 ล้าน ประชาธิปัตย์ 11 ล้าน จากผู้มีสิทธิ์ 45 ล้าน มีคนออกจากบ้านหย่อนบัตร 32 ล้าน
ปชป.+พท. ก็แค่ 26 ล้านเสียง ทั้งๆ ที่ผู้ออกจากบ้านมา 32 ล้าน สมมติคนที่เลือกชูวิทย์ บรรหาร พลังชล สุวัจน์ลิปชาติพัฒนา เทมาที่ประชาธิปัตย์สัก 3 ล้าน เท่านี้การเลือกตั้งรอบหน้าก็เปลี่ยนผู้ชนะแล้ว เพราะเพื่อไทยไม่มีทางได้ 15 ล้านเท่าเดิม
มีข่าวว่าเพื่อไทยทำโพลสำรวจความนิยมภายใน แล้วต้องช็อคกันทั้งฟลอร์สะเทือนไปทั้งตึกชินวัตร เพราะคะแนนนิยมของนายกปูหล่นมาเหลือราว 42-43% อย่าลืมนะไทยรักไทยเป็นเจ้าแห่งโพลภายในแม่นยำตั้งแต่ยุคทักษิณ ในสถานการณ์ที่กระแสคนกลางๆ ออกมาแบบนี้ ทักษิณและกุนซือเพื่อไทยตีไพ่ยุบสภาไม่ได้ เพราะหมายถึงอาจไม่ได้กลับมาสู่อำนาจด้วยซ้ำไป
ยุทธศาสตร์ตอนนี้ก็แค่ปะทะปะทัง ไม่ปะทะ ไม่ให้เกิดสถานการณ์พลิกผัน ค่อยๆ ผ่อนแรงกดดัน เวทีนปช.ก็ประกาศชัดแล้วว่าจะโต้กับสุเทพเป็นหลัก ไม่ให้สุเทพกล่อมคนได้ฝ่ายเดียว ลึกๆ หวังว่าจะเอามวลชนที่มากับกระแสกลับบ้าน เหลือแค่ม็อบพันธุ์แท้ กองทัพธรรม พันธมิตรเก่า ม็อบกองทัพประชาชนที่เหลืออยู่ไม่มาก
ตอนนี้การออกมาข่มขู่เช่นนายกี้ร์อริสมันต์ นายเก่งดอนเมือง ก็แค่ขู่แหละ ... ลองเอาจริงเกิดอะไรขึ้นเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ต่อให้กี้ร์ หรือเก่ง ก็คงถูกนายใหญ่ตบกะโหลกเอาปากเป็นพรมเช็ดตีน เพราะเหตุนิดเดียวอาจมีผลต่อกระแสมหาชนที่ยังไม่ซาโถมทับชินวัตรให้ไปอยู่ต่างแดนยกตระกูลด้วยซ้ำ อย่าล้อเล่นไปนะกี้ร์ นะเก่ง
ชัยชนะของพลังอำนาจที่4
ผมเชื่อว่าประชาชนที่เป็นเสรีชนพอมีความรู้เรื่องการเมืองก็คงมองออกเหมือนผมว่า ประชาธิปัตย์คราวนี้ขี่กระแสหวังไปถึงโค่นอำนาจเพื่อไทยเลย อันนี้เป็นธรรมดาของการเมือง ส่วนประชาชนเลือกที่จะหนุนเพราะมีเป้าหมายร่วมกัน คือสั่งสอนรัฐบาล บ้างก็มีเป้าหมายแค่ให้กฎหมายตก(แต่เชื่อว่าน้อย) บ้างก็มีเป้าหมายถึงให้บทเรียนนักการเมืองให้เกิดการขอโทษเกิดบรรทัดฐานใหม่
ถ้าเกิดยุบสภาขึ้นมาจริงเพราะรัฐบาลไม่มีทางเลือกแล้ว เลือกตั้งใหม่ประชาธิปัตย์ได้กำไรเห็นๆ ส่วนจะถึงชนะเลือกตั้งหรือไม่เป็นอีกเรื่องค่อยว่ากัน
อันนั้นมันเป็นชัยชนะของประชาธิปัตย์เพียงฝ่ายเดียว ประชาชนพลังอำนาจที่ 4 ที่ออกมาเป็นโจ๊กเกอร์อาจจะได้แค่บรรทัดฐานการออกกฎหมายแบบเห็นหัวประชาชนขึ้นมาหน่อย
ผมเสียดายประชาชนตื่นตัวกระแสสูงแบบที่เกิดขึ้นนี้ เพราะหากประสานเสียงพร้อมกันในเรื่องหลักๆ เช่น ให้นักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านให้สัตยาบันแก้กฎหมายคอรัปชั่นไม่มีอายุความ เพิ่มโทษคอรัปชั่นสูงสุด หรือกดดันสั่งให้พรรคการเมืองร่วมกันกลับไปแก้กฏหมายที่พวกมันแก้กันเองตามใจเจ้านายมันโดยลิดรอนสิทธิ์ประชาชนออกไปให้กลับมาใช้ต่อ ฯลฯ
นี่แค่ยกตัวอย่างครับ !
ให้เหมือนกับชาวบราซิลที่ออกจากบ้านมาประท้วงแล้วรัฐบาลถอยกรูดๆ ยอมเพิ่มโทษคอรัปชั่น รับปากโยกงบประมาณที่เดิมเน้นเมกะโปรเจ็กต์มาเป็นงบสวัสดิภาพสวัสดิการฯลฯ นี่แหละที่เขาเรียกว่าการปฏิรูปโดยประชาชน
ถ้าพลังอำนาจที่ 4 เห็นว่านี่คือจังหวะที่ออกมาแล้วต้องชำระล้างบ้านเมืองสักครั้ง ก็ลองคิดดูว่าจะกดดันให้ผู้เกี่ยวข้องกับอำนาจทุกฝ่ายแก้ไขปรับปรุงอะไรบ้างในนามของการปฏิรูป
ออกมาครั้งนี้ถ้าได้ผลรับเป็นการปฏิรูปอะไรสักอย่างหรือหลายอย่างขึ้นมา ถือเป็นชัยชนะของประชาชน
ย้ำอีกที ถ้าแค่เลือกตั้งเปลี่ยนขั้วใหม่ เป็นชัยชนะของพรรคการเมืองและทุนการเมือง
แต่ถ้าเปลี่ยนได้ถึงระดับปฏิรูป (จะโดยพรรคชนะเลือกตั้งรับปากดำเนินการหรือทุกพรรคถูกกดดันก็ตาม) นี่ต่างหากที่เป็นชัยชนะของประชาชนในสมรภูมิการเมืองใหม่
สมรภูมิการเมืองที่ดุลอำนาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้วแบบนี้ต่อให้พรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมตาม
หากประชาชนยื่นเงื่อนไขปฏิรูปให้รัฐบาลเพื่อไทยทำ เขาก็จะทำ ผมเชื่อเช่นนั้น !
กล่าวไปหลายครั้งในทั้งบทความออนไลน์และที่เฟซนี้ว่า พลังอำนาจที่4ที่กล่าวถึงคืออำนาจประชาชนเจ้าของประเทศที่ไม่เคยมีอยู่จริงนับจาก 2475 เป็นต้นมา การเมืองไทยจากบัดโน้นจนถึงบัดนี้เป็นเรื่องของขุนนางอำมาตย์ทุนนักการเมืองยื้อแย่งกันถ้าไม่มีทหารปกครอง พอเลือกตั้งครั้งหนึ่งก็อ้างประชาชนครั้งหนึ่ง นักการเมืองหิ้วกระเป๋าจากไหนไม่รู้ได้เป็นผู้แทน
ในยุคที่ทักษิณครองอำนาจได้รับเสียงสนับสนุนมาก มีคนรักมากเพราะประชานิยมขนาดที่ถูกรัฐประหารก็มีคนออกมาต่อสู้ให้ในนามเสื้อแดง เมื่อปี 52-53 นักเคลื่อนไหวนักวิชาการจิตอ่อนไหวโมแลนติกตื่นเต้นวี้ดว้ายกับ red shirt movement กันใหญ่ยกให้เป็นการตื่นรู้ของชนชั้นกลางใหม่ เป็นโฉมหน้าใหม่ของประชาธิปไตยนำชาติไทยสว่างไสวอยู่ประชาอารยะ บางคนทำงานวิจัยก็แต่งปั้นกันไปเกินจริงเป็นกระแสเทียม พลังอำนาจประชาชนที่เป็นความหวังบ้าอะไรกันที่พอเกิดเคลื่อนไหวกันทีต้องรอส.ส.จัดรถบัสให้ พอแกนนำประกาศอีเวนท์ไปร่วมก็ได้แต่ต้องมีเบี้ยเลี้ยง หนุนเฉพาะพรรคที่รัก ไม่ได้หนุนหลักการ พรรคที่เกลียดทำผิดด่านะชอบแล้ว แต่พรรคที่รักทำผิดแบบเดียวกันทำเฉย อันนี้มันไม่ใช่ประชาชนที่เป็นความหวัง แต่เป็นของตายหิวขึ้นมาก็หาอะไรป้อนให้ทีเลี้ยงเอาไว้เป็นฐานเสียง
พลังอำนาจของประชาชนในโครงสร้างสังคมประชาธิปไตย ไม่จำเป็นต้องมีประชาชนตื่นรู้ Active citizen จัดตั้งเป็นองค์กรเป็นเครือข่ายต้อง “ตื่น” ตลอดเวลาหรอก อันนั้นสำคัญก็จริงแต่ไม่ใช่ความหมายของพลังอำนาจที่4 ในสนามการเมืองยุคใหม่
ประชาชนที่ นักการเมือง-ทุน-ขุนนางอำมาตย์ขุนศึก ซึ่งเป็นคู่แย่งชิงอำนาจกันมายาวนานเขากลัวคือประชาชนปัจเจกไร้ชื่อเสียงเดินดินกินข้าวแกง มีตังค์หน่อยก็เดินห้างหาซื้อของลดราคา จ่ายภาษีประจำเพราะหักจากเงินเดือนหรือไม่ก็เป็นข้าวของกิจการไม่ใหญ่แค่ผ่อนรถยนต์ผ่อนบ้านได้ บางทีก็ซื้อแกงถุงกินมาม่าแบบที่เห็นกลาดเกลื่อนกันในสังคม ที่ก่อนหน้านี้หลับๆตื่นๆ มีประเด็นใหญ่กระทบกันทีก็ตื่นขึ้นมาครั้ง
ก่อนหน้านี้ นักการเมือง นายทุนใหม่นายทุนเก่า ข้าราชการอำมาตยาธิปไตยขุนนางขุนศึก ต่างแย่งชิงอำนาจกัน ตั้งแต่ยุค 2475 คนที่แย่งอำนาจจากเจ้าคือขุนนางและทหาร จากนั้นขุนนางกับทหารก็แย่งอำนาจกันยกหนึ่ง และจากนั้นอีกขุนนางและทหารแนวคิดเก่าก็แย่งอำนาจจากขุนนางและทหารฝ่ายเปลี่ยนแปลงการปกครอง เล่นกันอยู่ในโครงสร้างส่วนบนของบรรดาเทวดา ส่วนประชาชนนั้นเอาไว้ให้เทวดาอ้างถึงเพื่อความชอบธรรมของเทวดา
ต่อให้ยุคทักษิณที่พวกนักเคลื่อนไหวนักวิชาการโมแลนติกยกย่องคนเสื้อแดงชนชั้นกลางใหม่ขนาดให้เป็นพลังตื่นรู้เปลี่ยนแปลงชาติแต่ที่สุดแล้วกลับเป็นพลังหนุนเสริมอำนาจการเมืองเฉพาะฝ่าย ไม่ได้หนุนเสริมอำนาจประชาชนจริงๆ
อำนาจประชาชนในระบอบประชาธิปไตยจริงๆ คือพลังที่ประกาศถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน พลังที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของอำนาจแล้วทนไม่ได้ที่ผู้เล่นนักการเมืองเอาอำนาจไปปู้ยี่ปู้ยำ ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
การตื่นขึ้นมาของมวลมหาชนทนไม่ได้กับกฎหมายนิรโทษกรรมนี่แหละคือลักษณะของอำนาจของพลังอำนาจที่ 4 ซึ่งออกมาแล้วมีผลให้เหล่าเทวดาที่เห่อเหิมอำนาจขี้หดตดหาย ถอยกรูดๆ ประชาชนก็ได้เห็นได้สัมผัสด้วยตัวเองกันแล้วว่า คนเดินดินซื้อแกงถุงอย่างเราๆ ก็มีอำนาจจริงเป็นอำนาจที่ชอบธรรมที่เมื่อรวมตัวกันเปล่งออกมาเป็นเสียงเดียวกันมันมีพลังขนาดเหล่าเทวดาหัวขึ้นกลากทั้งหลายทำตัวเรียบร้อยขึ้นมา
ดุลกำลังในสมรภูมิเปลี่ยนโฉมแล้ว
มวลชนที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ประชาธิปัตย์ ไม่ใช่ขาม็อบไล่รัฐบาลที่ออกจากบ้านมาแสดงออกน่ะไม่พอใจจริงๆ และต้องยอมรับว่าเป็นกระแสจิตวิทยาสังคมรวมอยู่ด้วย ซึ่งนี่ก็ไม่แปลกเพราะจิตวิทยาสังคมเป็นเรื่องเดียวกับการเมืองมวลชน
คนไม่พอใจกฎหมายนิรโทษ ไม่ได้หมายว่าไม่พอใจเนื้อหามาตรา 1-2-3-4 แต่ที่เขาไม่พอใจยังหมายถึงการเหิมอำนาจ ไม่ยี่หระแยแสถูกผิด พวกมากลากไป กฎหมายระยำอะไรออกตอนตีสี่ ฯลฯ แล้วก็มีความไม่พอใจอื่นๆ ที่ทับถมกันมาก่อนทั้งจำนำข้าวขาดทุนเป็นห้าหกแสนล้านรัฐมนตรีแถลงข่าวลิ้นพัน ฯลฯ ล้วนแต่สะสมมาจนเรื่องนี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดเป็นจุดระเบิด
รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการมองว่าถอนกฎหมายก็จบ ประกาศถอนแล้วและก็ให้หัวหน้าพรรคลงสัตยาบัน แค่นี้ไม่ได้ปลดล็อกความไม่พอใจ เพราะที่เขาไม่พอใจก็คือ พวกมึงเหิมอำนาจ ไม่ยี่หระแยแสความถูกผิด ... ประกาศสัตยาบันแต่ไม่ขอโทษสักคำ ถ้าเป็นญี่ปุ่นเกาหลีเขาออกมาก้มหัวคู้ๆ โขกพื้นรับผิดต่อประชาชนไปแล้ว แต่นักการเมืองไทยยังเชิดหน้าคิดว่า ที่ลักหลับประชาชน ที่สอดไส้แก้กฎหมายวาระแปรญัตติไม่ได้เป็นความผิด
การแถลงข่าวของนปช.เมื่อวานนี้ (9พ.ย.) หากพิจารณาความระหว่างบรรทัดดีๆ พวกเขายังเกรงพลังของมวลชนที่ออกมามืดฟ้ามัวดิน พยายามแยกคนที่ยัวะไม่พอใจกฎหมายออกมาจากม็อบขาประจำ ประกาศว่าจะไม่ปะทะ ไม่ขัดแย้ง ห้ามคนเสื้อแดงไปที่ชุมนุม
ผมเชื่อว่าแกนนำนปช.พูดจริง ขนาดตำหนิการแถลงของอริสมันต์ที่ท้าตีท้าต่อยว่าไม่ฉลาด (แม้จะไม่เอ่ยชื่อก็เหอะ)
นปช.และเสื้อแดงมีปัญหาภายในนะ ทั้งความขัดแย้งเก่าๆ เพราะแต่ละกลุ่มๆ ที่ตั้งกันมานานๆ ต่างก็มีปัญหาขัดแย้งภายใน แกนนำนปช.สายนายใหญ่ กับสายอยู่ปากซอยก็ทะเลาะกัน คิดหรือว่าชินวัฒน์ หาบุญพาดจะสู้เต็มร้อยหากว่าธิดา สั่งเรียกพล แดงเสรีทั้งหลายไม่ชอบหน้าแดงนปช. ฯลฯ
อันนี้ยังไม่เท่ากับปัญหาโลกแตกของนักทำม็อบเมืองไทย เพราะฤดูนี้เป็นฤดูเกี่ยวข้าว เป็นที่รู้ว่านับจากกลางตุลาเรื่อยมาถึงพฤศจิกาฤดูนี้เป็นฤดูเกี่ยว นี่มีข่าวหางพายุไห่เยี่ยนจะมาฝนจะลงอีสานไม่ระดมเกี่ยวกันยกใหญ่แล้วรึ การระดมพลยาวๆ มีปัญหา ฤดูปลูกหนึ่งฤดูเกี่ยวหนึ่งใครอย่าใช้งานพี่น้องอีสานเชียว
ดังนั้นเวทีแดงที่ประกาศตั้งขึ้นมาน่ะ เพื่อเป็นหมากบรรเทาสถานการณ์ ปะทะปะทังไป ไม่ใช่ทัพกระหายเลือดที่จะยกมาไล่ตีม็อบเมืองหลวง เพราะขวัญกำลังใจต่างๆ ก็ห่างกันแล้ว มิหนำซ้ำ กุนซือพรรคเองก็รู้ว่า มวลชนที่มาเหล่านี้อาจทำให้พรรคเพื่อไทยแพ้เลือกตั้งได้เลย
ไม่ยุบสภาเพราะดุลอำนาจเปลี่ยน
เลือกตั้งที่ผ่านมาเพื่อไทย 15 ล้าน ประชาธิปัตย์ 11 ล้าน จากผู้มีสิทธิ์ 45 ล้าน มีคนออกจากบ้านหย่อนบัตร 32 ล้าน
ปชป.+พท. ก็แค่ 26 ล้านเสียง ทั้งๆ ที่ผู้ออกจากบ้านมา 32 ล้าน สมมติคนที่เลือกชูวิทย์ บรรหาร พลังชล สุวัจน์ลิปชาติพัฒนา เทมาที่ประชาธิปัตย์สัก 3 ล้าน เท่านี้การเลือกตั้งรอบหน้าก็เปลี่ยนผู้ชนะแล้ว เพราะเพื่อไทยไม่มีทางได้ 15 ล้านเท่าเดิม
มีข่าวว่าเพื่อไทยทำโพลสำรวจความนิยมภายใน แล้วต้องช็อคกันทั้งฟลอร์สะเทือนไปทั้งตึกชินวัตร เพราะคะแนนนิยมของนายกปูหล่นมาเหลือราว 42-43% อย่าลืมนะไทยรักไทยเป็นเจ้าแห่งโพลภายในแม่นยำตั้งแต่ยุคทักษิณ ในสถานการณ์ที่กระแสคนกลางๆ ออกมาแบบนี้ ทักษิณและกุนซือเพื่อไทยตีไพ่ยุบสภาไม่ได้ เพราะหมายถึงอาจไม่ได้กลับมาสู่อำนาจด้วยซ้ำไป
ยุทธศาสตร์ตอนนี้ก็แค่ปะทะปะทัง ไม่ปะทะ ไม่ให้เกิดสถานการณ์พลิกผัน ค่อยๆ ผ่อนแรงกดดัน เวทีนปช.ก็ประกาศชัดแล้วว่าจะโต้กับสุเทพเป็นหลัก ไม่ให้สุเทพกล่อมคนได้ฝ่ายเดียว ลึกๆ หวังว่าจะเอามวลชนที่มากับกระแสกลับบ้าน เหลือแค่ม็อบพันธุ์แท้ กองทัพธรรม พันธมิตรเก่า ม็อบกองทัพประชาชนที่เหลืออยู่ไม่มาก
ตอนนี้การออกมาข่มขู่เช่นนายกี้ร์อริสมันต์ นายเก่งดอนเมือง ก็แค่ขู่แหละ ... ลองเอาจริงเกิดอะไรขึ้นเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ต่อให้กี้ร์ หรือเก่ง ก็คงถูกนายใหญ่ตบกะโหลกเอาปากเป็นพรมเช็ดตีน เพราะเหตุนิดเดียวอาจมีผลต่อกระแสมหาชนที่ยังไม่ซาโถมทับชินวัตรให้ไปอยู่ต่างแดนยกตระกูลด้วยซ้ำ อย่าล้อเล่นไปนะกี้ร์ นะเก่ง
ชัยชนะของพลังอำนาจที่4
ผมเชื่อว่าประชาชนที่เป็นเสรีชนพอมีความรู้เรื่องการเมืองก็คงมองออกเหมือนผมว่า ประชาธิปัตย์คราวนี้ขี่กระแสหวังไปถึงโค่นอำนาจเพื่อไทยเลย อันนี้เป็นธรรมดาของการเมือง ส่วนประชาชนเลือกที่จะหนุนเพราะมีเป้าหมายร่วมกัน คือสั่งสอนรัฐบาล บ้างก็มีเป้าหมายแค่ให้กฎหมายตก(แต่เชื่อว่าน้อย) บ้างก็มีเป้าหมายถึงให้บทเรียนนักการเมืองให้เกิดการขอโทษเกิดบรรทัดฐานใหม่
ถ้าเกิดยุบสภาขึ้นมาจริงเพราะรัฐบาลไม่มีทางเลือกแล้ว เลือกตั้งใหม่ประชาธิปัตย์ได้กำไรเห็นๆ ส่วนจะถึงชนะเลือกตั้งหรือไม่เป็นอีกเรื่องค่อยว่ากัน
อันนั้นมันเป็นชัยชนะของประชาธิปัตย์เพียงฝ่ายเดียว ประชาชนพลังอำนาจที่ 4 ที่ออกมาเป็นโจ๊กเกอร์อาจจะได้แค่บรรทัดฐานการออกกฎหมายแบบเห็นหัวประชาชนขึ้นมาหน่อย
ผมเสียดายประชาชนตื่นตัวกระแสสูงแบบที่เกิดขึ้นนี้ เพราะหากประสานเสียงพร้อมกันในเรื่องหลักๆ เช่น ให้นักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านให้สัตยาบันแก้กฎหมายคอรัปชั่นไม่มีอายุความ เพิ่มโทษคอรัปชั่นสูงสุด หรือกดดันสั่งให้พรรคการเมืองร่วมกันกลับไปแก้กฏหมายที่พวกมันแก้กันเองตามใจเจ้านายมันโดยลิดรอนสิทธิ์ประชาชนออกไปให้กลับมาใช้ต่อ ฯลฯ
นี่แค่ยกตัวอย่างครับ !
ให้เหมือนกับชาวบราซิลที่ออกจากบ้านมาประท้วงแล้วรัฐบาลถอยกรูดๆ ยอมเพิ่มโทษคอรัปชั่น รับปากโยกงบประมาณที่เดิมเน้นเมกะโปรเจ็กต์มาเป็นงบสวัสดิภาพสวัสดิการฯลฯ นี่แหละที่เขาเรียกว่าการปฏิรูปโดยประชาชน
ถ้าพลังอำนาจที่ 4 เห็นว่านี่คือจังหวะที่ออกมาแล้วต้องชำระล้างบ้านเมืองสักครั้ง ก็ลองคิดดูว่าจะกดดันให้ผู้เกี่ยวข้องกับอำนาจทุกฝ่ายแก้ไขปรับปรุงอะไรบ้างในนามของการปฏิรูป
ออกมาครั้งนี้ถ้าได้ผลรับเป็นการปฏิรูปอะไรสักอย่างหรือหลายอย่างขึ้นมา ถือเป็นชัยชนะของประชาชน
ย้ำอีกที ถ้าแค่เลือกตั้งเปลี่ยนขั้วใหม่ เป็นชัยชนะของพรรคการเมืองและทุนการเมือง
แต่ถ้าเปลี่ยนได้ถึงระดับปฏิรูป (จะโดยพรรคชนะเลือกตั้งรับปากดำเนินการหรือทุกพรรคถูกกดดันก็ตาม) นี่ต่างหากที่เป็นชัยชนะของประชาชนในสมรภูมิการเมืองใหม่
สมรภูมิการเมืองที่ดุลอำนาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้วแบบนี้ต่อให้พรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมตาม
หากประชาชนยื่นเงื่อนไขปฏิรูปให้รัฐบาลเพื่อไทยทำ เขาก็จะทำ ผมเชื่อเช่นนั้น !