๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ - ผมนัดหมายกับเหล่าบรรดามิตรสหายรุ่นน้องที่เคยร่วมกรำศึกกันมาเมื่อสมัยขับไล่นายกฯ ทักษิณ เมื่อปี ๒๕๔๙ เพื่อไปสังเกตการณ์ที่เวทีการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ บริเวณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินกลาง ผมเดินทางจากบ้านพระอาทิตย์ ไปยังสถานที่พบปะซึ่งถูกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ของไอ้เจ้ามนุษย์ ๒ ตน ที่วางแผนจะมากินข้าวกับผมที่ย่านแพร่งนรา แต่ไปๆ มาๆ ดันไปนัดกันที่ร้านผัดไทย ทิพย์สมัย ย่านประตูผี ซะงั้น
ตอนแรกผมวางแผนคร่าวๆ ว่าจะเขียนเรื่อง “อาหารในม็อบ” พูดง่ายๆ คือ ตระเวนชิมที่เขามาแจกชาวบ้านนั่นล่ะ กะว่าจะไปทั้งที่ “แยกอุรุพงษ์” ซึ่งเป็นจุดอาศัยของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) แล้วมาที่เวทีกองทัพธรรม ตรงสะพานผ่านฟ้า ก่อนจะมาจบตรงเวทีประชาธิปัตย์ แต่ .... ก็พลันคิดได้ว่า อย่าเลยคุณดรงค์ เอ๊ย เขาเอามาแจกให้มวลชนได้หายหิวก็ดีถมเถแล้ว ยังจะไปแย่งเขาอีกเน้อออออ แผนก็เลยกลายเป็น “เยี่ยมชมม็อบราชดำเนิน” ที่เดียว
หลังทานผัดไทยเสร็จ ผมก็กะว่าจะไปเดินสำรวจตามที่คาดหวังไว้ แต่โอ๊ต อดีตนักศึกษาเอแบค ๑ ในรุ่นน้องที่มาด้วยกันดันอยากจะเป็นอำมาตย์นั่งทานแบบหรูๆ พร้อมกับบรรยากาศการชุมนุมรอบด้าน ที่ร้านเมธาวลัย ศรแดง ทำเอาผมกับมิ้ง รุ่นน้องอีกคนที่มาด้วยกันก็แอบเซ็งนิดๆ แต่ก็จำยอมเพราะเห็นมันไปยืนรอหน้าร้านอยู่นาน สองนาน จนกระทั่งโต๊ะว่าง และอีกอย่างผมก็ยังไม่เคยกินร้านนี้เลย ก็ถือโอกาสได้ลองชิมสักอย่าง ๒ อย่าง
อันที่จริงตัวผมก็เคยแว่บมา “เวทีราชดำเนิน” แล้วเมื่อวานนี้ (๔ พ.ย.) หลังจากที่คุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ในฐานะแกนนำม็อบ) เคลื่อนทัพจากสามเสนมาปักหลักที่นี่ ในวันนั้นคนค่อนข้างเยอะพอสมควร ก็เต็มพื้นที่ด้านหน้าเวที ยาวไปจนถึงแทบพิพิธภัณฑ์ นิทรรศรัตนโกสินทร์ ได้ แต่ที่รู้สึกเป็นห่วงคือเรื่องของการรักษาความปลอดภัยแลดูไม่ค่อยมีนัก แสงไฟสลัว บางจุดมืดมน ช่างเสี่ยงภัยแก่คนเดินถนนเสียจริง แต่ในวันนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้น มีการเอาไฟส่องทางเคลื่อนที่มาตั้งให้สว่างขึ้น มีการ์ดคุมพื้นที่เข้าออกบางจุด เริ่มเป็นระบบมากกว่าเดิม
ผมนั่งรออาหารท่ามกลางคนแน่นร้าน เหล่าบรรดา ส.ส.ประชาธิปัตย์ พร้อมผู้สนับสนุนเดินกันให้ขวักไขว่ภายใน พร้อมกับคุณกิตตินันท์ เจ้าของคอลัมน์ระบบหลังบ้านระบบชีวิต ในเว็บไซต์ผู้จัดการ ที่เดินเข้ามาสมทบร่วมโต๊ะตามที่นัดหมาย ส่วนภายนอกหน้าต่างถ้าใครเคยมากินหรือผ่านมาร้านนี้จะเห็นว่ามีกระจกใสเป็นหน้าต่างของร้าน มันเก็บเสียงได้ดีจนไม่ได้ยินคำพูดของคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค) ที่กล่าวบนเวทีเลย (สุดยอดจริงๆ) ผมนั่งมองออกไปพบชายคนนึงกำลังเดินอยู่หน้าร้าน แล้วก็เหลือบหันมามองภายในร้าน มองโต๊ะที่ผมนั่ง ผมถึงกับตกใจกับบุคคลคนนั้น ....
ใช่แล้วครับ เขาคือเพื่อนผมที่ไม่ได้เจอกันมา ๗ ปี นับตั้งแต่รัฐประหารปี ๒๕๔๙ ผมโบกมือให้เขาเดินเข้ามาภายในร้าน ผู้ร่วมโต๊ะที่นั่งกันอยู่ก็ต่างตะลึงกับบุคคลที่ไม่คาดฝันว่าจะได้มาเจอเช่นกัน... อาร์ต อดีตนักศึกษา ม.ราชภัฎสวนสุนันทา ที่เคยเป็น ๑ ในฟันเฟืองสำคัญของการต่อสู้ของกลุ่มในยุคนั้น เขามาพูดคุยกันด้วยความคุ้นเคย และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เขาเพิ่งบินตรงมาจากภูเก็ตมาที่ม็อบ และที่สำคัญคือระหว่างที่เดินผ่านหน้าร้าน เขากำลังจะกลับไปยังที่พักแล้ว
มันคือความบังเอิญที่ผมไม่คาดคิดจริงๆ ....
ไหนๆ ก็กล่าวมาจนตรงนี้ ก็ขอเล่าถึงองค์กรที่ผมเคยร่วมในยุคนั้นแล้วกันนะ ... “สมัยไล่ทักษิณ ปี ๒๕๔๙” มีการรวมตัวขององค์กรนักศึกษาหลายๆ สถาบัน รวมทั้งพวกปัจเจกชนนักศึกษาที่ไม่มีสังกัดด้วย กลุ่มนี้ก็ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อประสานงานกับองค์กรต่างๆ และนำพวกปัจเจกชนเหล่านี้เข้ามาทำงาน ภายใต้ชื่อที่ว่า "ศูนย์ประสานงานนักเรียนนิสิตนักศึกษา" หรือ ศนศ. ซึ่งอันที่จริงก็ก่อตั้งโดยกลุ่มแรงคิดฯ ของพวกลูกอดีตคนเดือนตุลาฯ นั่นล่ะ ผมในเวลานั้นเป็นนักศึกษาปี ๔ รามคำแหง ก็โดนจับพลัดจับพลูให้มาเป็น กก.ชุดเฉพาะกิจซะงั้น ภารกิจของพวกเราก็แน่นอนคือประสานงานขับเคลื่อนขบวนการนักศึกษา สร้างกิจกรรมให้กับมวลชน เป็นต้น
ซึ่งต่อมาหลังจบการชุมนุมปี ๔๙ ก็ยังคงมีกิจกรรมอยู่บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ไปในทางให้ความรู้ประชาชน ทั้งการจัดค่าย จัดการประกวดต่างๆ ในปี ๕๑ สมัยที่พันธมิตรฯ ชุมนุม ๑๙๓ วัน บทบาทก็ค่อยๆ เลือนรางและแปรเปลี่ยนกลายเป็นกลุ่มอื่นๆ ที่แทนขึ้นมา ทั้งสาธิตมัฆวาน และ ยังแพด ซึ่งก็มีคนจาก ศนศ.กระจายไปอยู่กันทั้ง ๒ กลุ่ม .... ส่วนบทบาทของผมใน ศนศ.นั้น ได้ยุติลงตั้งแต่ผมเข้าสู่วิชาชีพสื่อมวลชนหลังรัฐประหารแล้ว
เราเล่าสารทุกข์สุขดิบกันอย่างสนุกสนาน ราวกับได้มาร่วมชุมนุมกันอีกครั้ง ๑ พร้อมกับพลางขอ ส.ส.ประชาธิปัตย์ บางคนถ่ายรูปไปด้วย เพราะบังเอิญไปนั่งหน้าห้องพิเศษที่ ส.ส.พรรคจองไว้ (แน่นอนว่าไม่มีรูปผมถ่ายกะพวกพี่เขาแน่นอน ฮ่าๆๆ) เห็นน้าสุเทพ เดินผ่านไปมา น้ามาร์ค ก็มีแต่คนขอถ่ายรูป แต่นั่นก็แค่เรื่องสนุกไม่ใช่สาระอะไรของพวกเรา ผมสั่งน้องๆ (โถ.... พ่อผู้มีบารมี) ให้โทรเช็กน้องอีก ๒ คน ที่ได้นัดหมายไว้ ซึ่งก็ครบครัน ทั้งภัท อดีตเด็กนักเรียนที่เคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ร่วมกับ มิ้ง คู่หูต่างโรงเรียน จนเป็นที่ฮือฮาในขณะนั้นว่าเด็กขาสั้นก็สนใจเรื่องบ้านเมืองนะ
เราออกจากร้านเพื่อไปพบกับพริ้นท์ อดีตเลขาฯ ศนศ.คนสุดท้าย (เข้าใจว่ามีคนเดียว) บนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตรงข้ามร้านแมคโดนัลด์ และที่บังเอิญเหมือนกันว่า เขาก็นัดหมายน้องๆ ศนศ.มาร่วมชุมนุมด้วย กลายเป็นงานรวมสมาชิกผู้ร่วมอุดมการณ์ไปเลยทีเดียว ทั้งน้องฟ้า อดีตสาวคอนแวนท์ ,น้องหนิงกะน้องแนน ๒ พี่น้องที่ลุยมาทุกสมรภูมิ ,นมกะชุบ ที่พบรักกันในม็อบจนบัดนี้ก็ยังคงคบกันอยู่ ... พวกเรารู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยอีกครั้ง ตรงจุดที่เรายืน ต่างก็เล่าถึงเหตุการณ์เก่าๆ กันอย่างสนุกสนาน ราวกับมันเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่วันที่ผ่านมา ก่อนจะจากลากันไป จนแทบไม่ได้สนใจสาระบนเวทีเลยว่า เขาปราศรัยอะไรกัน (รู้แต่ว่า แตงโม น่ารักมาก)
แม้วันนี้ทุกคนจะโตขึ้น อุดมการณ์หลายคนก็เปลี่ยนไป ตามแต่คนเหล่านั้นจะได้เจอประสบการณ์มา แต่ก็ต้องขอบคุณกาลเวลา และสถานการณ์ ที่ทำให้พวกเราได้เจอกันอีกครั้งหนึ่ง...
เสียดาย ที่ไม่ได้เจอกับอีกหลายๆ คน ....
................ เล่ามาถึงขนาดนี้ ก็ขอแว๊บเข้า “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” สักหน่อยแล้วกันนะ ........
ใจจริง ตามจุดประสงค์เดิม “ไม่ได้ต้องการจะใช้พื้นที่คอลัมน์ในการเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับการเมือง” สักเท่าไหร่ ไอ้เราก็รู้งูๆ ปลาๆ หาใช่ที่อวดอ้างแสดงวิชา บทความส่วนใหญ่เลยมักจะเขียนเรื่องท่องเที่ยวบ้าง ของกินบ้าง บ่นสาธารณูปโภคโน้นนี่นั่นบ้าง ตามประสาคนชอบเล่า
แต่ครั้งนี้มันไม่ไหวจริงๆ
ผมคิดเอาไว้ตั้งแต่ที่คุณประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ส.ส.เพื่อไทย แกชงสุดซอยในที่ประชุม กรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.นี้แล้วว่า โอ้ ถ้ามันผ่านนี่ได้ย้อนยุคกลับไปสู่ก่อนรัฐประหาร ๔๙ แน่ๆ คลื่นมหาชนจะต้องไม่พอใจและออกมาร่วมชุมนุมแน่นอน แต่กับกลุ่มไหนไม่รู้ เพราะตอนนั้นก็ยังไม่คิดว่า ฝั่งประชาธิปัตย์แกจะเต็มสูบ มาบัดนี้ก็พลันโล่งใจได้เปราะนึง ที่ฝ่ายค้านเอาจริงในการนำมวลชน
พอได้อ่านร่างพ.ร.บ.ฯ แล้วก็มีความรู้สึกว่า มันแปร่งๆ ไปหน่อยมั้ย ล้างผิดให้หมด มันดูงงๆ นะว่า เฮ้ย ทำไมมันปรองดองง่ายจังวะ พวกคุณไม่อยากจะรู้หน่อยเหรอว่า ผู้ใดเป็นคนสังหารในเหตุการณ์พฤษภา ๕๓ ผมเองก็อยากรู้ว่าตกลงแล้วใคร ชายชุดดำมีจริงมั้ย ถ้าล้างผิดกันแบบนี้ก็จบกันพอดี ไม่ต้องรู้ว่าใครฆ่า พ.อ.ร่มเกล้าฯ เหตุยิงเอ็ม ๗๙ ใส่พวกเสื้อเหลืองจนมีคนตายฝีมือใคร (เออ แล้วเรื่องนี้มันไปถึงไหนวะ เงียบเชียว) หรือจะปล่อยให้ผู้ถูกกล่าวหามันเป็นจำเลยไปตลอด ไม่ต้องไปรู้หรอกว่าจริงๆ แล้วใครมันทำ ให้รู้แค่นั้นพอ ..... มันใช่เหรอวะ?
ปรองดองแบบนี้มันตลกไปหรือเปล่า ปรองดองโดยที่ความจริงยังถูกค้นหาไม่สิ้นสุด สุดท้ายสังคมได้อะไร ใครได้อะไร แน่นอน ทุกคนได้พ้นคดี รอดคุก ... แต่สุดท้ายก็ต้องถูกฝ่ายตรงข้ามหยิบยกเอามาชี้หน้าเป็นตราบาปไปตลอดชีวิตโดยที่ไม่มีการพิสูจน์งั้นหรือ ?
ใช้เสียงข้างมากผ่านกฏหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้ตามอำเภอใจ ใครทำผิดแล้วอยากจะพ้นผิดก็จัดให้ ก็เจริญกันล่ะครับ!!
อย่างล่าสุดนี่เห็นว่าจะมีการยับยั้งร่างฯ โดยเหล่าบรรดา ส.ว.ที่จะตีตกไม่โหวตผ่าน คืนร่างสู่สภาให้พิจารณาภายหลัง ๑๘๐ วัน ก็ดูเหมือนจะดี แต่ก็ยังไม่เห็นมีการการันตีว่าจะไม่หยิบยกมาดูอีก เลิก พอกันที มีแต่เรื่องอวดอ้างสรรพคุณว่ามันดีอย่างนั้น อย่างนี้ ผมฟังแล้วหน่าย นี่พวกคุณไม่เข้าใจเลยเหรอวะว่าเขาค้านเพราะอะไรเนี่ย???
ถ้ายังเป็นอย่างนี้ล่ะก็ ฮ่าๆๆ ก็วุ่นมันต่อไปอย่างนี้ล่ะครับ ..... เหนื่อยจริงๆ ประเทศเรา
เชื่อใครก็เชื่อได้ แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็น "นักการเมือง" นี่ ผมขอบายแล้วกัน
โอ้ .... รู้สึกจะพูดเรื่องการเมืองมากไปแล้วนะคุณดรงค์ ... อิอิ
......................
ไหนๆ บทความนี้ก็ดูจะหาสาระอะไรมิได้ ก็ขอเป็นพื้นที่พูดคุยกันสักหน่อย ฮ่าๆๆ
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านคอลัมน์ "คิดเห็นส่วนตัว" ของผม รวมทั้งหลายๆ คนที่แชร์ผ่านสังคมออนไลน์ ด้วย อันนี้ดีใจจริงๆ ส่วนผู้ที่แสดงความเห็นในเว็บไซต์ผู้จัดการทั้งติชม ผมได้อ่านหมด และน้อมรับความผิดพลาดที่ “ตำหนิ” กันมา ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมจะนำไปปรับปรุงให้งานเขียนดีขึ้นกว่าเดิม สำหรับคนที่ชื่นชมผมก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ทำให้พวกท่านได้รู้สึกดี เปรียบเสมือนฝืนที่เติมไฟในเตาให้แผดเผาหุงต้มอาหารได้ต่อ
สำหรับผู้ที่ติดตามซีรีย์ “ฮ่องกง ออน ฟุต” (แต่ผมไม่ได้เป็นฮ่องกงฟุตนะ) จะพยายามนำลงตีพิมพ์ให้เสร็จอย่างช้าที่สุดคือไม่ให้น๊อกรอบ (ก.พ.๕๗) นะครับ ฮ่าๆๆๆ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ติดตาม ก็ลองฝืนอ่านดูได้ ถ้าชอบกดไลค์ ถ้าใช่กดแชร์ ตามสบายเลยครับ
ตอนแรกผมวางแผนคร่าวๆ ว่าจะเขียนเรื่อง “อาหารในม็อบ” พูดง่ายๆ คือ ตระเวนชิมที่เขามาแจกชาวบ้านนั่นล่ะ กะว่าจะไปทั้งที่ “แยกอุรุพงษ์” ซึ่งเป็นจุดอาศัยของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) แล้วมาที่เวทีกองทัพธรรม ตรงสะพานผ่านฟ้า ก่อนจะมาจบตรงเวทีประชาธิปัตย์ แต่ .... ก็พลันคิดได้ว่า อย่าเลยคุณดรงค์ เอ๊ย เขาเอามาแจกให้มวลชนได้หายหิวก็ดีถมเถแล้ว ยังจะไปแย่งเขาอีกเน้อออออ แผนก็เลยกลายเป็น “เยี่ยมชมม็อบราชดำเนิน” ที่เดียว
หลังทานผัดไทยเสร็จ ผมก็กะว่าจะไปเดินสำรวจตามที่คาดหวังไว้ แต่โอ๊ต อดีตนักศึกษาเอแบค ๑ ในรุ่นน้องที่มาด้วยกันดันอยากจะเป็นอำมาตย์นั่งทานแบบหรูๆ พร้อมกับบรรยากาศการชุมนุมรอบด้าน ที่ร้านเมธาวลัย ศรแดง ทำเอาผมกับมิ้ง รุ่นน้องอีกคนที่มาด้วยกันก็แอบเซ็งนิดๆ แต่ก็จำยอมเพราะเห็นมันไปยืนรอหน้าร้านอยู่นาน สองนาน จนกระทั่งโต๊ะว่าง และอีกอย่างผมก็ยังไม่เคยกินร้านนี้เลย ก็ถือโอกาสได้ลองชิมสักอย่าง ๒ อย่าง
อันที่จริงตัวผมก็เคยแว่บมา “เวทีราชดำเนิน” แล้วเมื่อวานนี้ (๔ พ.ย.) หลังจากที่คุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ในฐานะแกนนำม็อบ) เคลื่อนทัพจากสามเสนมาปักหลักที่นี่ ในวันนั้นคนค่อนข้างเยอะพอสมควร ก็เต็มพื้นที่ด้านหน้าเวที ยาวไปจนถึงแทบพิพิธภัณฑ์ นิทรรศรัตนโกสินทร์ ได้ แต่ที่รู้สึกเป็นห่วงคือเรื่องของการรักษาความปลอดภัยแลดูไม่ค่อยมีนัก แสงไฟสลัว บางจุดมืดมน ช่างเสี่ยงภัยแก่คนเดินถนนเสียจริง แต่ในวันนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้น มีการเอาไฟส่องทางเคลื่อนที่มาตั้งให้สว่างขึ้น มีการ์ดคุมพื้นที่เข้าออกบางจุด เริ่มเป็นระบบมากกว่าเดิม
ผมนั่งรออาหารท่ามกลางคนแน่นร้าน เหล่าบรรดา ส.ส.ประชาธิปัตย์ พร้อมผู้สนับสนุนเดินกันให้ขวักไขว่ภายใน พร้อมกับคุณกิตตินันท์ เจ้าของคอลัมน์ระบบหลังบ้านระบบชีวิต ในเว็บไซต์ผู้จัดการ ที่เดินเข้ามาสมทบร่วมโต๊ะตามที่นัดหมาย ส่วนภายนอกหน้าต่างถ้าใครเคยมากินหรือผ่านมาร้านนี้จะเห็นว่ามีกระจกใสเป็นหน้าต่างของร้าน มันเก็บเสียงได้ดีจนไม่ได้ยินคำพูดของคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค) ที่กล่าวบนเวทีเลย (สุดยอดจริงๆ) ผมนั่งมองออกไปพบชายคนนึงกำลังเดินอยู่หน้าร้าน แล้วก็เหลือบหันมามองภายในร้าน มองโต๊ะที่ผมนั่ง ผมถึงกับตกใจกับบุคคลคนนั้น ....
ใช่แล้วครับ เขาคือเพื่อนผมที่ไม่ได้เจอกันมา ๗ ปี นับตั้งแต่รัฐประหารปี ๒๕๔๙ ผมโบกมือให้เขาเดินเข้ามาภายในร้าน ผู้ร่วมโต๊ะที่นั่งกันอยู่ก็ต่างตะลึงกับบุคคลที่ไม่คาดฝันว่าจะได้มาเจอเช่นกัน... อาร์ต อดีตนักศึกษา ม.ราชภัฎสวนสุนันทา ที่เคยเป็น ๑ ในฟันเฟืองสำคัญของการต่อสู้ของกลุ่มในยุคนั้น เขามาพูดคุยกันด้วยความคุ้นเคย และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เขาเพิ่งบินตรงมาจากภูเก็ตมาที่ม็อบ และที่สำคัญคือระหว่างที่เดินผ่านหน้าร้าน เขากำลังจะกลับไปยังที่พักแล้ว
มันคือความบังเอิญที่ผมไม่คาดคิดจริงๆ ....
ไหนๆ ก็กล่าวมาจนตรงนี้ ก็ขอเล่าถึงองค์กรที่ผมเคยร่วมในยุคนั้นแล้วกันนะ ... “สมัยไล่ทักษิณ ปี ๒๕๔๙” มีการรวมตัวขององค์กรนักศึกษาหลายๆ สถาบัน รวมทั้งพวกปัจเจกชนนักศึกษาที่ไม่มีสังกัดด้วย กลุ่มนี้ก็ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อประสานงานกับองค์กรต่างๆ และนำพวกปัจเจกชนเหล่านี้เข้ามาทำงาน ภายใต้ชื่อที่ว่า "ศูนย์ประสานงานนักเรียนนิสิตนักศึกษา" หรือ ศนศ. ซึ่งอันที่จริงก็ก่อตั้งโดยกลุ่มแรงคิดฯ ของพวกลูกอดีตคนเดือนตุลาฯ นั่นล่ะ ผมในเวลานั้นเป็นนักศึกษาปี ๔ รามคำแหง ก็โดนจับพลัดจับพลูให้มาเป็น กก.ชุดเฉพาะกิจซะงั้น ภารกิจของพวกเราก็แน่นอนคือประสานงานขับเคลื่อนขบวนการนักศึกษา สร้างกิจกรรมให้กับมวลชน เป็นต้น
ซึ่งต่อมาหลังจบการชุมนุมปี ๔๙ ก็ยังคงมีกิจกรรมอยู่บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ไปในทางให้ความรู้ประชาชน ทั้งการจัดค่าย จัดการประกวดต่างๆ ในปี ๕๑ สมัยที่พันธมิตรฯ ชุมนุม ๑๙๓ วัน บทบาทก็ค่อยๆ เลือนรางและแปรเปลี่ยนกลายเป็นกลุ่มอื่นๆ ที่แทนขึ้นมา ทั้งสาธิตมัฆวาน และ ยังแพด ซึ่งก็มีคนจาก ศนศ.กระจายไปอยู่กันทั้ง ๒ กลุ่ม .... ส่วนบทบาทของผมใน ศนศ.นั้น ได้ยุติลงตั้งแต่ผมเข้าสู่วิชาชีพสื่อมวลชนหลังรัฐประหารแล้ว
เราเล่าสารทุกข์สุขดิบกันอย่างสนุกสนาน ราวกับได้มาร่วมชุมนุมกันอีกครั้ง ๑ พร้อมกับพลางขอ ส.ส.ประชาธิปัตย์ บางคนถ่ายรูปไปด้วย เพราะบังเอิญไปนั่งหน้าห้องพิเศษที่ ส.ส.พรรคจองไว้ (แน่นอนว่าไม่มีรูปผมถ่ายกะพวกพี่เขาแน่นอน ฮ่าๆๆ) เห็นน้าสุเทพ เดินผ่านไปมา น้ามาร์ค ก็มีแต่คนขอถ่ายรูป แต่นั่นก็แค่เรื่องสนุกไม่ใช่สาระอะไรของพวกเรา ผมสั่งน้องๆ (โถ.... พ่อผู้มีบารมี) ให้โทรเช็กน้องอีก ๒ คน ที่ได้นัดหมายไว้ ซึ่งก็ครบครัน ทั้งภัท อดีตเด็กนักเรียนที่เคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ร่วมกับ มิ้ง คู่หูต่างโรงเรียน จนเป็นที่ฮือฮาในขณะนั้นว่าเด็กขาสั้นก็สนใจเรื่องบ้านเมืองนะ
เราออกจากร้านเพื่อไปพบกับพริ้นท์ อดีตเลขาฯ ศนศ.คนสุดท้าย (เข้าใจว่ามีคนเดียว) บนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตรงข้ามร้านแมคโดนัลด์ และที่บังเอิญเหมือนกันว่า เขาก็นัดหมายน้องๆ ศนศ.มาร่วมชุมนุมด้วย กลายเป็นงานรวมสมาชิกผู้ร่วมอุดมการณ์ไปเลยทีเดียว ทั้งน้องฟ้า อดีตสาวคอนแวนท์ ,น้องหนิงกะน้องแนน ๒ พี่น้องที่ลุยมาทุกสมรภูมิ ,นมกะชุบ ที่พบรักกันในม็อบจนบัดนี้ก็ยังคงคบกันอยู่ ... พวกเรารู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยอีกครั้ง ตรงจุดที่เรายืน ต่างก็เล่าถึงเหตุการณ์เก่าๆ กันอย่างสนุกสนาน ราวกับมันเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่วันที่ผ่านมา ก่อนจะจากลากันไป จนแทบไม่ได้สนใจสาระบนเวทีเลยว่า เขาปราศรัยอะไรกัน (รู้แต่ว่า แตงโม น่ารักมาก)
แม้วันนี้ทุกคนจะโตขึ้น อุดมการณ์หลายคนก็เปลี่ยนไป ตามแต่คนเหล่านั้นจะได้เจอประสบการณ์มา แต่ก็ต้องขอบคุณกาลเวลา และสถานการณ์ ที่ทำให้พวกเราได้เจอกันอีกครั้งหนึ่ง...
เสียดาย ที่ไม่ได้เจอกับอีกหลายๆ คน ....
................ เล่ามาถึงขนาดนี้ ก็ขอแว๊บเข้า “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” สักหน่อยแล้วกันนะ ........
ใจจริง ตามจุดประสงค์เดิม “ไม่ได้ต้องการจะใช้พื้นที่คอลัมน์ในการเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับการเมือง” สักเท่าไหร่ ไอ้เราก็รู้งูๆ ปลาๆ หาใช่ที่อวดอ้างแสดงวิชา บทความส่วนใหญ่เลยมักจะเขียนเรื่องท่องเที่ยวบ้าง ของกินบ้าง บ่นสาธารณูปโภคโน้นนี่นั่นบ้าง ตามประสาคนชอบเล่า
แต่ครั้งนี้มันไม่ไหวจริงๆ
ผมคิดเอาไว้ตั้งแต่ที่คุณประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ส.ส.เพื่อไทย แกชงสุดซอยในที่ประชุม กรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.นี้แล้วว่า โอ้ ถ้ามันผ่านนี่ได้ย้อนยุคกลับไปสู่ก่อนรัฐประหาร ๔๙ แน่ๆ คลื่นมหาชนจะต้องไม่พอใจและออกมาร่วมชุมนุมแน่นอน แต่กับกลุ่มไหนไม่รู้ เพราะตอนนั้นก็ยังไม่คิดว่า ฝั่งประชาธิปัตย์แกจะเต็มสูบ มาบัดนี้ก็พลันโล่งใจได้เปราะนึง ที่ฝ่ายค้านเอาจริงในการนำมวลชน
พอได้อ่านร่างพ.ร.บ.ฯ แล้วก็มีความรู้สึกว่า มันแปร่งๆ ไปหน่อยมั้ย ล้างผิดให้หมด มันดูงงๆ นะว่า เฮ้ย ทำไมมันปรองดองง่ายจังวะ พวกคุณไม่อยากจะรู้หน่อยเหรอว่า ผู้ใดเป็นคนสังหารในเหตุการณ์พฤษภา ๕๓ ผมเองก็อยากรู้ว่าตกลงแล้วใคร ชายชุดดำมีจริงมั้ย ถ้าล้างผิดกันแบบนี้ก็จบกันพอดี ไม่ต้องรู้ว่าใครฆ่า พ.อ.ร่มเกล้าฯ เหตุยิงเอ็ม ๗๙ ใส่พวกเสื้อเหลืองจนมีคนตายฝีมือใคร (เออ แล้วเรื่องนี้มันไปถึงไหนวะ เงียบเชียว) หรือจะปล่อยให้ผู้ถูกกล่าวหามันเป็นจำเลยไปตลอด ไม่ต้องไปรู้หรอกว่าจริงๆ แล้วใครมันทำ ให้รู้แค่นั้นพอ ..... มันใช่เหรอวะ?
ปรองดองแบบนี้มันตลกไปหรือเปล่า ปรองดองโดยที่ความจริงยังถูกค้นหาไม่สิ้นสุด สุดท้ายสังคมได้อะไร ใครได้อะไร แน่นอน ทุกคนได้พ้นคดี รอดคุก ... แต่สุดท้ายก็ต้องถูกฝ่ายตรงข้ามหยิบยกเอามาชี้หน้าเป็นตราบาปไปตลอดชีวิตโดยที่ไม่มีการพิสูจน์งั้นหรือ ?
ใช้เสียงข้างมากผ่านกฏหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้ตามอำเภอใจ ใครทำผิดแล้วอยากจะพ้นผิดก็จัดให้ ก็เจริญกันล่ะครับ!!
อย่างล่าสุดนี่เห็นว่าจะมีการยับยั้งร่างฯ โดยเหล่าบรรดา ส.ว.ที่จะตีตกไม่โหวตผ่าน คืนร่างสู่สภาให้พิจารณาภายหลัง ๑๘๐ วัน ก็ดูเหมือนจะดี แต่ก็ยังไม่เห็นมีการการันตีว่าจะไม่หยิบยกมาดูอีก เลิก พอกันที มีแต่เรื่องอวดอ้างสรรพคุณว่ามันดีอย่างนั้น อย่างนี้ ผมฟังแล้วหน่าย นี่พวกคุณไม่เข้าใจเลยเหรอวะว่าเขาค้านเพราะอะไรเนี่ย???
ถ้ายังเป็นอย่างนี้ล่ะก็ ฮ่าๆๆ ก็วุ่นมันต่อไปอย่างนี้ล่ะครับ ..... เหนื่อยจริงๆ ประเทศเรา
เชื่อใครก็เชื่อได้ แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็น "นักการเมือง" นี่ ผมขอบายแล้วกัน
โอ้ .... รู้สึกจะพูดเรื่องการเมืองมากไปแล้วนะคุณดรงค์ ... อิอิ
......................
ไหนๆ บทความนี้ก็ดูจะหาสาระอะไรมิได้ ก็ขอเป็นพื้นที่พูดคุยกันสักหน่อย ฮ่าๆๆ
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านคอลัมน์ "คิดเห็นส่วนตัว" ของผม รวมทั้งหลายๆ คนที่แชร์ผ่านสังคมออนไลน์ ด้วย อันนี้ดีใจจริงๆ ส่วนผู้ที่แสดงความเห็นในเว็บไซต์ผู้จัดการทั้งติชม ผมได้อ่านหมด และน้อมรับความผิดพลาดที่ “ตำหนิ” กันมา ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมจะนำไปปรับปรุงให้งานเขียนดีขึ้นกว่าเดิม สำหรับคนที่ชื่นชมผมก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ทำให้พวกท่านได้รู้สึกดี เปรียบเสมือนฝืนที่เติมไฟในเตาให้แผดเผาหุงต้มอาหารได้ต่อ
สำหรับผู้ที่ติดตามซีรีย์ “ฮ่องกง ออน ฟุต” (แต่ผมไม่ได้เป็นฮ่องกงฟุตนะ) จะพยายามนำลงตีพิมพ์ให้เสร็จอย่างช้าที่สุดคือไม่ให้น๊อกรอบ (ก.พ.๕๗) นะครับ ฮ่าๆๆๆ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ติดตาม ก็ลองฝืนอ่านดูได้ ถ้าชอบกดไลค์ ถ้าใช่กดแชร์ ตามสบายเลยครับ