๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ : เช้าตรู่ของวัน ผมออกเดินทางจากที่พักในย่าน Tsim Tsa Tsui ลงเรือข้ามฝากจากฝั่งเกาลูน (Kowloon) ไปสู่ฝั่งฮ่องกง รอลงเรือโดยสารจากท่าเรือหมายเลข ๔ เพื่อไปยังเกาะ Lamma ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
ผมไปทำไม ทำไมต้องไป มันมีอะไรน่าสำคัญ?
จริงๆ คือ เรื่องของเรื่อง การเดินทางมาสู่ฮ่องกงนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาที่เมืองนี้ และเป็นครั้งที่ ๒ ในชีวิตของการไปเยือนต่างประเทศ และที่สำคัญคือ ผมมาคนเดียว กับภาษาอังกฤษระดับห่วยๆ ด้วยความที่ว่า อยาก “เปิดโลก” ให้กับตัวเอง จึงต้องลองมาผจญภัยสักครั้งหนึ่ง ตอนแรกที่บอกมิตรสหายหลายท่านก็บอกว่า “ฮ่องกงเป็นเมืองที่เที่ยวง่าย” อย่างในเขตที่ผมพักย่าน Tsim Tsa Tsui ก็มีแหล่งท่องเที่ยวสถานที่ช้อปปิ้งเยอะแยะ หรือถ้าจะไปศาลเจ้าชื่อดังต่างๆ ก็ไปอย่างง่ายๆ นั่งรถไฟใต้ดินไปไม่นานก็ถึง ...... ซึ่งนั่น ยังไม่ใช่วิถีที่แท้จริงของผม
กัลยาณมิตรท่านหนึ่งบอกผมว่า เฮ้ย แกไปแกต้องกลับมาบ่นแน่ๆ ว่าไม่ชอบ เพราะมีแต่แหล่งช้อปปิ้ง เมืองก็แออัด คนเขาไปถ้าไม่เน้นเดินสายไหว้พระก็ทัวร์ซื้อสินค้านั่นล่ะ .... นี่เป็นการบ้านที่ทำให้ผมกลับมานั่งศึกษาว่า ฮ่องกงมันมีอะไรดีมากกว่าสิ่งเหล่านี้หรือไม่
“เขตปกครองพิเศษฮ่องกง” ซึ่งกลับมาสู่ภายใต้การปกครองอีกครั้งหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๐ หลังจากที่เป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักรมายาวนานกว่าหลายร้อยปี มี ๓ ส่วนที่เรารู้จักนั่นคือ เขตเกาะฮ่องกง เป็นเหมือนศูนย์ราชการทั้งหมดของจังหวัด เขตเกาลูน อยู่โซนกลางของพื้นที่ทั้งหมด เป็นแหล่งการค้าที่สำคัญ และเขตนิวเทอร์ริตอรีส์ (New Territories) หรือเขตดินแดนใหม่ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือติดกับเมืองเซินเจิ้น (Shenzhen)
แต่เมืองฮ่องกงเองก็ยังมีเกาะน้อยใหญ่ รายล้อมกัน ๒๓๖ เกาะ ที่น่าจะคุ้นๆ สำหรับคนที่เคยไปเที่ยวก็คือเกาะลันเตา (Lantau Island) เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของสนามบินนานาชาติแล้ว ยังมีหลวงพ่อโตขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่บนหมู่บ้านหงองปิง (Ngong Ping) ด้วย ตรงจุดนี้ เป็นเหมือนสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า ถ้ามาฮ่องกงก็ต้องมาหงองปิง กันประมาณนั้น ซึ่งเกาะลันเตานี้ ถือเป็น ๑ ใน ๑๘ ตำบลของเมืองฮ่องกง และถือเป็นส่วนหนึ่งของเขตดินแดนใหม่ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของเกาะน้อยใหญ่อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีอีก ๔ เกาะ ที่ถือว่า เป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองฮ่องกง นั่นคือ เกาะ Peng Chau ,Po Toi,Cheung Chau และ Lamma ที่ผมกำลังเดินทางไปเนี่ยล่ะ
“เกาะลัมม่า” (ขออนุญาตเรียกแบบนี้นะครับ) หรือ “Pok Liu Chau” ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮ่องกง มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ ๓ มีพื้นที่ราวๆ ๑๓.๕๕ ตารางกิโลเมตร มีความยาวประมาณ ๗ กิโลเมตร มีหมู่บ้านขนาดใหญ่อยู่ ๒ แห่งคือ ย่าน Yung Shue Wan ทางตอนเหนือของเกาะ และย่าน Sok Kwu Wan ทางตะวันออกของเกาะ
ผมใช้เวลาราว ๓๐ นาที จากท่าเรือบนเกาะฮ่องกง ก็มาถึงท่าเรือ Yung Shue Wan เกาะลัมม่า ครับ เรือที่บรรทุกผมมารู้สึกจะมีผู้โดยสารอยู่ไม่ถึง ๕๐ คน ได้มั้ง ค่าโดยสารประมาณ ๒๒.๓ ฮ่องกงดอลล่าร์ แปลงเป็นเงินไทยก็ ๘๐ กว่าบาท สิ่งที่พบเห็นครั้งแรกทันทีที่ขึ้นเรือ นอกจากคนที่เดินสวนมาลงเรือแล้ว ยังพบว่ามีบรรดารถจักรยานจอดเต็มไปหมดบริเวณริม ๒ ข้ามทางของสะพานท่าเรือ นั่นเป็นเพราะว่า “จักรยานถือเป็นพาหนะที่สำคัญที่สุดในเกาะนี้” ทำไมน่ะหรือ .... เพราะที่เกาะมีกฎหมายห้ามใช้ยานพาหนะขนาดใหญ่ รวมทั้งรถจักรยานยนต์ด้วย นอกจากนี้ ยังบัญญัติให้สามารถสร้างอาคารสูงได้ไม่เกิน ๓ ชั้นเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะต้องการรักษาสภาพแวดล้อมของเกาะเอาไว้ก็เป็นได้
แล้วเกาะลัมม่า นี้มีอะไรน่าสนใจบ้างล่ะ ....
ผมเดินออกมาจากท่าเรือ มาตามเส้นทาง Lamma Island Family walk แล้วทะลุ ไปยังศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า “Tin Hau Temple” ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ศาลเจ้าแห่งนี้ตามประวัติที่ผมค้นหาก็ไม่ทราบว่าสร้างในปีไหน แต่ได้รับการบูรณะ ในปี ๒๔๑๙ ภายในศาลก็มีรูปปั้นเทพเจ้า Tin Hau เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ชาวบ้านที่สักการะเพื่อความโชคดีในการเดินเรือ แต่จุดที่น่าสนใจคือ “สิงโตหิน” ครับ ตามปกติแล้วในพวกศาลเจ้า หรือวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีน จะมีสิงโตหินอยู่หน้าศาล ซึ่งมีลักษณะแบบศิลปกรรมจีน แต่ที่ศาลนี้ไม่ใช่ครับ เพราะมันเป็น “สิงโตฝรั่ง??”
แต่ก่อนศาลนี้ก็มีสิงโตหินแบบจีน แต่เมื่อราว ปี ๒๕๐๓ - ๒๕๐๘ ได้มีการบูรณะศาลเจ้าครั้งใหญ่ รวมทั้งเจ้าสิงโตหินทั้ง ๒ ตัวนี้ด้วย แต่ช่วงนั้นดันเกิดปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนแผ่นดินใหญ่ เขาเลยไม่มีการส่งออกสิงโตหินแบบจีน ชาวเกาะก็เลยไปว่าจ้างช่างฝีมือในเมืองฮ่องกงให้มาปั้น ปั้นไปปั้นมา กลายเป็นสิงโตแบบฝรั่งซะงั้น ที่น่าแปลกคือ มีการกล่าวด้วยว่า หลังจากที่สิงโตหินฝรั่งทั้ง ๒ ตัวนี้มาตั้งได้ไม่นาน ชาวประมงในย่าน Yung Shue Wan ก็ตกปลาได้เป็นจำนวนมากขึ้น ก็เลยเชื่อกันว่า เป็นสิงโตแห่งโชคลาภไปเลยทีเดียว
จริงๆ ผมอ่านในหนังสือไกด์บุ๊กของบ้านเรา เขาก็บอกให้เอาเงินไปลูบหัวแล้วจะมีโชคลาภนะ แต่ด้วยความที่ไปถึงน่าจะเป็นคนไทยคนเดียวที่อยู่ในจุดนี้ (ณ เวลานี้) จะคุยกับคนจีนก็คงรู้เรื่องหรอก ก็เลยไม่ได้ทำ กลัวเดี๋ยวเอาไปลูบแล้วจะมีฟีดแบ็กอันไม่พึงประสงค์กลับมา ฮ่าๆๆ
ผมเดินกลับเข้ามาในเส้นทาง “Lamma Island Family walk” เหมือนเดิม เส้นทางพวกนี้นอกจากจะใช้สัญจรข้ามเกาะจากเหนือมาใต้แล้ว ในเมืองฮ่องกงเองก็มีเส้นทางที่ขึ้นชื่อว่า Family walk อยู่เยอะมาก และส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ เป็นทางเดินไว้ให้สำรวจธรรมชาติของเกาะนั่นเอง พูดถึงย่าน Yung Shue Wan เป็นพื้นที่ที่มีประชากรมากสุดในเกาะ เมื่อหลาย ๑๐ ปีที่ผ่านมา เคยเป็นศูนย์กลางแห่งโรงงานผลิตพลาสติก แต่โรงงานปัจจุบันได้เปลี่ยนสภาพเป็นร้านอาหารทะเล ผับ ร้านของของชำไปหมดแล้ว ที่สำคัญมีรายงานด้วยว่า ย่านนี้ยังเป็นถิ่นกำเนิดของดาราฮ่องกงชื่อดังอย่าง โจว เหวิน ฟะ ด้วย
ผมเดินมาเรื่อยๆ ผ่านหน้าร้านอาหารที่ผมไปค้นมาว่า เขาแนะนำให้มานั่งแวะ ปรากฏว่า ปิดครับ ร้านค้าอื่นๆ ก็เพิ่งทยอยเปิด เรื่องนี้อาจจะน่าแปลกใจสำหรับในเมืองไทย ที่คนมักค้าขายกันในเวลาเช้า แต่สำหรับที่นี่ เวลาเข้างานราชการคือ ๑๐ โมงเช้า เลิกงาน หกโมงเย็นครับ อิจฉากันล่ะสิ และอีกอย่างที่ผมปักใจว่า อาจจะเป็นเหตุให้ผมไม่ได้ชิม นั่นคือ ผมไปในช่วงหยุดยาวตรุษจีน ก็คล้ายๆ กับบ้านเราที่เวลาสงกรานต์ร้านต่างๆ ก็จะปิดกันเป็นส่วนใหญ่
ผมเดินต่อไป ตามเส้นทางที่รถยนต์สามารถวิ่งได้แค่เลนเดียว เพื่อไปยังหาด Hung Shing Yeh ซึ่งเส้นทางก็จะเหมือนเดินข้ามเขาขึ้นๆ ลงๆ เรียกเหงื่อได้เป็นระยะ แต่ถนนปูพื้นปูนอย่างดี ก็เดินง่ายหน่อย จะเห็นทิวทัศน์บริเวณเกาะได้พอสมควร ตอนแรกผมก็ว่าจะเดินไปยังสถานที่ที่เรียกว่า Lamma Winds หรือกังหันลมแห่งเกาะลัมม่า เป็นกังหันขนาดใหญ่อันเดียว อยู่บนเขา ซึ่งเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้กับเกาะได้ราว ๘๐๐ กิโลวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ ๑ ล้านยูนิตต่อปี เพื่อใช้สำหรับ ๒๕๐ ครัวเรือน
แต่ผมไม่ได้ไปครับ เพราะเนื่องจากกลัวทำเวลาไปอีกสถานที่หนึ่งที่อยู่บนเกาะฮ่องกง ในช่วงบ่ายไม่ทัน เลยตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังหาด Hung Shing Yeh ดีกว่า ซึ่งเมื่อผมเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้เห็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่มาก นั่นชื่อว่า “โรงไฟฟ้าเกาะลัมม่า (Lamma Power Station)” สร้างขึ้นโดย บ.ฮ่องกง อิเลคทริค (The Hongkong Electric Company) เมื่อปี ๒๕๒๕ เป็นสถานีผลิตไฟฟ้าให้กับเกาะฮ่องกง ซึ่งมีรายงานว่า ล่าสุดสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง ๓,๗๕๕ เมกะวัตต์ เลยทีเดียว จริงๆ มันก็เป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันยังไงไม่รู้ เมื่อผมมาถึงชายหาดแล้วมองไปทางด้านขวามือเจอวิวประกอบเป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ในเกาะที่เหมือนจะถูกจำกัดมาเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ก็ได้แต่คิดว่า คงไม่ได้สร้างปัญหาให้กับทะเลสักเท่าไหร่หรอกมั้ง ไม่งั้นหาดแถวนี้คงไม่มีใครมาเที่ยวแน่
พูดถึงชายหาด “Hung Shing Yeh” ถ้าเทียบกับบ้านเราแล้ว ความรู้สึกมันโล่งตามากๆ เอาง่ายๆ ลองนึกถึงสภาพหาดทรายแก้ว บนเกาะเสม็ด ตอนรุ่งเช้า ที่ยังไม่มีเก้าอี้พับและร่มมาตั้งรอนักท่องเที่ยว ยังไงอย่างงั้นเลย ที่นี่ ไม่มีแบบบ้านเราครับ มีแต่ชายหาดล้วนๆ แล้วก็ร้านค้าอยู่ด้านในหมู่บ้าน ที่ผมเห็นแล้วชอบมากคือ มี “ห้องอาบน้ำฟรี” ด้วย แล้วสะอาดสะอ้าน อุปกรณ์อาบน้ำแลดูมีมาตรฐานทั้งฝักบัว ห้องอาบน้ำ ห้องสุขา เจ๋งดีแท้ๆ ไม่เหมือนบ้านเรา ถ้าเป็นหาดดังๆ แถวระยอง พัทยา หิวหิน หรือ ชะอำ ไม่มีหรอกครับแบบฟรีๆ ไอ้ที่ผมว่ามาเนี่ย .....
อีกอย่างหนึ่งที่ผมสะดุดตามากๆ นั่นคือ “เตาปิ้งย่าง” ครับ ที่นี่เขามีโซนไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการทำบาร์บีคิว โดยกั้นเป็นบริเวณที่มีม้าหินนั่ง ๔ ตัว มีหลุมอยู่ตรงกลางให้ใส่ถ่านและวางตะแกรงได้ ให้ใช้บริการกันฟรีๆ ลองคิดดูว่า ถ้าบ้านเรามีแบบนี้ล่ะก็ ..... คงถูกเจ้าถิ่นยึดเอามาเป็นร้านทะเลเผาแน่ๆ ฮ่าๆๆ
ผมชื่นชมทะเลมาพอสมควรแล้วก็เดินทางต่อ จุดมุ่งหมายของผมคือเดินไปยังย่าน “Sok Kwu Wan” เพื่อลงเรือกลับไปยังท่าเรือในเกาะฮ่องกง ผมก็เดินชมทิวทัศน์ พร้อมเหนื่อยหอบไปเป็นระยะ เพราะเส้นทางอันแสนยาวไกล ซึ่ง ไอ้ตอนที่ไปก็ไม่ได้ศึกษาเลยว่ามันกี่กิโล รู้แต่กูจะเดินๆๆ ไหนๆ มาแล้วก็สู้กันต่อครับ เดินข้ามเขา เลาะมาเรื่อยๆ ก็สังเกตเห็นสิ่งหนึ่งเหมือนโรงโม่ปูนหรือผลิตอะไรสักอย่างอยู่ริมฝั่งก็ไม่ทราบได้ แต่เมื่อเดินไปอีกสักพัก ก็เจอกับกองทัพหวอดดักปลาขนาดเยอะ เกลื่อนผิวน้ำ ผมเลยแน่ใจว่า นั่นต้องเป็นย่าน Sok Kwu Wan ตามแผนที่แน่นอน เพราะย่านนี้ถือได้ชื่อว่า เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮ่องกงนั่นเอง
แต่ก่อนที่จะไปถึงที่ผมเห็นแต่ไกลๆ ผมต้องเดินไปยังหาด Lo Shing เสียก่อน ซึ่งพอผมเดินไปถึง ก็คล้ายๆ กับหาด Hung Shing Yeh นั่นล่ะครับ แต่เล็กกว่า มีห้องน้ำสาธารณะเหมือนกัน แอบเข้าไปดู ยังใช้ส้วมนั่งยองอยู่เลยครับ แต่เป็นแบบชักโครกกดน้ำ ที่สำคัญคือ ไม่มีที่ฉีดก้นเหมือนบ้านเรา อันนี้ถือเป็นเรื่องเศร้าของผมเลย ถ้าต้องเข้าห้องน้ำที่นี่ ผมเดินออกมาจากทางที่ค่อนข้างทุลักทุเลเพื่อกลับไปสู่เส้นทางเดิมที่จะไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็ใช้เวลาพอสมควร จนมาถึงริมฝั่งย่าน Sok Kwu Wan ก็ได้พบกับถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง พยายามนึกว่า เอ๊ะ มันคุ้นๆ แล้วก็เปิดไกด์บุ๊กที่ผมทำขึ้นมาใหม่ ปรากฏว่า ใช่เลยครับ
ไอ้ถ้ำที่ว่านี่ เขาเรียกว่า Kamikaze Grottos ครับ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่ง ที่เชื่อว่าถูกขุดขึ้นโดยทหารชาวญี่ปุ่น ในสมัยที่ยกพลขึ้นบกมายึดเกาะฮ่องกงเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยมีเรื่องเล่าว่า ทหารญี่ปุ่นขุดเอาไว้เพื่อซ่อนเรือกามิกาเซ่ แต่จริงๆ แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่า อาจจะถูกขุดไว้เพื่อเป็นที่เก็บสัมภาระทหาร ตอนแรกว่าจะเดินเข้าไปดูเหมือนกันครับ แต่พอมองเข้าไปข้างในแล้ว โอ้ มันมืดมาก ไฟฉายก็ไม่มี ไม่เอาดีกว่าครับ
เดินมาเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านชาวประมง แล้วก็มาถึงศาลเจ้าอีกที่หนึ่งครับ ชื่อว่า Tin Hau เหมือนที่ Yung Shue Wan เลย ศาลเจ้าฝั่งนี้ก็เป็นที่ศรัทธาของชาวประมงในพื้นที่อย่างมาก คาดว่าจะถูกสร้างในปี ๒๓๖๙ สมัยจักรพรรดิเต้ากวง (Daoguang) ครองราชย์ปีที่ ๖ และในปี ๒๔๓๘ ในสมัยจักรพรรดิกวงซู่ (Guangxu) ครองราชย์ ปีที่ ๒๑ ข้างหน้าก็มีสิงโตหินแบบจีนนะครับ ด้านก็มีเทพเจ้า Tin Hau ให้ได้สักการะบูชา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเจอก็คือ ปลาพญานาคครับ ปลาที่มีลักษณะคล้ายกับพญานาค ที่มีชื่อว่า ปลาออร์ (OarFish) ถูกแช่ดองเก็บไว้ด้านใน แถมห้ามถ่ายภาพด้วย คาดว่า ถ้าไม่เอาไว้โชว์ ก็คงเอาไว้บูชาแน่ๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เจอแบบตัวเป็นๆ เลยล่ะ
ถือเป็นจุดสุดท้ายของการเดินทางก่อนที่จะเข้าไปรอเรือรอบต่อไปที่จะข้ามไปยังฝั่งเซ็นทรัล ในเกาะฮ่องกง จริงๆ ย่าน Sok Kwu Wan ก็มีท่าเรืออีกจุดหนึ่ง แต่นั่งไปขึ้นที่ย่าน Aberdeen ทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกง พูดถึงย่านนี้ของขึ้นชื่อนอกจากอาหารทะเลแห้งเป็นของฝากแล้ว ร้านอาหารทะเลก็ถือเป็นของขึ้นชื่อที่ชาวฮ่องกงมาเที่ยวรับประทานเช่นกัน เพราะของสด ใหม่ มาเตรียมรอให้ได้ทานกันอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ชาวเกาะยังได้อนุรักษ์เรือมังกรยาว (Dragon Boat) ไว้แข่งในหน้าเทศกาล เหมือนการแข่งเรือยาวบ้านเราด้วย
บนเกาะลัมม่า นอกจากสิ่งที่ผมได้เล่าไปแล้ว ยังมีจุดน่าสนใจที่ผมไม่ได้ไป อย่างกองหิน Mount Stenhouse ในย่าน Sham Wan ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นเกาะทางตอนใต้ได้ชัดเจนทีเดียว ซึ่งในย่านนี้ ในทางโบราณคดีได้ถือว่าเป็นแหล่งที่ค้นพบว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บนเกาะมาตั้งแต่ยุคกลาง ราวๆ ๓,๐๐๐ ปีก่อนคริสตศักราช และยังเป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงเต่าทะเลที่สำคัญ
ก่อนที่ผมจะลงเรือเพื่อจากลาเกาะลัมม่า ระหว่างที่รอผู้โดยสารขึ้นบนท่าเรือ ก็ได้เห็นพ่อแม่ลูกขึ้นจากเรือมาปิกนิคเที่ยวชมความงามของเกาะ มีทั้งเป็นกลุ่มครอบครัว กลุ่มเพื่อนก็เยอะอยู่ ก็คาดว่าคงจะไปเล่นน้ำทะเลตามหาดที่ผมเดินผ่านมาท่ามกลางอากาศราว ๑๘ องศาเซลเซียส หรือมาทานอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อตามร้านต่างๆ รวมทั้งเดินออกกำลังกายผ่านเส้นทาง Lamma Island Family walk ราวกับว่าพวกเขาได้ใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์หลีกหนีความวุ่นวายในแหล่งที่เจริญทางวัตถุอันสุดๆ บนตัวเมือง เพื่อมาสู่ดินแดนที่ไร้ซึ่งความสะดวกสบาย ค้นหาธรรมชาติที่แท้จริง คล้ายกับคนบ้านเราที่ออกเดินทางไปต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลนั้นแล
และ ผมได้สัมผัสแล้วครับ ... ด้วยความบ้าของผมนั่นเอง
ผมไปทำไม ทำไมต้องไป มันมีอะไรน่าสำคัญ?
จริงๆ คือ เรื่องของเรื่อง การเดินทางมาสู่ฮ่องกงนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาที่เมืองนี้ และเป็นครั้งที่ ๒ ในชีวิตของการไปเยือนต่างประเทศ และที่สำคัญคือ ผมมาคนเดียว กับภาษาอังกฤษระดับห่วยๆ ด้วยความที่ว่า อยาก “เปิดโลก” ให้กับตัวเอง จึงต้องลองมาผจญภัยสักครั้งหนึ่ง ตอนแรกที่บอกมิตรสหายหลายท่านก็บอกว่า “ฮ่องกงเป็นเมืองที่เที่ยวง่าย” อย่างในเขตที่ผมพักย่าน Tsim Tsa Tsui ก็มีแหล่งท่องเที่ยวสถานที่ช้อปปิ้งเยอะแยะ หรือถ้าจะไปศาลเจ้าชื่อดังต่างๆ ก็ไปอย่างง่ายๆ นั่งรถไฟใต้ดินไปไม่นานก็ถึง ...... ซึ่งนั่น ยังไม่ใช่วิถีที่แท้จริงของผม
กัลยาณมิตรท่านหนึ่งบอกผมว่า เฮ้ย แกไปแกต้องกลับมาบ่นแน่ๆ ว่าไม่ชอบ เพราะมีแต่แหล่งช้อปปิ้ง เมืองก็แออัด คนเขาไปถ้าไม่เน้นเดินสายไหว้พระก็ทัวร์ซื้อสินค้านั่นล่ะ .... นี่เป็นการบ้านที่ทำให้ผมกลับมานั่งศึกษาว่า ฮ่องกงมันมีอะไรดีมากกว่าสิ่งเหล่านี้หรือไม่
“เขตปกครองพิเศษฮ่องกง” ซึ่งกลับมาสู่ภายใต้การปกครองอีกครั้งหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๐ หลังจากที่เป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักรมายาวนานกว่าหลายร้อยปี มี ๓ ส่วนที่เรารู้จักนั่นคือ เขตเกาะฮ่องกง เป็นเหมือนศูนย์ราชการทั้งหมดของจังหวัด เขตเกาลูน อยู่โซนกลางของพื้นที่ทั้งหมด เป็นแหล่งการค้าที่สำคัญ และเขตนิวเทอร์ริตอรีส์ (New Territories) หรือเขตดินแดนใหม่ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือติดกับเมืองเซินเจิ้น (Shenzhen)
แต่เมืองฮ่องกงเองก็ยังมีเกาะน้อยใหญ่ รายล้อมกัน ๒๓๖ เกาะ ที่น่าจะคุ้นๆ สำหรับคนที่เคยไปเที่ยวก็คือเกาะลันเตา (Lantau Island) เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของสนามบินนานาชาติแล้ว ยังมีหลวงพ่อโตขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่บนหมู่บ้านหงองปิง (Ngong Ping) ด้วย ตรงจุดนี้ เป็นเหมือนสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า ถ้ามาฮ่องกงก็ต้องมาหงองปิง กันประมาณนั้น ซึ่งเกาะลันเตานี้ ถือเป็น ๑ ใน ๑๘ ตำบลของเมืองฮ่องกง และถือเป็นส่วนหนึ่งของเขตดินแดนใหม่ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของเกาะน้อยใหญ่อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีอีก ๔ เกาะ ที่ถือว่า เป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองฮ่องกง นั่นคือ เกาะ Peng Chau ,Po Toi,Cheung Chau และ Lamma ที่ผมกำลังเดินทางไปเนี่ยล่ะ
“เกาะลัมม่า” (ขออนุญาตเรียกแบบนี้นะครับ) หรือ “Pok Liu Chau” ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮ่องกง มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ ๓ มีพื้นที่ราวๆ ๑๓.๕๕ ตารางกิโลเมตร มีความยาวประมาณ ๗ กิโลเมตร มีหมู่บ้านขนาดใหญ่อยู่ ๒ แห่งคือ ย่าน Yung Shue Wan ทางตอนเหนือของเกาะ และย่าน Sok Kwu Wan ทางตะวันออกของเกาะ
ผมใช้เวลาราว ๓๐ นาที จากท่าเรือบนเกาะฮ่องกง ก็มาถึงท่าเรือ Yung Shue Wan เกาะลัมม่า ครับ เรือที่บรรทุกผมมารู้สึกจะมีผู้โดยสารอยู่ไม่ถึง ๕๐ คน ได้มั้ง ค่าโดยสารประมาณ ๒๒.๓ ฮ่องกงดอลล่าร์ แปลงเป็นเงินไทยก็ ๘๐ กว่าบาท สิ่งที่พบเห็นครั้งแรกทันทีที่ขึ้นเรือ นอกจากคนที่เดินสวนมาลงเรือแล้ว ยังพบว่ามีบรรดารถจักรยานจอดเต็มไปหมดบริเวณริม ๒ ข้ามทางของสะพานท่าเรือ นั่นเป็นเพราะว่า “จักรยานถือเป็นพาหนะที่สำคัญที่สุดในเกาะนี้” ทำไมน่ะหรือ .... เพราะที่เกาะมีกฎหมายห้ามใช้ยานพาหนะขนาดใหญ่ รวมทั้งรถจักรยานยนต์ด้วย นอกจากนี้ ยังบัญญัติให้สามารถสร้างอาคารสูงได้ไม่เกิน ๓ ชั้นเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะต้องการรักษาสภาพแวดล้อมของเกาะเอาไว้ก็เป็นได้
แล้วเกาะลัมม่า นี้มีอะไรน่าสนใจบ้างล่ะ ....
ผมเดินออกมาจากท่าเรือ มาตามเส้นทาง Lamma Island Family walk แล้วทะลุ ไปยังศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า “Tin Hau Temple” ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ศาลเจ้าแห่งนี้ตามประวัติที่ผมค้นหาก็ไม่ทราบว่าสร้างในปีไหน แต่ได้รับการบูรณะ ในปี ๒๔๑๙ ภายในศาลก็มีรูปปั้นเทพเจ้า Tin Hau เทพเจ้าแห่งท้องทะเล ชาวบ้านที่สักการะเพื่อความโชคดีในการเดินเรือ แต่จุดที่น่าสนใจคือ “สิงโตหิน” ครับ ตามปกติแล้วในพวกศาลเจ้า หรือวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีน จะมีสิงโตหินอยู่หน้าศาล ซึ่งมีลักษณะแบบศิลปกรรมจีน แต่ที่ศาลนี้ไม่ใช่ครับ เพราะมันเป็น “สิงโตฝรั่ง??”
แต่ก่อนศาลนี้ก็มีสิงโตหินแบบจีน แต่เมื่อราว ปี ๒๕๐๓ - ๒๕๐๘ ได้มีการบูรณะศาลเจ้าครั้งใหญ่ รวมทั้งเจ้าสิงโตหินทั้ง ๒ ตัวนี้ด้วย แต่ช่วงนั้นดันเกิดปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนแผ่นดินใหญ่ เขาเลยไม่มีการส่งออกสิงโตหินแบบจีน ชาวเกาะก็เลยไปว่าจ้างช่างฝีมือในเมืองฮ่องกงให้มาปั้น ปั้นไปปั้นมา กลายเป็นสิงโตแบบฝรั่งซะงั้น ที่น่าแปลกคือ มีการกล่าวด้วยว่า หลังจากที่สิงโตหินฝรั่งทั้ง ๒ ตัวนี้มาตั้งได้ไม่นาน ชาวประมงในย่าน Yung Shue Wan ก็ตกปลาได้เป็นจำนวนมากขึ้น ก็เลยเชื่อกันว่า เป็นสิงโตแห่งโชคลาภไปเลยทีเดียว
จริงๆ ผมอ่านในหนังสือไกด์บุ๊กของบ้านเรา เขาก็บอกให้เอาเงินไปลูบหัวแล้วจะมีโชคลาภนะ แต่ด้วยความที่ไปถึงน่าจะเป็นคนไทยคนเดียวที่อยู่ในจุดนี้ (ณ เวลานี้) จะคุยกับคนจีนก็คงรู้เรื่องหรอก ก็เลยไม่ได้ทำ กลัวเดี๋ยวเอาไปลูบแล้วจะมีฟีดแบ็กอันไม่พึงประสงค์กลับมา ฮ่าๆๆ
ผมเดินกลับเข้ามาในเส้นทาง “Lamma Island Family walk” เหมือนเดิม เส้นทางพวกนี้นอกจากจะใช้สัญจรข้ามเกาะจากเหนือมาใต้แล้ว ในเมืองฮ่องกงเองก็มีเส้นทางที่ขึ้นชื่อว่า Family walk อยู่เยอะมาก และส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ เป็นทางเดินไว้ให้สำรวจธรรมชาติของเกาะนั่นเอง พูดถึงย่าน Yung Shue Wan เป็นพื้นที่ที่มีประชากรมากสุดในเกาะ เมื่อหลาย ๑๐ ปีที่ผ่านมา เคยเป็นศูนย์กลางแห่งโรงงานผลิตพลาสติก แต่โรงงานปัจจุบันได้เปลี่ยนสภาพเป็นร้านอาหารทะเล ผับ ร้านของของชำไปหมดแล้ว ที่สำคัญมีรายงานด้วยว่า ย่านนี้ยังเป็นถิ่นกำเนิดของดาราฮ่องกงชื่อดังอย่าง โจว เหวิน ฟะ ด้วย
ผมเดินมาเรื่อยๆ ผ่านหน้าร้านอาหารที่ผมไปค้นมาว่า เขาแนะนำให้มานั่งแวะ ปรากฏว่า ปิดครับ ร้านค้าอื่นๆ ก็เพิ่งทยอยเปิด เรื่องนี้อาจจะน่าแปลกใจสำหรับในเมืองไทย ที่คนมักค้าขายกันในเวลาเช้า แต่สำหรับที่นี่ เวลาเข้างานราชการคือ ๑๐ โมงเช้า เลิกงาน หกโมงเย็นครับ อิจฉากันล่ะสิ และอีกอย่างที่ผมปักใจว่า อาจจะเป็นเหตุให้ผมไม่ได้ชิม นั่นคือ ผมไปในช่วงหยุดยาวตรุษจีน ก็คล้ายๆ กับบ้านเราที่เวลาสงกรานต์ร้านต่างๆ ก็จะปิดกันเป็นส่วนใหญ่
ผมเดินต่อไป ตามเส้นทางที่รถยนต์สามารถวิ่งได้แค่เลนเดียว เพื่อไปยังหาด Hung Shing Yeh ซึ่งเส้นทางก็จะเหมือนเดินข้ามเขาขึ้นๆ ลงๆ เรียกเหงื่อได้เป็นระยะ แต่ถนนปูพื้นปูนอย่างดี ก็เดินง่ายหน่อย จะเห็นทิวทัศน์บริเวณเกาะได้พอสมควร ตอนแรกผมก็ว่าจะเดินไปยังสถานที่ที่เรียกว่า Lamma Winds หรือกังหันลมแห่งเกาะลัมม่า เป็นกังหันขนาดใหญ่อันเดียว อยู่บนเขา ซึ่งเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้กับเกาะได้ราว ๘๐๐ กิโลวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ ๑ ล้านยูนิตต่อปี เพื่อใช้สำหรับ ๒๕๐ ครัวเรือน
แต่ผมไม่ได้ไปครับ เพราะเนื่องจากกลัวทำเวลาไปอีกสถานที่หนึ่งที่อยู่บนเกาะฮ่องกง ในช่วงบ่ายไม่ทัน เลยตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังหาด Hung Shing Yeh ดีกว่า ซึ่งเมื่อผมเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้เห็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่มาก นั่นชื่อว่า “โรงไฟฟ้าเกาะลัมม่า (Lamma Power Station)” สร้างขึ้นโดย บ.ฮ่องกง อิเลคทริค (The Hongkong Electric Company) เมื่อปี ๒๕๒๕ เป็นสถานีผลิตไฟฟ้าให้กับเกาะฮ่องกง ซึ่งมีรายงานว่า ล่าสุดสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง ๓,๗๕๕ เมกะวัตต์ เลยทีเดียว จริงๆ มันก็เป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันยังไงไม่รู้ เมื่อผมมาถึงชายหาดแล้วมองไปทางด้านขวามือเจอวิวประกอบเป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ในเกาะที่เหมือนจะถูกจำกัดมาเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ก็ได้แต่คิดว่า คงไม่ได้สร้างปัญหาให้กับทะเลสักเท่าไหร่หรอกมั้ง ไม่งั้นหาดแถวนี้คงไม่มีใครมาเที่ยวแน่
พูดถึงชายหาด “Hung Shing Yeh” ถ้าเทียบกับบ้านเราแล้ว ความรู้สึกมันโล่งตามากๆ เอาง่ายๆ ลองนึกถึงสภาพหาดทรายแก้ว บนเกาะเสม็ด ตอนรุ่งเช้า ที่ยังไม่มีเก้าอี้พับและร่มมาตั้งรอนักท่องเที่ยว ยังไงอย่างงั้นเลย ที่นี่ ไม่มีแบบบ้านเราครับ มีแต่ชายหาดล้วนๆ แล้วก็ร้านค้าอยู่ด้านในหมู่บ้าน ที่ผมเห็นแล้วชอบมากคือ มี “ห้องอาบน้ำฟรี” ด้วย แล้วสะอาดสะอ้าน อุปกรณ์อาบน้ำแลดูมีมาตรฐานทั้งฝักบัว ห้องอาบน้ำ ห้องสุขา เจ๋งดีแท้ๆ ไม่เหมือนบ้านเรา ถ้าเป็นหาดดังๆ แถวระยอง พัทยา หิวหิน หรือ ชะอำ ไม่มีหรอกครับแบบฟรีๆ ไอ้ที่ผมว่ามาเนี่ย .....
อีกอย่างหนึ่งที่ผมสะดุดตามากๆ นั่นคือ “เตาปิ้งย่าง” ครับ ที่นี่เขามีโซนไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการทำบาร์บีคิว โดยกั้นเป็นบริเวณที่มีม้าหินนั่ง ๔ ตัว มีหลุมอยู่ตรงกลางให้ใส่ถ่านและวางตะแกรงได้ ให้ใช้บริการกันฟรีๆ ลองคิดดูว่า ถ้าบ้านเรามีแบบนี้ล่ะก็ ..... คงถูกเจ้าถิ่นยึดเอามาเป็นร้านทะเลเผาแน่ๆ ฮ่าๆๆ
ผมชื่นชมทะเลมาพอสมควรแล้วก็เดินทางต่อ จุดมุ่งหมายของผมคือเดินไปยังย่าน “Sok Kwu Wan” เพื่อลงเรือกลับไปยังท่าเรือในเกาะฮ่องกง ผมก็เดินชมทิวทัศน์ พร้อมเหนื่อยหอบไปเป็นระยะ เพราะเส้นทางอันแสนยาวไกล ซึ่ง ไอ้ตอนที่ไปก็ไม่ได้ศึกษาเลยว่ามันกี่กิโล รู้แต่กูจะเดินๆๆ ไหนๆ มาแล้วก็สู้กันต่อครับ เดินข้ามเขา เลาะมาเรื่อยๆ ก็สังเกตเห็นสิ่งหนึ่งเหมือนโรงโม่ปูนหรือผลิตอะไรสักอย่างอยู่ริมฝั่งก็ไม่ทราบได้ แต่เมื่อเดินไปอีกสักพัก ก็เจอกับกองทัพหวอดดักปลาขนาดเยอะ เกลื่อนผิวน้ำ ผมเลยแน่ใจว่า นั่นต้องเป็นย่าน Sok Kwu Wan ตามแผนที่แน่นอน เพราะย่านนี้ถือได้ชื่อว่า เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮ่องกงนั่นเอง
แต่ก่อนที่จะไปถึงที่ผมเห็นแต่ไกลๆ ผมต้องเดินไปยังหาด Lo Shing เสียก่อน ซึ่งพอผมเดินไปถึง ก็คล้ายๆ กับหาด Hung Shing Yeh นั่นล่ะครับ แต่เล็กกว่า มีห้องน้ำสาธารณะเหมือนกัน แอบเข้าไปดู ยังใช้ส้วมนั่งยองอยู่เลยครับ แต่เป็นแบบชักโครกกดน้ำ ที่สำคัญคือ ไม่มีที่ฉีดก้นเหมือนบ้านเรา อันนี้ถือเป็นเรื่องเศร้าของผมเลย ถ้าต้องเข้าห้องน้ำที่นี่ ผมเดินออกมาจากทางที่ค่อนข้างทุลักทุเลเพื่อกลับไปสู่เส้นทางเดิมที่จะไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็ใช้เวลาพอสมควร จนมาถึงริมฝั่งย่าน Sok Kwu Wan ก็ได้พบกับถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง พยายามนึกว่า เอ๊ะ มันคุ้นๆ แล้วก็เปิดไกด์บุ๊กที่ผมทำขึ้นมาใหม่ ปรากฏว่า ใช่เลยครับ
ไอ้ถ้ำที่ว่านี่ เขาเรียกว่า Kamikaze Grottos ครับ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่ง ที่เชื่อว่าถูกขุดขึ้นโดยทหารชาวญี่ปุ่น ในสมัยที่ยกพลขึ้นบกมายึดเกาะฮ่องกงเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยมีเรื่องเล่าว่า ทหารญี่ปุ่นขุดเอาไว้เพื่อซ่อนเรือกามิกาเซ่ แต่จริงๆ แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่า อาจจะถูกขุดไว้เพื่อเป็นที่เก็บสัมภาระทหาร ตอนแรกว่าจะเดินเข้าไปดูเหมือนกันครับ แต่พอมองเข้าไปข้างในแล้ว โอ้ มันมืดมาก ไฟฉายก็ไม่มี ไม่เอาดีกว่าครับ
เดินมาเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านชาวประมง แล้วก็มาถึงศาลเจ้าอีกที่หนึ่งครับ ชื่อว่า Tin Hau เหมือนที่ Yung Shue Wan เลย ศาลเจ้าฝั่งนี้ก็เป็นที่ศรัทธาของชาวประมงในพื้นที่อย่างมาก คาดว่าจะถูกสร้างในปี ๒๓๖๙ สมัยจักรพรรดิเต้ากวง (Daoguang) ครองราชย์ปีที่ ๖ และในปี ๒๔๓๘ ในสมัยจักรพรรดิกวงซู่ (Guangxu) ครองราชย์ ปีที่ ๒๑ ข้างหน้าก็มีสิงโตหินแบบจีนนะครับ ด้านก็มีเทพเจ้า Tin Hau ให้ได้สักการะบูชา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเจอก็คือ ปลาพญานาคครับ ปลาที่มีลักษณะคล้ายกับพญานาค ที่มีชื่อว่า ปลาออร์ (OarFish) ถูกแช่ดองเก็บไว้ด้านใน แถมห้ามถ่ายภาพด้วย คาดว่า ถ้าไม่เอาไว้โชว์ ก็คงเอาไว้บูชาแน่ๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เจอแบบตัวเป็นๆ เลยล่ะ
ถือเป็นจุดสุดท้ายของการเดินทางก่อนที่จะเข้าไปรอเรือรอบต่อไปที่จะข้ามไปยังฝั่งเซ็นทรัล ในเกาะฮ่องกง จริงๆ ย่าน Sok Kwu Wan ก็มีท่าเรืออีกจุดหนึ่ง แต่นั่งไปขึ้นที่ย่าน Aberdeen ทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกง พูดถึงย่านนี้ของขึ้นชื่อนอกจากอาหารทะเลแห้งเป็นของฝากแล้ว ร้านอาหารทะเลก็ถือเป็นของขึ้นชื่อที่ชาวฮ่องกงมาเที่ยวรับประทานเช่นกัน เพราะของสด ใหม่ มาเตรียมรอให้ได้ทานกันอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ชาวเกาะยังได้อนุรักษ์เรือมังกรยาว (Dragon Boat) ไว้แข่งในหน้าเทศกาล เหมือนการแข่งเรือยาวบ้านเราด้วย
บนเกาะลัมม่า นอกจากสิ่งที่ผมได้เล่าไปแล้ว ยังมีจุดน่าสนใจที่ผมไม่ได้ไป อย่างกองหิน Mount Stenhouse ในย่าน Sham Wan ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นเกาะทางตอนใต้ได้ชัดเจนทีเดียว ซึ่งในย่านนี้ ในทางโบราณคดีได้ถือว่าเป็นแหล่งที่ค้นพบว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บนเกาะมาตั้งแต่ยุคกลาง ราวๆ ๓,๐๐๐ ปีก่อนคริสตศักราช และยังเป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงเต่าทะเลที่สำคัญ
ก่อนที่ผมจะลงเรือเพื่อจากลาเกาะลัมม่า ระหว่างที่รอผู้โดยสารขึ้นบนท่าเรือ ก็ได้เห็นพ่อแม่ลูกขึ้นจากเรือมาปิกนิคเที่ยวชมความงามของเกาะ มีทั้งเป็นกลุ่มครอบครัว กลุ่มเพื่อนก็เยอะอยู่ ก็คาดว่าคงจะไปเล่นน้ำทะเลตามหาดที่ผมเดินผ่านมาท่ามกลางอากาศราว ๑๘ องศาเซลเซียส หรือมาทานอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อตามร้านต่างๆ รวมทั้งเดินออกกำลังกายผ่านเส้นทาง Lamma Island Family walk ราวกับว่าพวกเขาได้ใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์หลีกหนีความวุ่นวายในแหล่งที่เจริญทางวัตถุอันสุดๆ บนตัวเมือง เพื่อมาสู่ดินแดนที่ไร้ซึ่งความสะดวกสบาย ค้นหาธรรมชาติที่แท้จริง คล้ายกับคนบ้านเราที่ออกเดินทางไปต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลนั้นแล
และ ผมได้สัมผัสแล้วครับ ... ด้วยความบ้าของผมนั่นเอง