เรียนตามสัตย์... ผมไม่กลัวว่าจะโค่นล้มระบอบทักษิณลงไม่ได้หรอกครับ! เพราะอย่างไรเสียเครือข่ายและวงจรอำนาจแก๊งการเมืองกลุ่มนี้ก็จะต้องจบสิ้นลงสักวัน การเมืองยุคใหม่ไม่ใช่ยุคจิ๋นซีฮ่องเต้หรือยุคเจงกิสข่านที่ต้องรอให้ผู้นำตายก่อนจึงจะจบ มองย้อนกลับไป จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยิ่งใหญ่กว่าทักษิณและวงศ์วานชินวัตรตั้งไม่รู้กี่เท่าก็ยังมีวันจบ หรือกระทั่งยุคประชาธิปไตยครึ่งใบสมัยพล.อ.เปรมก็มีวันที่ต้องบอกว่าพอแล้วก่อนที่ประชาชนจะไม่ให้ใบอนุญาตได้ไปต่อ
ในโลกยุคใหม่ที่ข่าวสารข้อมูลไหลไปได้สะดวกง่ายดายปรากฏการณ์บางอย่างที่ไม่นึกว่าจะเกิดก็เกิดได้เหมือนผีสื้อกระหยับปีก เมื่อปี 2549 ตอนที่เกิดปรากฏการณ์สนธิ ใครจะนึกว่าแค่เริ่มจุดไฟในเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์จะลามต่อกลายเป็นชุมนุมลานพระรูปและการเดินขบวนอย่างล้นหลามจากสนามหลวงไปยังทำเนียบรัฐบาลในอีกเดือนต่อมา
บางเรื่องบางประการจุดให้ตายก็จุดไม่ติด ครั้งพอถึงคราวติดก็ติดง่ายดายซะงั้น !
ภาษิตโลกนิติ: สนิมเกิดจากเนื้อในตนฉันใด การล่มสลายของอำนาจ-ระบบ-ระบอบ-กระทั่งอารยธรรมในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่พังภินท์ลงจากเหตุภายในเป็นสำคัญ นับจากโรมเรื่อยมาถึงกรุงศรีอยุธยา หรือกระทั่งระบอบพิบูลสงครามที่ใหญ่คับเมืองไทยเมื่อ 56 ปีก่อน
ทักษิณ ชินวัตร ทนรอไม่ได้แล้ว เขาระเหเร่ร่อนมาหกปีกว่าต่อให้ได้เป็นรัฐบาลมีเงินเป็นแสนล้านใช้ยังไงก็ไม่หมดในชาตินี้แต่นั่นก็ไม่ใช่ชัยชนะที่แท้จริง คนเราเมื่ออายุย่างเข้าสู่หลัก 70 สิ่งที่ไขว่คว้าบางประการใช้เงินใช้อำนาจก็ไม่แน่จะได้มา สิ่งที่เขาต้องการเพื่อให้นอนตาหลับคือการปลดเงื่อนปมพันธนาการที่ถูกโค่นล้ม การได้กลับบ้านแบบเท่ๆ ตามที่เขาเคยพูดน่ะเป็นประโยคสรุปความที่ดีที่สุด
มีบางคนวิเคราะห์ว่าข้อเสนอแปรญัตติแบบทะลุซอยของหัวเขียง ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ แปลงร่างนิรโทษประชาชนให้เป็นยกโทษนายใหญ่กับนายทุนพรรคในรอบนี้เป็นแค่เกมการต่อรองง่ายๆ คือตั้งราคาเปิดให้สูงไว้ก่อนแล้วค่อยลดลงมาเมื่อมีแรงต้านทั้งนี้เพื่อให้ผ่านพรบ.นิรโทษกรรมง่ายขึ้น การมองแบบนี้อาจลืมไปว่ารัฐบาลมีเสียงข้างมากท่วมท้นไม่จำเป็นต้องดราม่าสร้างเรื่อง ก็แค่เปิดประชุมแล้วก็ลงคะแนนวาระสามก็จบ ดังนั้น การจู่ๆ ขอแปรญัตติแหกหลักการของกรรมาธิการพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ก็เพื่อเป้าหมายล้างผิดให้นายใหญ่และพ่วงด้วยประชา นายทุนพรรคนั่นเอง
ที่จริงแล้วมวลชนแดงติดคุกน่ะก็แค่เชลยศึกที่นายใหญ่ไม่ปล่อยจากที่คุมขัง เอาไว้ต่อรองกับสังคมไทยเพื่อประโยชน์ตัวก็เท่านั้น
รัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ผ่านปีที่สองแบบขี้เหร่ไม่ประทับใจเสียงวิจารณ์จากคนกลางและคนเคยเป็นพวกเดียวกันอย่างสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หม่อมอุ๋ย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล ฯลฯ ไม่ธรรมดาหรอกนะครับ ระดับเสนาบดีคลังกันทั้งนั้น พรรคการเมืองในระบอบทักษิณสร้างภาพลักษณ์ในแง่ของความเป็นมือเศรษฐกิจ แก้ปัญหายากจน มีโครงการประชานิยมโดนใจ แต่ที่สุดหมองูตายเพราะงู เพราะทั้งเศรษฐกิจ ทั้งแก้ยากจน และประชานิยมล้วนกลับมารัดคอรัฐบาลยิ่งลักษณ์จนไม่รู้จะไปทางไหนแล้ว
จำนำข้าวไม่ใช่ขยะใต้พรมแล้วแต่เป็นขี้กองใหญ่คาก้นล้างไม่ออก มันคือจุดตายรัฐบาลแต่ก็มีการพยายามยื้อชีวิตปะทะปะทังด้วยการไม่ให้รองปลัดฯ สุภา มารับผิดชอบปิดบัญชีจำนำข้าวเพราะมันปิดไม่ได้ แล้วก็ทำหน้ามึนทยอยขายขาดทุนแล้วก็หาข่าวลวงโลกมาปลอบใจประชาชนผู้สนับสนุนตนไปเรื่อยๆ เช่นการยกเมฆว่าจีนจะซื้อล้านตัน (หึหึ-หน้าด้านนะ)
ปู-ยิ่งลักษณ์เป็นสินค้าการเมืองอายุสั้น มาไวไปไว อันว่าการเมืองก็เหมือนเศรษฐกิจนั่นแหละ ถ้าลองขาดความเชื่อถือเชื่อมั่นแล้วดัชนีทั้งหลายก็ทรุดตามมา แถมยังมีปัจจัยที่คุมไม่ได้คือศาลโลกกำหนดตัดสินคดีพระวิหาร 11 พฤศจิกายนนี้ ...นี่ต่างหากที่เป็นปัจจัยของการหักหลังแดง เอามวลชนบังหน้าไปสุดซอยเพื่อจะพ่วงนายใหญ่พ้นผิดด้วย
พ้นจากปลายปีนี้ไม่รู้ชะตากรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเป็นหมู่หรือเป็นจ่า สู้ใช้วิธีหักดิบลุยไปก่อนเจอต้านหนักๆ ค่อยยุบสภา ใช้โอกาสรณรงค์หาเสียงอ้างเป็นประชามติไปในตัว รัฐธรรมนูญได้เปิดช่องให้กฎหมายที่ค้างคาอยู่หากมีการหยิบมาลงมติเดินหน้าต่อก็ต่อได้ หมากการเมืองเกมนี้ก็คือการเขี่ยน้องสาวไร้ราคาลงจากเก้าอี้เพื่อต่ออายุพี่ชายกลับบ้านได้นั่นเอง
นี่เป็นความเชื่อความเข้าใจการเมืองแบบไทยๆ ที่ยังมีปัญหาอยู่พอสมควร เพราะความคิดว่าการเลือกตั้งคือการคืนอำนาจตัดสินใจเอาความขัดแย้งทุกอย่างไปนับหนึ่งกันใหม่ที่แท้ไม่ใช่การนับหนึ่ง หากแต่เป็นการขอพักเหนื่อยระหว่างเพลี่ยงพล้ำโดนถลุง แล้วก็ไปเริ่มนับ 8 หรือ 9 ต่อเลยเมื่อฝ่ายตนแตะมือเปลี่ยนผู้ชกที่ยังสดอยู่มาสู้ใหม่ การเลือกตั้งแบบไทยๆ คือเวทีที่ประชาชนรอให้นักการเมืองมาให้คำสัญญา แต่ประชาชนไม่สามารถตั้งเงื่อนไขเรียกร้องสิ่งที่ตนต้องการได้จริง ย้อนหลังไปดูได้เลยขบวนการคนจนพยายามให้พรรคการเมืองรับปากโน่นนี่ก่อนจะเลือกตั้ง พอได้รับเลือกไปจริงมันก็เฉยทุกครั้งไป
แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศของเรานี้ต่อให้ไม่เป็นประชาธิปไตยยังไงแต่ก็ดีกว่าเพื่อนบ้านโดยรอบทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย เขมร พม่า ที่ประชาชนได้ลิ้มรสของเสรีภาพทำอะไรตามใจฉันอยู่พอสมควร พัฒนาการการเมืองของบ้านเราถึงจุดใกล้เคียงกับฝรั่งอยู่บ้าง โดยฝรั่งกอดเอาสิทธิเสรีภาพของเขาห้ามมาแตะ ส่วนของเรากอดผลประโยชน์ชามข้าวเบื้องหน้าทั้งของตนเองและที่เขาจะยกให้ หากไม่ได้ตามนั้นก็จะลุกขึ้นโวยวายตามมา
ประชานิยมเป็นยาเสพติดไปแล้ว อย่าล้อเล่นกับมวลชนที่ไม่ได้รับตามคำสัญญาถูกหลอกซ้ำซาก และอย่าล้อเล่นกับคนที่มองเขม็งถึงผลประโยชน์ที่ตนจะได้แต่ไม่ได้ มิหนำซ้ำยังมีพวกเดียวกันที่รวยเอาๆ เกินหน้า การทะเลาะเบาะแว้งในหมู่เสื้อแดงมีให้เห็นเนืองๆ นั่นยังไม่เท่ากับพวกที่ผิดหวังไปแล้ว
สมมติหากมีเลือกตั้ง ฝ่ายที่ไม่ชอบทักษิณพรรคเพื่อไทยคงตั้งความหวังกับพรรคฝ่ายค้านอีกขั้วคือประชาธิปัตย์ลำบากหน่อยเพราะต่อให้มีฐานเสียงในมือ 10-11 ล้านเสียงเป็นของตาย แต่ก็ต้องไปช่วงชิงคะแนนคนกลางๆ กับเพื่อไทย หากคิดว่า 15 ล้านเสียงเดิมของเพื่อไทยหดลงไปบ้างแต่ยากที่จะเทมาให้ประชาธิปัตย์ในตอนนี้หากยังไม่ปรับตัวหรือไม่ปฏิรูปอย่างจริงจังในระดับที่จับต้องได้
ประชาธิปัตย์น่ะพยายามสู้ในมิติของนโยบายเห็นว่าจะมีแถลง หรือแนวคิดปฏิรูปของอลงกรณ์มองไปที่กระบวนการทำให้เป็นพรรคของมวลชนและเน้นการปฏิบัติจริง ซึ่งผมคิดว่ายังไม่พอหรอกเพราะการทำให้พรรคการเมืองที่ปริ่มน้ำเหมือนจะลอยก็ไม่ลอยจมไม่จมให้ทะยานพุ่งขึ้นมานั้นมันต้องอาศัยเรื่องอื่นๆ เพื่อเรียกศรัทธาและความนิยมแข่งกันในโลกยุคใหม่อีกหลายประการ แต่พูดไปทำไมมีพรรคนี้กลายเป็นพรรคอนุรักษ์ผูกติดกับขาใหญ่ผู้อาวุโสขยับไม่ออกไปแล้ว ทั้งๆ ที่สัญญาณเลือกตั้งใหม่กำลังมามะรอมมะร่อ
เพื่อไทยก็ไม่ไหวเพราะเป็นพรรคบริษัทนายใหญ่ ส่วนจะไปหวังปชป.ก็หวังไม่ได้ โลกนี้อยู่ยากจริงหรือ ที่เหลือก็มีแค่พรรคเอ๊ยพวกบรรหาร กลุ่มเมืองชล สุวัจน์เมืองโคราช เพราะมันมีนักการเมืองและกลุ่มการเมืองอยู่แค่นี้
ร้านนี้มีแต่เมนูบังคับไม่กินก็ต้องกิน !
ไม่ใช่หรอกครับ ผมคิดว่า เราในฐานะผู้บริโภคเรามีพลังอำนาจบังคับให้ร้านทำเมนูตามใจเราก็ได้ ... ต้องเชื่อเสียก่อนว่าเรามีพลัง... ถ้าไม่เชื่อว่าเรามีพลังก็ต้องทนกินเมนูซ้ำซากเดิมๆ อยู่ร่ำไป
เคยเขียนไปหลายครั้งก่อนหน้าแล้วว่า ปัญหาของการเมืองไทยที่ผ่านมาเป็นเพราะขาดตัวแปรสำคัญไปก็คือพลังอำนาจจากประชาชนในโครงสร้างส่วนล่าง ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของเทวดารบกันอยู่บนโครงสร้างส่วนบนพอเลือกตั้งทีก็อ้างประชาชนที จะมียุคหลังมานี้เทวดาทักษิณกวาดเอาไพร่พลเสื้อแดงจากโครงสร้างส่วนล่างไปรบด้วย ให้สวมเครื่องแบบคนพวกนี้ดีใจนึกว่าได้ร่วมพงศ์เผ่าเทวดาได้อิ่มหนำที่ไหนได้มันก็แค่ไพร่ราบถูกหลอกใช้วันยังค่ำ บางคนตาสว่างแต่ส่วนใหญ่ก็ยังงมอยู่กับวาทกรรมประชาธิปไตยของพ่อแม้วอยู่
แต่อำนาจของประชาชนไม่ได้มีแค่ 15 ล้าน (ที่เหลืออยู่เท่าไหร่) เพราะเมืองไทยมีประชากร 65 เอาเฉพาะมีสิทธิ์เลือกตั้งก็ 40 ล้านกลมๆ คนที่เบื่อหน่ายการเมืองไม่อยากกินเมนูจับยัดมีมากมาย
การเลือกตั้งรอบนี้หากคนไทยที่มีสิทธิ์รวมตัวกันสัก 5 ล้านคน เปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้ก้าวใหญ่เลยนะครับ เพราะคน 5 ล้านต้องยืนหยัดตั้งเงื่อนไขที่ตนต้องการให้กับพรรคการเมือง หากไม่ทำก็ไม่ต้องเลือก ไปกา No Vote ซะ
เปลี่ยนยุคการเมืองแบบเดิมที่ “พรรคการเมืองเสนอ – ประชาชนคอยสนอง” มาสู่ “ประชาชนเสนอ หากมึงไม่สนองก็ไม่ต้องเลือกมัน” ดูมั่ง !
ขอแค่ 5 ล้านคนการเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปจากเดิมได้หลายก้าวใหญ่ – ผมเชื่อเช่นนั้น !
ในโลกยุคใหม่ที่ข่าวสารข้อมูลไหลไปได้สะดวกง่ายดายปรากฏการณ์บางอย่างที่ไม่นึกว่าจะเกิดก็เกิดได้เหมือนผีสื้อกระหยับปีก เมื่อปี 2549 ตอนที่เกิดปรากฏการณ์สนธิ ใครจะนึกว่าแค่เริ่มจุดไฟในเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์จะลามต่อกลายเป็นชุมนุมลานพระรูปและการเดินขบวนอย่างล้นหลามจากสนามหลวงไปยังทำเนียบรัฐบาลในอีกเดือนต่อมา
บางเรื่องบางประการจุดให้ตายก็จุดไม่ติด ครั้งพอถึงคราวติดก็ติดง่ายดายซะงั้น !
ภาษิตโลกนิติ: สนิมเกิดจากเนื้อในตนฉันใด การล่มสลายของอำนาจ-ระบบ-ระบอบ-กระทั่งอารยธรรมในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่พังภินท์ลงจากเหตุภายในเป็นสำคัญ นับจากโรมเรื่อยมาถึงกรุงศรีอยุธยา หรือกระทั่งระบอบพิบูลสงครามที่ใหญ่คับเมืองไทยเมื่อ 56 ปีก่อน
ทักษิณ ชินวัตร ทนรอไม่ได้แล้ว เขาระเหเร่ร่อนมาหกปีกว่าต่อให้ได้เป็นรัฐบาลมีเงินเป็นแสนล้านใช้ยังไงก็ไม่หมดในชาตินี้แต่นั่นก็ไม่ใช่ชัยชนะที่แท้จริง คนเราเมื่ออายุย่างเข้าสู่หลัก 70 สิ่งที่ไขว่คว้าบางประการใช้เงินใช้อำนาจก็ไม่แน่จะได้มา สิ่งที่เขาต้องการเพื่อให้นอนตาหลับคือการปลดเงื่อนปมพันธนาการที่ถูกโค่นล้ม การได้กลับบ้านแบบเท่ๆ ตามที่เขาเคยพูดน่ะเป็นประโยคสรุปความที่ดีที่สุด
มีบางคนวิเคราะห์ว่าข้อเสนอแปรญัตติแบบทะลุซอยของหัวเขียง ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ แปลงร่างนิรโทษประชาชนให้เป็นยกโทษนายใหญ่กับนายทุนพรรคในรอบนี้เป็นแค่เกมการต่อรองง่ายๆ คือตั้งราคาเปิดให้สูงไว้ก่อนแล้วค่อยลดลงมาเมื่อมีแรงต้านทั้งนี้เพื่อให้ผ่านพรบ.นิรโทษกรรมง่ายขึ้น การมองแบบนี้อาจลืมไปว่ารัฐบาลมีเสียงข้างมากท่วมท้นไม่จำเป็นต้องดราม่าสร้างเรื่อง ก็แค่เปิดประชุมแล้วก็ลงคะแนนวาระสามก็จบ ดังนั้น การจู่ๆ ขอแปรญัตติแหกหลักการของกรรมาธิการพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ก็เพื่อเป้าหมายล้างผิดให้นายใหญ่และพ่วงด้วยประชา นายทุนพรรคนั่นเอง
ที่จริงแล้วมวลชนแดงติดคุกน่ะก็แค่เชลยศึกที่นายใหญ่ไม่ปล่อยจากที่คุมขัง เอาไว้ต่อรองกับสังคมไทยเพื่อประโยชน์ตัวก็เท่านั้น
รัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ผ่านปีที่สองแบบขี้เหร่ไม่ประทับใจเสียงวิจารณ์จากคนกลางและคนเคยเป็นพวกเดียวกันอย่างสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หม่อมอุ๋ย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล ฯลฯ ไม่ธรรมดาหรอกนะครับ ระดับเสนาบดีคลังกันทั้งนั้น พรรคการเมืองในระบอบทักษิณสร้างภาพลักษณ์ในแง่ของความเป็นมือเศรษฐกิจ แก้ปัญหายากจน มีโครงการประชานิยมโดนใจ แต่ที่สุดหมองูตายเพราะงู เพราะทั้งเศรษฐกิจ ทั้งแก้ยากจน และประชานิยมล้วนกลับมารัดคอรัฐบาลยิ่งลักษณ์จนไม่รู้จะไปทางไหนแล้ว
จำนำข้าวไม่ใช่ขยะใต้พรมแล้วแต่เป็นขี้กองใหญ่คาก้นล้างไม่ออก มันคือจุดตายรัฐบาลแต่ก็มีการพยายามยื้อชีวิตปะทะปะทังด้วยการไม่ให้รองปลัดฯ สุภา มารับผิดชอบปิดบัญชีจำนำข้าวเพราะมันปิดไม่ได้ แล้วก็ทำหน้ามึนทยอยขายขาดทุนแล้วก็หาข่าวลวงโลกมาปลอบใจประชาชนผู้สนับสนุนตนไปเรื่อยๆ เช่นการยกเมฆว่าจีนจะซื้อล้านตัน (หึหึ-หน้าด้านนะ)
ปู-ยิ่งลักษณ์เป็นสินค้าการเมืองอายุสั้น มาไวไปไว อันว่าการเมืองก็เหมือนเศรษฐกิจนั่นแหละ ถ้าลองขาดความเชื่อถือเชื่อมั่นแล้วดัชนีทั้งหลายก็ทรุดตามมา แถมยังมีปัจจัยที่คุมไม่ได้คือศาลโลกกำหนดตัดสินคดีพระวิหาร 11 พฤศจิกายนนี้ ...นี่ต่างหากที่เป็นปัจจัยของการหักหลังแดง เอามวลชนบังหน้าไปสุดซอยเพื่อจะพ่วงนายใหญ่พ้นผิดด้วย
พ้นจากปลายปีนี้ไม่รู้ชะตากรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเป็นหมู่หรือเป็นจ่า สู้ใช้วิธีหักดิบลุยไปก่อนเจอต้านหนักๆ ค่อยยุบสภา ใช้โอกาสรณรงค์หาเสียงอ้างเป็นประชามติไปในตัว รัฐธรรมนูญได้เปิดช่องให้กฎหมายที่ค้างคาอยู่หากมีการหยิบมาลงมติเดินหน้าต่อก็ต่อได้ หมากการเมืองเกมนี้ก็คือการเขี่ยน้องสาวไร้ราคาลงจากเก้าอี้เพื่อต่ออายุพี่ชายกลับบ้านได้นั่นเอง
นี่เป็นความเชื่อความเข้าใจการเมืองแบบไทยๆ ที่ยังมีปัญหาอยู่พอสมควร เพราะความคิดว่าการเลือกตั้งคือการคืนอำนาจตัดสินใจเอาความขัดแย้งทุกอย่างไปนับหนึ่งกันใหม่ที่แท้ไม่ใช่การนับหนึ่ง หากแต่เป็นการขอพักเหนื่อยระหว่างเพลี่ยงพล้ำโดนถลุง แล้วก็ไปเริ่มนับ 8 หรือ 9 ต่อเลยเมื่อฝ่ายตนแตะมือเปลี่ยนผู้ชกที่ยังสดอยู่มาสู้ใหม่ การเลือกตั้งแบบไทยๆ คือเวทีที่ประชาชนรอให้นักการเมืองมาให้คำสัญญา แต่ประชาชนไม่สามารถตั้งเงื่อนไขเรียกร้องสิ่งที่ตนต้องการได้จริง ย้อนหลังไปดูได้เลยขบวนการคนจนพยายามให้พรรคการเมืองรับปากโน่นนี่ก่อนจะเลือกตั้ง พอได้รับเลือกไปจริงมันก็เฉยทุกครั้งไป
แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศของเรานี้ต่อให้ไม่เป็นประชาธิปไตยยังไงแต่ก็ดีกว่าเพื่อนบ้านโดยรอบทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย เขมร พม่า ที่ประชาชนได้ลิ้มรสของเสรีภาพทำอะไรตามใจฉันอยู่พอสมควร พัฒนาการการเมืองของบ้านเราถึงจุดใกล้เคียงกับฝรั่งอยู่บ้าง โดยฝรั่งกอดเอาสิทธิเสรีภาพของเขาห้ามมาแตะ ส่วนของเรากอดผลประโยชน์ชามข้าวเบื้องหน้าทั้งของตนเองและที่เขาจะยกให้ หากไม่ได้ตามนั้นก็จะลุกขึ้นโวยวายตามมา
ประชานิยมเป็นยาเสพติดไปแล้ว อย่าล้อเล่นกับมวลชนที่ไม่ได้รับตามคำสัญญาถูกหลอกซ้ำซาก และอย่าล้อเล่นกับคนที่มองเขม็งถึงผลประโยชน์ที่ตนจะได้แต่ไม่ได้ มิหนำซ้ำยังมีพวกเดียวกันที่รวยเอาๆ เกินหน้า การทะเลาะเบาะแว้งในหมู่เสื้อแดงมีให้เห็นเนืองๆ นั่นยังไม่เท่ากับพวกที่ผิดหวังไปแล้ว
สมมติหากมีเลือกตั้ง ฝ่ายที่ไม่ชอบทักษิณพรรคเพื่อไทยคงตั้งความหวังกับพรรคฝ่ายค้านอีกขั้วคือประชาธิปัตย์ลำบากหน่อยเพราะต่อให้มีฐานเสียงในมือ 10-11 ล้านเสียงเป็นของตาย แต่ก็ต้องไปช่วงชิงคะแนนคนกลางๆ กับเพื่อไทย หากคิดว่า 15 ล้านเสียงเดิมของเพื่อไทยหดลงไปบ้างแต่ยากที่จะเทมาให้ประชาธิปัตย์ในตอนนี้หากยังไม่ปรับตัวหรือไม่ปฏิรูปอย่างจริงจังในระดับที่จับต้องได้
ประชาธิปัตย์น่ะพยายามสู้ในมิติของนโยบายเห็นว่าจะมีแถลง หรือแนวคิดปฏิรูปของอลงกรณ์มองไปที่กระบวนการทำให้เป็นพรรคของมวลชนและเน้นการปฏิบัติจริง ซึ่งผมคิดว่ายังไม่พอหรอกเพราะการทำให้พรรคการเมืองที่ปริ่มน้ำเหมือนจะลอยก็ไม่ลอยจมไม่จมให้ทะยานพุ่งขึ้นมานั้นมันต้องอาศัยเรื่องอื่นๆ เพื่อเรียกศรัทธาและความนิยมแข่งกันในโลกยุคใหม่อีกหลายประการ แต่พูดไปทำไมมีพรรคนี้กลายเป็นพรรคอนุรักษ์ผูกติดกับขาใหญ่ผู้อาวุโสขยับไม่ออกไปแล้ว ทั้งๆ ที่สัญญาณเลือกตั้งใหม่กำลังมามะรอมมะร่อ
เพื่อไทยก็ไม่ไหวเพราะเป็นพรรคบริษัทนายใหญ่ ส่วนจะไปหวังปชป.ก็หวังไม่ได้ โลกนี้อยู่ยากจริงหรือ ที่เหลือก็มีแค่พรรคเอ๊ยพวกบรรหาร กลุ่มเมืองชล สุวัจน์เมืองโคราช เพราะมันมีนักการเมืองและกลุ่มการเมืองอยู่แค่นี้
ร้านนี้มีแต่เมนูบังคับไม่กินก็ต้องกิน !
ไม่ใช่หรอกครับ ผมคิดว่า เราในฐานะผู้บริโภคเรามีพลังอำนาจบังคับให้ร้านทำเมนูตามใจเราก็ได้ ... ต้องเชื่อเสียก่อนว่าเรามีพลัง... ถ้าไม่เชื่อว่าเรามีพลังก็ต้องทนกินเมนูซ้ำซากเดิมๆ อยู่ร่ำไป
เคยเขียนไปหลายครั้งก่อนหน้าแล้วว่า ปัญหาของการเมืองไทยที่ผ่านมาเป็นเพราะขาดตัวแปรสำคัญไปก็คือพลังอำนาจจากประชาชนในโครงสร้างส่วนล่าง ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของเทวดารบกันอยู่บนโครงสร้างส่วนบนพอเลือกตั้งทีก็อ้างประชาชนที จะมียุคหลังมานี้เทวดาทักษิณกวาดเอาไพร่พลเสื้อแดงจากโครงสร้างส่วนล่างไปรบด้วย ให้สวมเครื่องแบบคนพวกนี้ดีใจนึกว่าได้ร่วมพงศ์เผ่าเทวดาได้อิ่มหนำที่ไหนได้มันก็แค่ไพร่ราบถูกหลอกใช้วันยังค่ำ บางคนตาสว่างแต่ส่วนใหญ่ก็ยังงมอยู่กับวาทกรรมประชาธิปไตยของพ่อแม้วอยู่
แต่อำนาจของประชาชนไม่ได้มีแค่ 15 ล้าน (ที่เหลืออยู่เท่าไหร่) เพราะเมืองไทยมีประชากร 65 เอาเฉพาะมีสิทธิ์เลือกตั้งก็ 40 ล้านกลมๆ คนที่เบื่อหน่ายการเมืองไม่อยากกินเมนูจับยัดมีมากมาย
การเลือกตั้งรอบนี้หากคนไทยที่มีสิทธิ์รวมตัวกันสัก 5 ล้านคน เปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้ก้าวใหญ่เลยนะครับ เพราะคน 5 ล้านต้องยืนหยัดตั้งเงื่อนไขที่ตนต้องการให้กับพรรคการเมือง หากไม่ทำก็ไม่ต้องเลือก ไปกา No Vote ซะ
เปลี่ยนยุคการเมืองแบบเดิมที่ “พรรคการเมืองเสนอ – ประชาชนคอยสนอง” มาสู่ “ประชาชนเสนอ หากมึงไม่สนองก็ไม่ต้องเลือกมัน” ดูมั่ง !
ขอแค่ 5 ล้านคนการเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปจากเดิมได้หลายก้าวใหญ่ – ผมเชื่อเช่นนั้น !