เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมแว่บไปย่านบางบอนตามที่ได้นัดหมายกับเพื่อนของผมคนหนึ่ง หลังจากที่เขาได้เขียนข้อความผ่านแฟนเพจของเขาที่ชื่อว่า “SchwedaKong” บอกเล่าในเรื่องเกี่ยวกับของกินในถิ่นอาศัยของเขาที่มีชาวต่างชาติสัญชาติละแวกเพื่อนบ้านอยู่เป็นจำนวนมาก เขาเล่าว่า แถวบ้านมีร้านอาหารพม่าอยู่หลายร้านแต่ไม่ค่อยมีคนไทยไปกินสักเท่าไหร่ ... ผมเห็นปั๊บ เออ ไอ้เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าอาหารพม่ามันเป็นยังไงวะ เลยตัดสินใจหลังไมค์ (ส่งข้อความ) ไปคุยกันในเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อบอกเล่าถึงความสนใจให้เขาฟัง
แฟนเพจ "SchwedaKong" ของ ก้อง วรรษพล แสงสีทอง อดีตนักศิลปกรรม (ไม่สิ ตอนนี้เขาก็ยังทำอยู่บ้าง) ผู้หันเหมาศึกษาเรื่องอาหารแบบเต็มๆ ตัว เป็นเว็บไซต์ที่บอกเล่าเรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับอาหาร ทั้งความรู้ในชนิดของวัตถุดิบ ความเป็นมาของอาหาร การทดลองทำอาหารหลายๆ ประเภท และที่โดดเด่นคือการตีความจากอาหารที่ถูกเขียนขึ้นในการ์ตูนญี่ปุ่นหลายๆ เรื่อง เช่น “จอมโหดกระทะเหล็ก” นำมาผลิตให้เป็นอาหารจริง รวมทั้งนำสินค้าเหล่านั้นนัดหมายขายผ่านทางแฟนเพจเพื่อให้ลูกค้าเฉพาะทางได้ทดลองชิมกันด้วย
คุณก้อง (เอิ่ม .... รู้สึกกระดากปากยังไงไม่รู้ ขออนุุญาตผู้อ่านเรียกเพื่อนว่า ไอ้ก้อง นะครับ ฮ่าๆๆ) บอกทางหลังไมค์กับผมเพิ่มว่า นอกจาก “ตลาดร้านค้าพม่า” แล้ว แถวนั้นยังมี “ตลาดของชาวอีสาน” ซึ่งมีสินค้าที่และวัตถุดิบใช้ทำอาหารพื้นเมืองอยู่อีกด้วย นั่นยิ่งทำให้ผมอยากจะมาดูและชิมอย่างยิ่ง
ถึงวันนัดหมายผมเดินทางด้วยรถประจำทางจากตลาดบางแค เป็นรถเมล์สีออกน้ำเงินเหลือบฟ้า สภาพโทรมๆ และขนาดไม่ใหญ่นัก คล้ายๆ รถที่วิ่งรับส่งระหว่างเมืองในต่างจังหวัด ถ้าท่านผู้อ่านบ้านไม่ได้อยู่ใน กทม.คงนึกภาพออก รถคันนี้วิ่งเข้าซอยกำนันแม้น จุดสิ้นสุดทางอยู่ที่ บิ๊กซีบางบอน แต่นั่นยังไม่ใช่จุดหมายของผมครับ เราต้องนั่งรถกันไปต่อที่ “ซ.ตลาดสดศิริชัย ๑” อยู่ใกล้ๆ ซ.เอกชัย ๘๓/๕ แถวๆ แยกบางบอน-บางขุนเทียน เพื่อเข้าไปยังตลาด ครับ
จุดแรกที่เราจะไปก็คือตลาดอีสานครับ ซึ่งก็ต้องเดินเข้ามาภายในซอยตลาดข้างห้างเพชรทองแม่กิ่งทอง จากปากซอยผ่านตลาดสดปกติ ที่มีชาวสยามค้าขายกันอยู่ไปจนสุดซอยจะเจอตรอกเล็กๆ ทางด้านซ้ายมือ มีของสดขายคล้ายๆ ตลาดนัดย่อมๆ ตรงนั้นเป็นดงที่เราตามหากันล่ะครับ โดยรวมก็จะขายของคล้ายๆ กับตลาดทั่วไป แต่ที่ต่างหน่อยก็จะมีพวก “อาหารถิ่น” อาทิ ข้าวเม่า ,ลูกหมากเม่า ,กลอย ,เห็ดระโงก แม่ค้าบอกว่าเป็นเห็ดป่า มีเมือกลื่นๆ ส่วนมากใช้ทำแกงเห็ด , ผำ?? มันเป็นเม็ดเล็กๆ มากคล้ายๆ ไข่กุ้งที่เรากินในอาหารญี่ปุ่น แต่อันนี้คล้ายๆ สาหร่ายหรือแหน เห็นว่าขึ้นในน้ำสะอาดเท่านั้น ส่วนใหญ่ไว้ใช้ทำแกง หรือผัดไข่
อย่างพวกเนื้อสัตว์ ก็มี ปลาร้า ปลาหมอ ปลาไหล ไข่ปลาสลิด แมงดา อึ่งอ่าง ?? เห็นว่าเขาเอาไปทำอาหารพวกต้มแซ่บ หรือย่างเพื่อทำน้ำพริก อ้ายวัว ?? อันนี้คือวัวที่ตายในครรภ์ ไอ้ก้องบอกว่า เขาเอาไปคลุกเครื่องเทศเพื่อดับกลิ่นคาวแล้วนึ่ง รสชาติก็เหมือนกินเนื้อวัวแต่นุ่มกว่า อย่างกบนี่เขาก็ชำแหละให้เห็นกันชัดๆ ด้วยนิ้ว (ในตลาดทั่วๆ ไปเขาก็ทำกัน แต่คนไม่ค่อยได้เดินตลาดแบบผมเลยตื่นเต้นนิดหน่อย) หรือจะหาอาหารปกติแบบพวกเป็ด ไก่ ก็มีครับ มาเป็นๆ ขังไว้ในกรง เหมือนตรงแถวๆ วัดมังกรกมลาวาส ย่านเยาวราช ถ้าอยากได้ตัวไหนจงชี้ เขาจะฆ่าให้ ฆาตกรจะทำการฆาตกรรมโดยนำสัตว์ปีกที่ว่าไปเชือดคอ แล้วปล่อยไว้ในกรงแยก พอมันเริ่มหมดแรงก็จับกดลงในปี๊บน้ำร้อนเดือดจนสุก แล้วค่อยถอนขน ก่อนนำไปย่างพอสุก แล้วใส่ถุงให้ลูกค้า เหมือนย้อนไปยังสมัยก่อนเลยทีเดียว .... จะว่าโหดก็โหดแต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาในวิถีของเขา
ส่วนแม่ค้าส่วนใหญ่ก็จะพูดภาษาอีสานบ้านเฮานั่นแล โดยตลาดจะขายของ “เฉพาะทุกวันอาทิตย์เท่านั้น” แต่จะว่าไปแถวนี้ไม่ค่อยมีอาหารปรุงสุกสักเท่าไหร่ ผมเลยตัดสินใจเดินทางต่อไปยังตลาดพม่า
เราเดินย้อนกลับมายังถนนใหญ่แล้วข้ามไปฝั่งตรงข้าม เดินไปทางสามแยก โซนนั้นทั้งโซนเป็น “ย่านการค้าอาหารของชาวพม่า” ครับ ถ้านอกจากอาหารแล้วก็มีพวกหนังสือภาษาพม่า หนังสือพิมพ์ก็มีนะ ภาพยนตร์ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ฝรั่ง หรือแม้แต่ชาติหม่อง ในรูปแบบดีวีดีพากย์หรือซับไตเติลภาษาพม่า ร้านขายโทรศัพท์มือถือ ร้านเสื้อผ้า และอื่นๆ แต่วันนี้เราจะมาสำรวจเฉพาะอาหารล้วนๆ
พูดถึงฝั่งนี้หาของสดจะไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ เท่าที่เห็นก็มีพวกปลา อย่างเนื้อปลากระเบน ,ปลานวลจันทร์ หรือไม่ก็พวกปลาแห้ง ส่วนพืชท้องถิ่นก็มี มะตาด ลูกสีเขียวอ่อนๆ มีรสเปรี้ยว เอาไว้แกง ,ทอปาด รูปร่างคล้ายๆ กับอโวคาโด ไม่สิ มันคืออโวคาโดนั่นล่ะ!!! พม่าไฮโซนะครับ ไอ้ก้องบอกว่า เขาเอาไว้กินกับน้ำแข็งไส พอผมเดินลึกๆ เข้าไปข้างในมีอยู่ร้านนึงขายสินค้าเครื่องปรุง เครื่องเคียงพม่า พวกผักดอง หรือของขบเคี้ยว ไอ้ก้องบอกว่า ร้านนี้เป็นร้านชาวไทยใหญ่
แล้วผมเจอสิ่งที่ผมคุ้นตามากมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ อย่างนึง นั่นคือถั่ว “แปะจี” ผมจำไม่ได้ว่า ภาษาถิ่นเรียกว่าอะไร แต่บ้านเกิดผมที่เมืองตากเขาเรียกแบบนี้ มันเป็นถั่วที่ขนาดใหญ่กว่าถั่วเหลืองหน่อย (บ้างก็ว่าเป็นถั่วเหลือง) เอาไปทอดคลุกเกลือ รสกึ่งๆ อารมณ์ถั่วปากอ้า แต่แข็งกว่า ส่วนอีกอย่างที่ผมเห็นว่าคุ้นตาและมีขายด้วยก็คือ “แปะหล่อ” อันนี้ลักษณะเหมือนถั่วเหลือง เอาไปคั่วคลุกเกลือ ผมไม่ค่อยชอบเพราะมันแข็งกว่าแปะจี กินยาก
เดินนานๆ เริ่มหิว ว่ากันด้วยของกินเลยดีกว่า ฝั่งพม่านี่ตลอดแนวจะมีร้านอาหารทั้งไทยและพม่า อาหารไทยก็ตามที่เราเคยเห็นนั่นล่ะไม่มีอะไรแปลกใหม่ ส่วน “อาหารพม่า” ถ้าเป็นร้านข้าวแกงก็จะมีพวกแกงเผ็ดน้ำมันพริกเยอะๆ (เห็นสีแล้วนึกถึงพวกแกงเผ็ดแถบๆ บ้านปู่ที่อยุธยาเลย) หรือผัดพริกคล้ายๆ บ้านเรา แต่ไอ้ก้องบอกว่า ถึงแม้สีจะแดงเถือกขนาดนั้น จริงๆ แล้วมันไม่เผ็ดเลย เพราะใช้พริกชี้ฟ้าผงปรุง
แต่ถ้าจะเฉพาะทางเข้าไปอีกก็ต้องเริ่มจากร้านนี้ครับ เขาขายพวกเครื่องในหมูต้มเสียบไม้ วางเรียงไว้บนปากหม้อขนาดใหญ่ คล้ายๆหม้อก๋วยเตี๋ยวแต่ตื้นกว่า ขายไม้ละ ๒ บาท อันนี้เขาเรียกว่า “แว๊ตตาตือโถว” ถ้ามนุษย์แบบผมซึ่งไม่กินเครื่องในสัตว์ (บางชนิด) ก็สามารถทานอย่างอื่นได้ เช่น หูหมู ลิ้นหมู ต้ม เวลากินก่อนอื่นต้องเลือกไม้ที่ต้องการใส่จานไว้ แล้วมานั่งบาร์หน้าร้าน แม่ค้าก็จะเอาน้ำจิ้มสีแดงคล้ายซอสเย็นตาโฟแบบเต้าหู้ยี้ มาให้ทาน คู่กับน้ำซุปใส เป็นออเดิร์ฟที่แปลกไปอีกแบบ
ไอ้เครื่องในต้มนี่เห็นแล้วก็นึกถึงตอนที่ไปเมืองมาเก๊า ก็มีแบบนี้ เป็นร้านรถเข็นเหมือนลูกชิ้นทอดบ้านเรานั่นล่ะ แต่ของเขาเป็นลูกชิ้นต้ม .... อ่ะ ไว้เล่าตอนภาคต่อของ “Hong Kong on foot” ดีกว่า อิอิ
ร้านนี้ถ้าจำไม่ผิด เขาจะมีข้าวหมกไก่ขายด้วยครับ ผมซื้อกลับมาทานต่อที่กองบก. ด้วยความที่แถวนี้ (บางลำพู) ก็มีร้านข้าวหมกไก่หลายเจ้า ทั้งอาอีซะฮ์ ถ.ตานี,โรตีมะตะบะ ถ.พระอาทิตย์ และร้านในตรอกมัสยิดจักรพงษ์ (จำชื่อไม่ได้แหะ) ก็เป็นแนวอิสลามทั้งนั้น ผมก็อยากจะลองของพม่าดูบ้าง ที่นี่เขาเรียกว่า “ต่านป้อ” เปิดกล่องออกมากลิ่นหอมอบเชยนำเด่นมาเลย เม็ดข้าวไม่ได้สวยมาก สีเหลืองเข้มด้วยขมิ้น ใส่โป๊ยกั๊ก เม็ดมะม่วงหิมพานต์และลูกเกดด้วย (กินไปแล้วแอบนึกถึงข้าวผัดอเมริกัน ฮ่าๆๆ) ส่วนไก่อบเคี่ยวด้วยเครื่องเทศ จนนุ่ม รสคล้ายๆ มัสมั่น มาตรฐานข้าวหมกทั่วไป โดยรวมผมว่า อร่อยเลยล่ะ
กลับมาที่บางบอนต่อ ผมตระเวนชิมอีกร้านนึง ร้านนี้ขายขนมจีนน้ำยาพม่า หรือที่ชาวสยามที่ไปเที่ยวเพื่อนบ้านด้านตะวันตกต่างเคยไปกินกัน นั่นคือ “โมฮิงก่า” เป็นขนมจีนราดด้วยน้ำยาทำจากเต้าเจี้ยวหลนรสเค็มๆ มันๆ ในน้ำยาจะมีหยวกกล้วยด้วย กินคู่กับน้ำเต้าทอดจะอร่อยเพิ่มขึ้นครับ อีกจานที่ผมลองคือยำพม่า เรียกว่า “เต้าโซ่ว” คล้ายๆ เส้นขนมจีนกึ่งๆ บะหมี่ คลุกกับน้ำซอสเย็นตาโฟ ใส่แตงกวา ถั่วงอก ปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว รสเค็มๆ เปรี้ยว ก็พอกินได้ครับอันนี้
จะว่าด้วยของคาวแล้วไม่มีของหวานก็กระไรอยู่ ตรงแถวๆ ก่อนถึงป้ายรถเมล์จะมีร้านขายขนมอยู่ครับ ก็มีขนมคล้ายๆ บ้าบิ่น แต่ทำจากข้าวล้วนๆ โรยด้วยถั่ว แล้วเผาไฟด้านหน้า ข้าวต้มมัดแบบของเราก็มี แต่ไม่มีถั่วนะ อีกอันนึงที่ดูคุ้นๆ สำหรับคนที่เคยไปเที่ยว อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นั่นคือ ข้าวปุก ครับ ข้าวปุกของปายนี่ทำมาจากข้าวเนียวดำผสมงา แต่ของที่นี่ทำจากข้าวเหนียวดำคลุกงาดำ ซึ่งนึ่งมาแล้วกินได้เลยไม่ต้องเอาไปย่างอีก
นอกจากนี้ยังมีอีกร้านนึงขายน้ำแข็งไสปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ เขามี “น้ำแข็งไสฉบับพม่า” ด้วย หน้าร้านจะมีน้ำหวานสีๆ เป็นภาษาพม่า อันประกอบด้วยสีแดงเป็นน้ำพุทรา สีเหลืองน้ำเลมอน สีส้มน้ำสับปะรด และสุดท้ายสีเขียวอมน้ำเงิน น้ำครีมโซดา วิธีการสั่งคือเขาจะไสน้ำแข็งใส่ไว้ในแก้ว จากนั้นก็เลือกเครื่องว่าจะเอาอะไรบ้าง ซึ่งก็มีเฉาก๊วย ขนมปังกรอบ ถั่วลิสง มะพร้าวขูด วุ้นมะพร้าว แล้วค่อยราดน้ำหวาน ตามด้วยนมจืดทับลงไปเป็นอันเสร็จพิธี รสชาติก็จะออกหวานๆ มันๆ แปลกๆ ดี
สิ่งหนึ่งที่ไอ้ก้อง ตั้งข้อสังเกตุคือ แปลกใจว่าทำไมคนไทยถึงไม่ลองทดลองชิมอาหารจากเพื่อนบ้านกันบ้าง ผมคิดว่า คนไทยหลายคนก็คงคิดว่ารสชาติมันต้องไม่อร่อย ไม่น่ากิน ไม่คุ้นปากแน่ๆ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นล่ะครับ ฮ่าๆๆ แต่ก็อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่ไม่อร่อยเลย บางอย่างก็อร่อย แต่ถ้าจะให้เปิดใจกัน ก็คงต้องหา “ณเดชน์ – ญาญ่า” มาตระเวนชิมเป็นลู่ทางก่อนกระมัง
แต่ส่วนตัวมาแล้วชอบที่ได้รู้จักกับความแปลกใหม่ ถือเป็นการได้เรียนรู้ต้อนรับประชาคมอาเซียนที่เราจะได้เข้าสู่สังคมพวกเขาในอีก ๒ ปี ข้างหน้า (เกี่ยวมั้ยวะ?) และผมก็เชื่อว่าในหลายๆ อำเภอ ที่มีชุมชนเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานในเมือง ก็คงจะมีร้านค้าแบบนี้เช่นกัน .... เอาที่ใกล้ตัวสุดก็คือ ถ.ข้าวสาร จริงๆ แล้วก็มีชาวพม่าขี่จักรยานขายอาหารถิ่นให้แก่แรงงานที่มาอาศัยทำมาหากินในหลายๆ ร้านค้าในย่านนั้นด้วย (ผมเคยซื้อของเขากินนะ มีตั้งแต่ข้าว ยันกาแฟ ขนมขบเคี้ยวด้วย)
ถ้าท่านผู้อ่านสนใจจะมาแวะเที่ยว ลองชิมอาหารแปลกๆ ยามเช้า ก่อนไปเที่ยวทะเลบางขุนเทียน ร้านพวกนี้จะเปิดกันราวๆ ๘ โมงเช้าเป็นต้นไป ส่วนตลาดลาวเปิดตั้งแต่หัวรุ่ง หกโมงก็น่าจะมีของแล้ว ก็ลองมาเปิดใจสำรวจดูได้ หรือไม่ท่านผู้อ่านก็ลองไปสำรวจชุมชนแถวบ้านดูเผื่อได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้ก็เป็นได้
แล้วอย่าลืมมาบอกกันนะครับ!!
แฟนเพจ "SchwedaKong" ของ ก้อง วรรษพล แสงสีทอง อดีตนักศิลปกรรม (ไม่สิ ตอนนี้เขาก็ยังทำอยู่บ้าง) ผู้หันเหมาศึกษาเรื่องอาหารแบบเต็มๆ ตัว เป็นเว็บไซต์ที่บอกเล่าเรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับอาหาร ทั้งความรู้ในชนิดของวัตถุดิบ ความเป็นมาของอาหาร การทดลองทำอาหารหลายๆ ประเภท และที่โดดเด่นคือการตีความจากอาหารที่ถูกเขียนขึ้นในการ์ตูนญี่ปุ่นหลายๆ เรื่อง เช่น “จอมโหดกระทะเหล็ก” นำมาผลิตให้เป็นอาหารจริง รวมทั้งนำสินค้าเหล่านั้นนัดหมายขายผ่านทางแฟนเพจเพื่อให้ลูกค้าเฉพาะทางได้ทดลองชิมกันด้วย
คุณก้อง (เอิ่ม .... รู้สึกกระดากปากยังไงไม่รู้ ขออนุุญาตผู้อ่านเรียกเพื่อนว่า ไอ้ก้อง นะครับ ฮ่าๆๆ) บอกทางหลังไมค์กับผมเพิ่มว่า นอกจาก “ตลาดร้านค้าพม่า” แล้ว แถวนั้นยังมี “ตลาดของชาวอีสาน” ซึ่งมีสินค้าที่และวัตถุดิบใช้ทำอาหารพื้นเมืองอยู่อีกด้วย นั่นยิ่งทำให้ผมอยากจะมาดูและชิมอย่างยิ่ง
ถึงวันนัดหมายผมเดินทางด้วยรถประจำทางจากตลาดบางแค เป็นรถเมล์สีออกน้ำเงินเหลือบฟ้า สภาพโทรมๆ และขนาดไม่ใหญ่นัก คล้ายๆ รถที่วิ่งรับส่งระหว่างเมืองในต่างจังหวัด ถ้าท่านผู้อ่านบ้านไม่ได้อยู่ใน กทม.คงนึกภาพออก รถคันนี้วิ่งเข้าซอยกำนันแม้น จุดสิ้นสุดทางอยู่ที่ บิ๊กซีบางบอน แต่นั่นยังไม่ใช่จุดหมายของผมครับ เราต้องนั่งรถกันไปต่อที่ “ซ.ตลาดสดศิริชัย ๑” อยู่ใกล้ๆ ซ.เอกชัย ๘๓/๕ แถวๆ แยกบางบอน-บางขุนเทียน เพื่อเข้าไปยังตลาด ครับ
จุดแรกที่เราจะไปก็คือตลาดอีสานครับ ซึ่งก็ต้องเดินเข้ามาภายในซอยตลาดข้างห้างเพชรทองแม่กิ่งทอง จากปากซอยผ่านตลาดสดปกติ ที่มีชาวสยามค้าขายกันอยู่ไปจนสุดซอยจะเจอตรอกเล็กๆ ทางด้านซ้ายมือ มีของสดขายคล้ายๆ ตลาดนัดย่อมๆ ตรงนั้นเป็นดงที่เราตามหากันล่ะครับ โดยรวมก็จะขายของคล้ายๆ กับตลาดทั่วไป แต่ที่ต่างหน่อยก็จะมีพวก “อาหารถิ่น” อาทิ ข้าวเม่า ,ลูกหมากเม่า ,กลอย ,เห็ดระโงก แม่ค้าบอกว่าเป็นเห็ดป่า มีเมือกลื่นๆ ส่วนมากใช้ทำแกงเห็ด , ผำ?? มันเป็นเม็ดเล็กๆ มากคล้ายๆ ไข่กุ้งที่เรากินในอาหารญี่ปุ่น แต่อันนี้คล้ายๆ สาหร่ายหรือแหน เห็นว่าขึ้นในน้ำสะอาดเท่านั้น ส่วนใหญ่ไว้ใช้ทำแกง หรือผัดไข่
อย่างพวกเนื้อสัตว์ ก็มี ปลาร้า ปลาหมอ ปลาไหล ไข่ปลาสลิด แมงดา อึ่งอ่าง ?? เห็นว่าเขาเอาไปทำอาหารพวกต้มแซ่บ หรือย่างเพื่อทำน้ำพริก อ้ายวัว ?? อันนี้คือวัวที่ตายในครรภ์ ไอ้ก้องบอกว่า เขาเอาไปคลุกเครื่องเทศเพื่อดับกลิ่นคาวแล้วนึ่ง รสชาติก็เหมือนกินเนื้อวัวแต่นุ่มกว่า อย่างกบนี่เขาก็ชำแหละให้เห็นกันชัดๆ ด้วยนิ้ว (ในตลาดทั่วๆ ไปเขาก็ทำกัน แต่คนไม่ค่อยได้เดินตลาดแบบผมเลยตื่นเต้นนิดหน่อย) หรือจะหาอาหารปกติแบบพวกเป็ด ไก่ ก็มีครับ มาเป็นๆ ขังไว้ในกรง เหมือนตรงแถวๆ วัดมังกรกมลาวาส ย่านเยาวราช ถ้าอยากได้ตัวไหนจงชี้ เขาจะฆ่าให้ ฆาตกรจะทำการฆาตกรรมโดยนำสัตว์ปีกที่ว่าไปเชือดคอ แล้วปล่อยไว้ในกรงแยก พอมันเริ่มหมดแรงก็จับกดลงในปี๊บน้ำร้อนเดือดจนสุก แล้วค่อยถอนขน ก่อนนำไปย่างพอสุก แล้วใส่ถุงให้ลูกค้า เหมือนย้อนไปยังสมัยก่อนเลยทีเดียว .... จะว่าโหดก็โหดแต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาในวิถีของเขา
ส่วนแม่ค้าส่วนใหญ่ก็จะพูดภาษาอีสานบ้านเฮานั่นแล โดยตลาดจะขายของ “เฉพาะทุกวันอาทิตย์เท่านั้น” แต่จะว่าไปแถวนี้ไม่ค่อยมีอาหารปรุงสุกสักเท่าไหร่ ผมเลยตัดสินใจเดินทางต่อไปยังตลาดพม่า
เราเดินย้อนกลับมายังถนนใหญ่แล้วข้ามไปฝั่งตรงข้าม เดินไปทางสามแยก โซนนั้นทั้งโซนเป็น “ย่านการค้าอาหารของชาวพม่า” ครับ ถ้านอกจากอาหารแล้วก็มีพวกหนังสือภาษาพม่า หนังสือพิมพ์ก็มีนะ ภาพยนตร์ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ฝรั่ง หรือแม้แต่ชาติหม่อง ในรูปแบบดีวีดีพากย์หรือซับไตเติลภาษาพม่า ร้านขายโทรศัพท์มือถือ ร้านเสื้อผ้า และอื่นๆ แต่วันนี้เราจะมาสำรวจเฉพาะอาหารล้วนๆ
พูดถึงฝั่งนี้หาของสดจะไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ เท่าที่เห็นก็มีพวกปลา อย่างเนื้อปลากระเบน ,ปลานวลจันทร์ หรือไม่ก็พวกปลาแห้ง ส่วนพืชท้องถิ่นก็มี มะตาด ลูกสีเขียวอ่อนๆ มีรสเปรี้ยว เอาไว้แกง ,ทอปาด รูปร่างคล้ายๆ กับอโวคาโด ไม่สิ มันคืออโวคาโดนั่นล่ะ!!! พม่าไฮโซนะครับ ไอ้ก้องบอกว่า เขาเอาไว้กินกับน้ำแข็งไส พอผมเดินลึกๆ เข้าไปข้างในมีอยู่ร้านนึงขายสินค้าเครื่องปรุง เครื่องเคียงพม่า พวกผักดอง หรือของขบเคี้ยว ไอ้ก้องบอกว่า ร้านนี้เป็นร้านชาวไทยใหญ่
แล้วผมเจอสิ่งที่ผมคุ้นตามากมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ อย่างนึง นั่นคือถั่ว “แปะจี” ผมจำไม่ได้ว่า ภาษาถิ่นเรียกว่าอะไร แต่บ้านเกิดผมที่เมืองตากเขาเรียกแบบนี้ มันเป็นถั่วที่ขนาดใหญ่กว่าถั่วเหลืองหน่อย (บ้างก็ว่าเป็นถั่วเหลือง) เอาไปทอดคลุกเกลือ รสกึ่งๆ อารมณ์ถั่วปากอ้า แต่แข็งกว่า ส่วนอีกอย่างที่ผมเห็นว่าคุ้นตาและมีขายด้วยก็คือ “แปะหล่อ” อันนี้ลักษณะเหมือนถั่วเหลือง เอาไปคั่วคลุกเกลือ ผมไม่ค่อยชอบเพราะมันแข็งกว่าแปะจี กินยาก
เดินนานๆ เริ่มหิว ว่ากันด้วยของกินเลยดีกว่า ฝั่งพม่านี่ตลอดแนวจะมีร้านอาหารทั้งไทยและพม่า อาหารไทยก็ตามที่เราเคยเห็นนั่นล่ะไม่มีอะไรแปลกใหม่ ส่วน “อาหารพม่า” ถ้าเป็นร้านข้าวแกงก็จะมีพวกแกงเผ็ดน้ำมันพริกเยอะๆ (เห็นสีแล้วนึกถึงพวกแกงเผ็ดแถบๆ บ้านปู่ที่อยุธยาเลย) หรือผัดพริกคล้ายๆ บ้านเรา แต่ไอ้ก้องบอกว่า ถึงแม้สีจะแดงเถือกขนาดนั้น จริงๆ แล้วมันไม่เผ็ดเลย เพราะใช้พริกชี้ฟ้าผงปรุง
แต่ถ้าจะเฉพาะทางเข้าไปอีกก็ต้องเริ่มจากร้านนี้ครับ เขาขายพวกเครื่องในหมูต้มเสียบไม้ วางเรียงไว้บนปากหม้อขนาดใหญ่ คล้ายๆหม้อก๋วยเตี๋ยวแต่ตื้นกว่า ขายไม้ละ ๒ บาท อันนี้เขาเรียกว่า “แว๊ตตาตือโถว” ถ้ามนุษย์แบบผมซึ่งไม่กินเครื่องในสัตว์ (บางชนิด) ก็สามารถทานอย่างอื่นได้ เช่น หูหมู ลิ้นหมู ต้ม เวลากินก่อนอื่นต้องเลือกไม้ที่ต้องการใส่จานไว้ แล้วมานั่งบาร์หน้าร้าน แม่ค้าก็จะเอาน้ำจิ้มสีแดงคล้ายซอสเย็นตาโฟแบบเต้าหู้ยี้ มาให้ทาน คู่กับน้ำซุปใส เป็นออเดิร์ฟที่แปลกไปอีกแบบ
ไอ้เครื่องในต้มนี่เห็นแล้วก็นึกถึงตอนที่ไปเมืองมาเก๊า ก็มีแบบนี้ เป็นร้านรถเข็นเหมือนลูกชิ้นทอดบ้านเรานั่นล่ะ แต่ของเขาเป็นลูกชิ้นต้ม .... อ่ะ ไว้เล่าตอนภาคต่อของ “Hong Kong on foot” ดีกว่า อิอิ
ร้านนี้ถ้าจำไม่ผิด เขาจะมีข้าวหมกไก่ขายด้วยครับ ผมซื้อกลับมาทานต่อที่กองบก. ด้วยความที่แถวนี้ (บางลำพู) ก็มีร้านข้าวหมกไก่หลายเจ้า ทั้งอาอีซะฮ์ ถ.ตานี,โรตีมะตะบะ ถ.พระอาทิตย์ และร้านในตรอกมัสยิดจักรพงษ์ (จำชื่อไม่ได้แหะ) ก็เป็นแนวอิสลามทั้งนั้น ผมก็อยากจะลองของพม่าดูบ้าง ที่นี่เขาเรียกว่า “ต่านป้อ” เปิดกล่องออกมากลิ่นหอมอบเชยนำเด่นมาเลย เม็ดข้าวไม่ได้สวยมาก สีเหลืองเข้มด้วยขมิ้น ใส่โป๊ยกั๊ก เม็ดมะม่วงหิมพานต์และลูกเกดด้วย (กินไปแล้วแอบนึกถึงข้าวผัดอเมริกัน ฮ่าๆๆ) ส่วนไก่อบเคี่ยวด้วยเครื่องเทศ จนนุ่ม รสคล้ายๆ มัสมั่น มาตรฐานข้าวหมกทั่วไป โดยรวมผมว่า อร่อยเลยล่ะ
กลับมาที่บางบอนต่อ ผมตระเวนชิมอีกร้านนึง ร้านนี้ขายขนมจีนน้ำยาพม่า หรือที่ชาวสยามที่ไปเที่ยวเพื่อนบ้านด้านตะวันตกต่างเคยไปกินกัน นั่นคือ “โมฮิงก่า” เป็นขนมจีนราดด้วยน้ำยาทำจากเต้าเจี้ยวหลนรสเค็มๆ มันๆ ในน้ำยาจะมีหยวกกล้วยด้วย กินคู่กับน้ำเต้าทอดจะอร่อยเพิ่มขึ้นครับ อีกจานที่ผมลองคือยำพม่า เรียกว่า “เต้าโซ่ว” คล้ายๆ เส้นขนมจีนกึ่งๆ บะหมี่ คลุกกับน้ำซอสเย็นตาโฟ ใส่แตงกวา ถั่วงอก ปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว รสเค็มๆ เปรี้ยว ก็พอกินได้ครับอันนี้
จะว่าด้วยของคาวแล้วไม่มีของหวานก็กระไรอยู่ ตรงแถวๆ ก่อนถึงป้ายรถเมล์จะมีร้านขายขนมอยู่ครับ ก็มีขนมคล้ายๆ บ้าบิ่น แต่ทำจากข้าวล้วนๆ โรยด้วยถั่ว แล้วเผาไฟด้านหน้า ข้าวต้มมัดแบบของเราก็มี แต่ไม่มีถั่วนะ อีกอันนึงที่ดูคุ้นๆ สำหรับคนที่เคยไปเที่ยว อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นั่นคือ ข้าวปุก ครับ ข้าวปุกของปายนี่ทำมาจากข้าวเนียวดำผสมงา แต่ของที่นี่ทำจากข้าวเหนียวดำคลุกงาดำ ซึ่งนึ่งมาแล้วกินได้เลยไม่ต้องเอาไปย่างอีก
นอกจากนี้ยังมีอีกร้านนึงขายน้ำแข็งไสปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ เขามี “น้ำแข็งไสฉบับพม่า” ด้วย หน้าร้านจะมีน้ำหวานสีๆ เป็นภาษาพม่า อันประกอบด้วยสีแดงเป็นน้ำพุทรา สีเหลืองน้ำเลมอน สีส้มน้ำสับปะรด และสุดท้ายสีเขียวอมน้ำเงิน น้ำครีมโซดา วิธีการสั่งคือเขาจะไสน้ำแข็งใส่ไว้ในแก้ว จากนั้นก็เลือกเครื่องว่าจะเอาอะไรบ้าง ซึ่งก็มีเฉาก๊วย ขนมปังกรอบ ถั่วลิสง มะพร้าวขูด วุ้นมะพร้าว แล้วค่อยราดน้ำหวาน ตามด้วยนมจืดทับลงไปเป็นอันเสร็จพิธี รสชาติก็จะออกหวานๆ มันๆ แปลกๆ ดี
สิ่งหนึ่งที่ไอ้ก้อง ตั้งข้อสังเกตุคือ แปลกใจว่าทำไมคนไทยถึงไม่ลองทดลองชิมอาหารจากเพื่อนบ้านกันบ้าง ผมคิดว่า คนไทยหลายคนก็คงคิดว่ารสชาติมันต้องไม่อร่อย ไม่น่ากิน ไม่คุ้นปากแน่ๆ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นล่ะครับ ฮ่าๆๆ แต่ก็อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่ไม่อร่อยเลย บางอย่างก็อร่อย แต่ถ้าจะให้เปิดใจกัน ก็คงต้องหา “ณเดชน์ – ญาญ่า” มาตระเวนชิมเป็นลู่ทางก่อนกระมัง
แต่ส่วนตัวมาแล้วชอบที่ได้รู้จักกับความแปลกใหม่ ถือเป็นการได้เรียนรู้ต้อนรับประชาคมอาเซียนที่เราจะได้เข้าสู่สังคมพวกเขาในอีก ๒ ปี ข้างหน้า (เกี่ยวมั้ยวะ?) และผมก็เชื่อว่าในหลายๆ อำเภอ ที่มีชุมชนเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานในเมือง ก็คงจะมีร้านค้าแบบนี้เช่นกัน .... เอาที่ใกล้ตัวสุดก็คือ ถ.ข้าวสาร จริงๆ แล้วก็มีชาวพม่าขี่จักรยานขายอาหารถิ่นให้แก่แรงงานที่มาอาศัยทำมาหากินในหลายๆ ร้านค้าในย่านนั้นด้วย (ผมเคยซื้อของเขากินนะ มีตั้งแต่ข้าว ยันกาแฟ ขนมขบเคี้ยวด้วย)
ถ้าท่านผู้อ่านสนใจจะมาแวะเที่ยว ลองชิมอาหารแปลกๆ ยามเช้า ก่อนไปเที่ยวทะเลบางขุนเทียน ร้านพวกนี้จะเปิดกันราวๆ ๘ โมงเช้าเป็นต้นไป ส่วนตลาดลาวเปิดตั้งแต่หัวรุ่ง หกโมงก็น่าจะมีของแล้ว ก็ลองมาเปิดใจสำรวจดูได้ หรือไม่ท่านผู้อ่านก็ลองไปสำรวจชุมชนแถวบ้านดูเผื่อได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้ก็เป็นได้
แล้วอย่าลืมมาบอกกันนะครับ!!