กว่า 5 ปี บนเส้นทางสายดนตรีของ “ขนมจีน - กุลมาศ ลิมปวุฒิวรานนท์” นักร้องสาวเสียงสวยวัย 20 ปี แห่งกามิกาเซ่ ค่ายอาร์เอส ระยะเวลาที่ผ่านมาค่อยๆ บ่มเพาะต้นกล้าให้เติบใหญ่ผลิดอกสะพรั่ง เป็นอีกหนึ่งนักร้องคุณภาพลำดับต้นๆ จนถึงวันนี้กับอัลบั้มชุดที่ 5 ของเธอที่มีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงผลงานละครอีก 2 เรื่องที่กำลังเตรียมลงจอแก้ว ความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานและความสามารถของเธอสมกับการเป็นดารา-นักร้องขวัญใจวัยรุ่นที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมจริงๆ
นักร้องคุณภาพ
ในยุคที่เหล่าดารา-นักร้องวัยรุ่นหน้าใสผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเกลื่อนเมือง บรรดาคลื่นลูกใหม่ที่ดังเปรี้ยงปร้างในชั่วข้ามคืนแล้วค่อยๆ ดับลับหายไปก็มีมากมาย ส่วนที่ยังคงความสามารถประทับใจกลุ่มผู้ชมและยังมีเหล่าแฟนคลับเหนียวแน่นนั้น เรียกได้ว่าอาจหาได้ยาก แต่สำหรับสาวคนนี้ “ขนมจีน - กุลมาศ ลิมปวุฒิวรานนท์” คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เธอเป็นที่จดจำของผู้คนได้พอควร และยังถือได้ว่าเธอเป็นนักร้องวัยรุ่นแถวหน้าจากค่ายอาร์เอสคนหนึ่ง
"ผลงานล่าสุดของขนมจีนก็คืออัลบั้มเพลงที่มีชื่อว่ามีนนิ่ง (Meaning) ค่ะ ตอนนี้ก็ปล่อยไปแล้ว 2 เพลง เพลงแรกคือเพลงพรุ่งนี้ฉันจะเป็นแฟนเธอ แล้วก็สำหรับเพลงที่สองคือเพลงทำใจไม่ได้ค่ะ ฟีดแบ็กของอัลบั้มนี้รู้สึกว่าดีมากเลยทีเดียวนะคะ โดยเฉพาะกับกระแสตอบรับที่เราได้ยินมาว่า เฮ้ย เป็นการเปลี่ยนลุค เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนภาพที่คนดูเคยเห็นเรา
จากปกติที่ขนมจีนจะร้องแต่เพลงแนวอกหัก พอครั้งนี้มาร้องเพลงแนวรักที่มีความสุข เพลงอินเลิฟ ทุกคนก็แฮปปี้ ดีใจด้วย อะไรทำนองนี้ค่ะ ส่วนเพลงทำใจไม่ได้ ในเอ็มวี เค้าจะมีคำคม คำฮิต อินหรอ หลายคนก็เอาคำนี้มาใช้ มาคัฟเวอร์เล่นกันค่ะ ก็น่ารักดี แล้วเราก็มีความรู้สึกว่า เออ พอเราเห็นคนเค้ามีความสุข เราก็เอ็นจอยไปด้วย ก็คิดว่านี่แหละก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้ว ในแง่ที่ว่าเราพอใจแล้ว"
น้ำเสียงกังวานสดใสเปล่งมาจากริมฝีปากบางเล็กของสาวขนมจีน เด็กสาววัย 20 ปี ที่ความสามารถและพลังล้นเหลือ ระยะเวลา 5 ปี เธอออกผลงานมาถึง 5 อัลบั้ม ยังไม่นับซิงเกิ้ลพิเศษ หรืองานคอนเสิร์ตที่เธอเคยขึ้นแสดง ซึ่งถ้าไม่เจ๋งจริง เธอคงไม่มีงานเพลงและงานโชว์ตัวรับทรัพย์มากมายอย่างวันนี้
ฝึกการแสดงใน MV
อัลบั้มล่าสุดของเธอ ไม่ใช่เพียงการร้องเพลงที่ดึงดูดคนดูเท่านั้น แต่ผลงานการเล่นเอ็มวีในครั้งนี้ เตะตาเตะใจคนดูเข้าเต็มเปา โดยเฉพาะในเอ็มวีเพลง “ทำใจไม่ได้” ที่ฉีกแนวเป็นนาง (เอก) ร้าย ได้ใจไปเต็มๆ พร้อมเกิดวลีฮิต “อินหรอ” ใครไม่เชื่อลองไปพิสูจน์ในเอ็มวีที่คราวนี้สาวขนมจีนเล่นได้แซบถึงทรวง เล่น “อิน” ซะขนาดนี้ จริงๆ เธอก็ร้ายใช่มั้ย?
“ตัวจริงไม่ร้ายค่ะ ไม่ร้ายขนาดนี้ (หัวเราะ) แต่คือไม่หรอก ในเอ็มวีเพลงนี้ก็เหมือนขนมจีนเป็นตัวแทนของผู้หญิงหลายๆ คน มากกว่า คือบางคนจะมีความรู้สึกอยากจะทำแบบนี้ อยากจะตอบโต้แบบนี้ แต่คือในความเป็นจริงก็อาจจะคิดไม่ทันอ่ะเนอะ เกิดเหตุการณ์แบบนั้น ตอนนั้น เหมือนกับเราก็เลยกลายเป็นตัวแทนของผู้หญิงในการจัดการคนที่มาทำร้ายเรา คนดูก็จะรู้สึกสะใจมาก เหมือนแบบ ใช่เลย มันต้องอย่างนี้ เหมือนละครเรื่องแรงเงา แต่เวอร์ชันนี้จะปรับลงมาหน่อย เด็กลงมาหน่อย เรื่องราวมันไม่ซับซ้อนขนาดนั้น”
ประโยชน์ของการสร้างสรรค์เอ็มวีในสมัยนี้ มักใช้เรื่องราวดำเนินเรื่อง เพื่อให้รู้สึกคล้อยตามและเข้าใจในเนื้อหาของบทเพลงมากขึ้น ส่วนตัวศิลปินเองก็แฮปปี้ไม่แพ้กัน เพราะเหมือนได้โชว์ความสามารถด้านทักษะการแสดงไปในตัว ซึ่งขนมจีนก็สนุกและตื่นเต้นกับการทำเอ็มวีแนวนี้เหมือนกัน
“สนุกนะคะ รู้สึกว่าการแสดงมันเป็นเรื่องที่แบบว่า สนุกและก็น่าค้นหา โดยเฉพาะกับเวลาที่เราได้บทมา แล้วเราก็จะต้องมาตีความว่า ตัวละครตัวนี้เค้าคิดยังไง เค้ารู้สึกยังไง เค้าทำอะไร ทำไมเค้าถึงต้องพูดคำนั้นออกมา ก็คือเหมือนเอาความเป็นตัวละครกับความเป็นตัวเรามาผสมผสานกันแล้วก็เล่นออกมาให้ได้ดี ให้เป็นตัวละครตัวนั้นมากที่สุด”
อินกับบทได้ ถึงไร้แฟน
เอ็มวีแรงๆ ก็อินจนอยากจะไปช่วยแก้แค้นพวกนางร้าย เอ็มวีเศร้าๆ ก็ทำเอาจะร้องไห้ตาม ดูไปดูมาจึงสงสัยว่าเธอนะอินเลิฟหรือเปล่า ถึงเล่นออกมาได้แนบเนียนขนาดนี้ ขนมจีนยิ้มบางๆ ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ ตอนนี้หัวใจยังว่างค่ะ
“ยัง ยังค่ะ ไม่มีเวลาเลยจริงๆ มีอยู่ช่วงนึงเหมือนกันนะคะ ขนมจีนเห็นคนอื่นอินเลิฟ เราก็โอ้ย ตายละ อยากมีบ้าง แต่พอสุดท้ายเราก็มานั่งคิดแล้วรู้สึกว่า ตัวเราก็ไม่มีเวลาแล้ว อยากขอเวลาพักผ่อน อยู่กับครอบครัวให้ได้มากๆ ก็เพียงพอแล้ว อย่างเวลากิจกรรมยามว่างที่ครอบครัวขนมจีนทำกันก็คือนอนดูซีรีส์เกาหลี ซึ่งบางคนบอกว่า เฮ้ย นี่มันไม่ใช่การพักผ่อนเลยนะ ดูตั้งแต่หลังละครจบสี่ทุ่มครึ่ง ก็ดูต่อเลยถึงตีห้า อะไรประมาณนี้ พอตื่นมาอีกทีสิบเอ็ดโมงก็มาดูต่อ จะค่อนข้างโหดนิดนึง” (หัวเราะ)
สาวมหาวิทยาลัยน่าจะเป็นช่วงสวยสะพรั่ง ชวนมีความรักกุ๊กกิ๊กที่สุดแล้ว แต่ขนมจีนยืนยันเป็นแม่นมั่นว่า หนูขอใช้เวลาที่มีกับการทำงานและครอบครัวไปก่อน หนุ่มๆ คนไหนที่แอบปลื้มสาวเจ้าก็เก็บความในใจไว้ก่อน แล้วก็ต่อคิวรอพร้อมกรอกใบสมัครตามคุณสมบัติที่เธอระบุมา ดังนี้
“ผู้ชายในสเปกหรอคะ อืม ขนมจีนชอบผู้ชายที่ลุคแบบนักกีฬาค่ะ ดูมีมาดนิดนึง แล้วก็ต้องเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ ไม่ใช่ดีกับเราแค่ช่วงโปรโมชันเนอะ เพราะผู้ชายส่วนใหญ่จะสุภาพบุรุษทุกคนเลยในขั้นโปรโมชันนะ ขนมจีนอยากให้เค้าเป็นอย่างนั้นตลอด เสมอต้นเสมอปลาย แล้วก็ซื่อสัตย์ต่อเรา แค่นี้ก็น่าจะโอเคแล้ว แต่ว่าแค่นี้ก็น่าจะหายากแล้วนะ (หัวเราะ)
มันก็คงมีจังหวะที่เราจะได้เจอจริงๆ แต่ส่วนตัวขนมจีนเองไม่รีบ รู้สึกว่าถ้าเกิดเจอใคร ได้คุยกับใครแล้วมีความสุข สบายใจ ก็คุยกันเป็นเพื่อนไปเรื่อยๆ เป็นเพื่อนกันไปดีกว่า ไม่อยากจะเอาคำๆ นึงมาผูกมัดว่า เราเป็นแฟนกัน ต้องอยู่ด้วยกัน เพราะขนมจีนก็รู้ตัวว่าเราไม่สามารถให้เวลาเค้าได้เต็มที่แน่นอน เราไม่ค่อยมีเวลา”
ส่วนเรื่องการตีบทแตกเรื่องรักสมหวัง หรือรักอกหัก ตามเอ็มวีทั้งหลายที่สาวขนมจีนเล่นเอง เธอบอกวิธีการให้ฟังว่าต้องเค้นเอามาจากความรู้สึกก้นบึ้ง พร้อมแนะเทคนิคดีๆ ที่เธอได้รับมาจากครูเงาะ-รสสุคนธ์
“สมัยเด็กๆ ขนมจีนก็จะดูเอ็มวี ดูหนัง อ่านนิยาย จับความรู้สึกจากตรงนั้นเอาค่ะ แต่บางทีมันก็อาจจะไม่พอ ซึ่งเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ขนมจีนก็ได้ไปเรียนแอคติ้งกับครูเงาะ- รสสุคนธ์ พี่เงาะก็สอนขนมจีนเรื่องเทคนิคการเทียบเคียงเหตุการณ์ ความสัมพันธ์ สมมติเหตุการณ์นั้นๆ เกิดขึ้น เราจะทำยังไง แล้วคนๆ นั้นที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เรื่องราว เราก็เอามาเทียบเคียงว่าใครคือคนที่ทำให้เราเสียใจขนาดนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นครอบครัวที่สุดแล้วค่ะ เป็นการจินตนาการเหตุการณ์ ณ ขณะนั้น ว่ามันเกิดขึ้นแล้วเราจะรู้สึกอย่างไร ก็เลยทำให้การร้องเพลง หรือการใช้อารมณ์ มันค่อนข้าง ที่จะชัดเจนมากขึ้น เพราะเราเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการแสดงมากขึ้นด้วย มันก็เอามาประยุกต์ใช้ได้หมดค่ะ”
บทบาทใหม่ “นักแสดง”
อีกหนึ่งบทบาทของเธอที่เราคงจะได้ติดตามในอีกไม่นานนี้กับการเล่นละครออกอากาศทางช่อง 8 ตามรุ่นพี่และเพื่อนๆ ค่ายเดียวกัน สำหรับขนมจีนเรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เธอถูกชักชวนให้เล่นละครถึง 2 เรื่องในคราวเดียวกัน คือเรื่องสาปสาง และผู้ชนะสิบทิศ
“ตอนนี้ก็มีละคร 2 เรื่องค่ะ ก็สนุกดี แล้วทั้งสองเรื่องคาแรกเตอร์ตัวละครมันก็แตกต่างโดยสิ้นเชิงค่ะ อย่างเรื่องแรกคือเรื่องสาปสาง เรื่องนี้ขนมจีนเล่นเป็นผีเองเลย รับบทเป็นช่อเอื้อง นางเอกของเรื่อง มันยากตรงที่เราต้องจับคาแรกเตอร์ทั้ง 3 ตัว ไม่ว่าจะเป็นช่อเอื้องตอนที่เป็นคน หรือว่าคนที่เล่นละครเวที ซึ่งในบทนี้ยากมาก (ลากเสียง) เพราะคำพูดเป็นภาษาโบราณหมดเลย แล้วก็ต้องมีรำด้วย ส่วนอีกตัวนึงก็ต้องเล่นเป็นผีที่เคียดแค้นอาฆาต ต้องมาแก้แค้นคนที่ทำร้ายเรา
ส่วนอีกเรื่องคือผู้ชนะสิบทิศ อันนี้รับบทเป็นตะละแม่อเทตยา เป็นหลานหลวงเมืองแปร เป็นน้องสาวของตะละแม่กุสุมา เรื่องนี้ค่อนข้างแบบว่าใกล้เคียงตัวขนมจีนมากที่สุดในทุกคาแรกเตอร์นะคะ เพราะว่าวิธีการพูดหรือจังหวะจะค่อนข้างเหมือนตัวเรา คือคิดเร็ว ทำเร็ว แต่สำหรับตัวอื่นๆ อย่างช่อเอื้องเนี่ย เค้าจะเป็นนางรำ ค่อยๆ ทำ มีความละเอียดลออ เป็นผู้หญิงมากกว่า อย่างตะละแม่อเทตยาจะเป็นแบบว่าคุณหนู เอาแต่ใจตัวเอง ชอบผู้ชายคนเดียวกับพี่ แล้วก็ไม่ยอม คือถึงแม้จะเป็นพี่-น้องกัน แต่ว่าก็ยอมไม่ได้ คนนี้เราชอบ ทำไมก็จะแย่ง (หัวเราะ) คือตัวละครนี้จะใกล้เคียงกับเราในแง่จังหวะการพูด หรือว่าความคิดของเค้า แต่ไม่ใช่เหมือนกันตรงที่จะแย่งผู้ชายนะ ไม่ใช่นะ (หัวเราะ)”
นับนิ้วจำนวนบทบาทที่สาวขนมจีนต้องเล่นก็ปาเข้าไป 4 ตัวละคร คิดแล้วยังปวดหัวมึนงงแทน แต่สาวขนมจีนไม่คิดเช่นนั้น เพราะเธอบอกว่า ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจเต็มที่ก็ไม่มีอะไรยากเกินไป
“มันไม่ถึงกับงงนะคะ แต่ว่ามันจะยากในแง่ที่แบบว่า การแสดงของเรายังค่อนข้างใหม่มากๆ เพราะมันเป็นเรื่องแรกที่เป็นละครจริงๆ ค่ะ แต่ขนมจีนโชคดีมากๆ ที่ทั้งสองเรื่องได้พี่ๆ นักแสดงที่เรียกได้ว่าเป็นครูของเราด้วย แล้วก็ให้คำแนะนำ ไม่ว่าจะเป็น พี่อ้น-สราวุฒิ หรือพี่เต้-ปิติศักดิ์ แล้วก็อีกหลายๆ คน อามี๊-พิศมัยก็ช่วยแนะนำ ทุกคนก็ค่อนข้างเมตตาเพราะเราใหม่มากๆ บางทีพอขนมจีนทำอะไรผิดก็จะเกร็ง จะเครียด แต่พี่ๆ ก็จะคอยสอน คอยช่วยตลอด”
ใครที่สนใจก็อย่าลืมติดตาม แต่คงต้องรอสักพักใหญ่อยู่ทีเดียวเชียว จากที่เธอกล่าวถึงส่วนที่ถ่ายทำไปบ้างแล้ว ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น
“เรื่องผู้ชนะสิบทิศมันค่อนข้างเยอะ ต้องถ่ายในหลายๆ เมือง ตอนนี้ก็เลยยังมาไม่ค่อยถึงเมืองแปรของขนมจีน ก็เลยจะยังไม่ได้ไปเข้าฉากเท่าไหร่ ไปมาครั้งนึงเอง ส่วนเรื่องสาปสางถ้าโดยรวมภาพก็น่าจะได้ประมาณ 20-30% แล้วค่ะ แต่ว่าขนมจีนก็เพิ่งไปถ่ายได้ประมาณไม่เท่าไหร่เองค่ะ เพราะว่าต้องรอคิวหลายๆ นักแสดงลงตัวกัน”
ต้องบริหารเวลา
ทำงานหัวเป็นเกลียว ตัวเป็นน็อต ทั้งโปรโมตอัลบั้มใหม่ ทั้งถ่ายละคร ถ้าเป็นคนธรรมดาทำงาน 8 ชั่วโมงก็บ่นอุบแล้วว่า ไม่มีเวลา แต่กับสาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้ เธอสามารถทำได้ทุกอย่างแบบสบายๆ
“ด้วยความที่ขนมจีนทำงานมาตั้งแต่เด็กก็เลยจะรู้ว่า ต้องทำยังไง ต้องมีความรับผิดชอบมากแค่ไหนกับทั้งเรื่องเรียนทั้งเรื่องงาน ขนมจีนก็จะไม่ทิ้งทั้งสองอย่างเลย ไม่เคยดรอปหรืออะไร เวลาเรียนขนมจีนก็จะล็อกไว้เลยว่าเก้าโมงถึงเที่ยงเรียน แล้วก็หลังจากนั้นรับงานได้ ถ้าเกิดมีเรียนบ่ายโมงถึงสี่โมง เวลาก่อนหน้านั้นก็รับงาน แวะไปงานได้ เพราะฉะนั้นคิวก็เลยจะไม่ค่อยตรงกัน
แต่ว่าอย่างละครเนี่ยก็คงต้องลองปรับๆ กันไปดูก่อน เพราะก่อนหน้านี้ งานร้องเพลงของขนมจีน มันทำมาหลายปีแล้วก็จะค่อนข้างอยู่ตัว ก็ต้องรอดูกันไป เพราะงานมันเพิ่มขึ้นมา ก็อาจจะเป็นปัญหาหน่อยนึง แต่ขนมจีนว่ามันก็ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะเราค่อนข้างจะเข้าใจในตัวรูปแบบงาน แล้วก็ทางมหาวิทยาลัย ทางอาจารย์ ค่อนข้างที่จะเข้าใจและก็ให้โอกาสเราค่ะ”
ชิมลาง ละครเวที
ก่อนหน้าที่สาวขนมจีนจะโดดลงมาเล่นละครนั้น เธอเองก็เคยฝากผลงานการแสดงละครไว้แล้ว แต่เป็นละครเวทีเรื่อง “กุหลาบสีเลือด” ความลับของผู้หญิงทั้ง 5 นำมาซึ่งการฆาตกรรมในคืนหนึ่ง โดยหนึ่งในห้าสาวก็คือสาวขนมจีนนั่นเอง ส่วนอีกสี่สาวในเรื่องก็เป็นนักแสดงชั้นยอดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ครูเงาะ-รสสุคนธ์, นุ่น-ศิรพันธ์, ญารินดา, เอ๋-มณีรัตน์ และอุ๋ม-อาภาสิริ
“ก่อนหน้านี้ ขนมจีนก็เคยมีละครเวทีเรื่อง กุหลาบสีเลือด มันยากมาก ทั้งเกร็ง ทั้งกดดันมาก เพราะพี่ๆ นักแสดงทุกคนเป็นมืออาชีพมาก แบบ โห! เป็นเทพของวงการ อย่างพี่นุ่น-ศิรพันธ์, พี่เอ๋-มณีรัตน์ แล้วก็ครูเงาะ-รสสุคนธ์ เป็นผู้กำกับแล้วก็เล่นด้วย มีพี่อุ๋ม-อาภาสิริ พี่ญารินดาอีก คือเยอะมาก
คนชักชวนก็คือครูเงาะเนี่ยแหละค่ะ เพราะว่าขนมจีนเรียนแอกติ้งกับครูเงาะอยู่ เค้าก็เห็นแววแล้วก็เลยชวนมาเล่น คิดว่าเราน่าจะไปต่อได้ ก็เลยให้โอกาส ซึ่งศาสตร์นี้มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เลยค่ะ เป็นศาสตร์ที่ยากที่สุดของการแสดง เพราะมันเรียลไทม์ มันสด แล้วก็มีอยู่ตอนนึง ขนมจีนต้องส่องหน้าแล้วพูดอยู่คนเดียว ซึ่งบทมันประมาณหนึ่งหน้า A4 คือมันยาวมาก (ลากเสียง) พูดผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่พอถึงตอนแสดงจริง เราก็ต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาสถานการณ์เฉพาะหน้า เพราะขนมจีนไม่เคยดูละครเวทีเลย แล้วมาเล่นละครเวที ส่วนอีกตอนนึงขนมจีนพูดผิดแล้วก็กลับไปพูดอีก คือพูดประมาณว่า ฉันจะไปที่นั่น แล้วเราพูดว่า ฉันจะไป... ฉันจะไปที่นั่น คือพูดแล้วพูดย้อนกลับไปอีก แล้วมันผิดมาก ทุกคนบอกว่า ไม่ได้นะ ถ้าผิดแล้วก็ไปเลย อย่าให้คนดูรู้ว่าเราผิด ก็ต้องหาวิธีแก้กันไป แต่ก็สนุกดีค่ะ แต่ละคนก็จะวันนี้ผิดคนนี้ อีกวันนึงผิดคนนี้ ก็ตลกดี ช่วยๆ กัน”
งานละครชุกขนาดนี้ อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าหรือสาวขนมจีนจะผันตัวเองมาเป็นนักแสดงสาวแทน
“ตอนนี้ขนมจีนค่อนข้างเห่อการแสดงค่ะ อย่างงานเพลงมันค่อนข้างอยู่ตัว เพราะว่าเราทำมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็กอยู่แล้วค่ะ แต่พอมาเป็นผลงานการแสดงเราก็ค่อนข้างตื่นเต้นมาก ก็ทำการบ้านหนักมาก ในฉากที่เรารู้ว่าต้องมีรำ เราก็ต้องทำการบ้านก่อน ไปศึกษาว่าต้องทำอะไร ยังไง ต้องอ่านบทเยอะมาก แล้วก็เรื่องของการแสดงอารมณ์ที่ต้องแข่งกับเวลา ถ่ายฉากนี้เสร็จ ต้องเปลี่ยนมาเป็นอีกฉากนึง เปลี่ยนอารมณ์ไปอีกแบบนึง ซึ่งมันก็ยังไม่ค่อยตรงช่องอ่ะ ต้องค่อยๆ ปรับไป พี่ๆ ทุกคนก็จะบอก โอเค ไม่เป็นไร ให้โอกาส เรายังใหม่อยู่”
“คุณแม่” เบื้องหลังความสำเร็จ
ผ่อนคลายเรื่องคำถามการงานมาเป็นเรื่องน่ารักภายในครอบครัวบ้าง อย่างที่สาวขนมจีนชื่นชมคุณแม่ว่าเป็นแม่ดันตัวจริง แถมยังดันกันตั้งแต่เป็นเด็กน้อย ทั้งส่งให้เรียนดนตรี เรียนรำ แต่นั่นไม่ได้สร้างแรงกดดันให้กับสาวน้อยคนนี้ แต่เธอรู้สึกขอบคุณคุณแม่ที่วางรากฐานให้เธอเป็นอย่างดี และมีทักษะ ความสามารถที่หลากหลายอย่างเช่นทุกวันนี้
“คุณแม่ค่ะ คุณแม่เป็นคนเปิดโอกาสทุกอย่างให้กับขนมจีน ตั้งแต่เด็กเลยนะคะ ตั้งแต่อนุบาล-ประถม ไม่มีวันหยุดเลยค่ะ (หัวเราะ) มีวันอาทิตย์วันเดียวจะมีเวลาได้เล่น อาทิตย์ตอนเย็น เพราะว่าคุณแม่ส่งเรียนทุกอย่าง เรียนเต้น, เรียนรำ, ร้องเพลง, ดนตรีทั้งไทย ทั้งสากล เยอะมากค่ะ วงโยธวาฑิตนี่เล่นตั้งแต่หัววงยันท้ายวงอ่ะคะ (หัวเราะ)
ที่ให้เรียนเยอะเนี่ยๆ คือคุณแม่จะหาแววให้เราด้วย อย่างเรียนวาดรูปคือคุณแม่ก็อยากให้เรามีทักษะในทุกด้าน แล้วพอมาถึงทุกวันนี้ก็ดีจริงๆ อย่างให้รำเราก็ทำได้ ให้เต้น ไปฟื้นหน่อยนึงก็ทำได้แล้ว ถือว่าเป็นโชคดีของขนมจีนเหมือนกันนะ ที่มีพื้นฐาน มีทักษะเกือบทุกด้านเลย เพราะฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ (ยิ้ม) ซึ่งตอนเด็กๆ ตอนที่เรียน เราทำไปก็จะไม่กดดัน สบายๆ ธรรมชาติ บอกให้ทำก็ทำ ก็เป็นข้อดีกว่าตอนที่มาเรียนตอนโตแล้ว”
นอกจากคุณแม่สุดที่รักของสาวขนมจีนแล้ว อีกคนที่ลืมไม่ได้กับครอบครัวลิมปวุฒิวรานนท์ คือน้องสาวสุดซี้แสนสนิทนามว่า “ขนมหวาน”
“ขนมจีนมีน้องสาวอีกคนค่ะ ชื่อขนมหวาน ที่มาของชื่อคือคุณแม่ชอบชื่อไทยๆ เลยได้ชื่อขนมจีนมา พอมีน้องสาวก็เลยเป็นขนมหวาน ก็อายุห่างกัน 2 ปีค่ะ ตอนนี้น้องก็อายุ 18 ปีแล้ว กำลังจะเข้าเรียนปีหนึ่ง เราสองคนพี่-น้องก็สนิทกันค่ะ คุยกันได้แทบจะทุกเรื่องนะ เหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่าค่ะ แล้วก็คุณแม่ก็เหมือนกัน คือเหมือนกับเป็นเพื่อนกันเลย คุยกันทุกเรื่องจริงๆ
แล้วทั้งบ้านก็จะมีแต่ผู้หญิง เพราะคุณพ่อเสียตั้งแต่ตอนเรา 2 ขวบ คุณแม่ก็จะเป็นเหมือนทั้งคุณพ่อ-คุณแม่ให้เรา แล้วก็เหมือนเป็นเพื่อนเราด้วย ตรงนี้ก็เลยค่อนข้างจะสนิทกัน เพราะผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะค่ะ”
ปลื้ม ติดจุฬาฯ
ขณะนี้ สาวขนมจีนก็กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยไม่น่าเชื่อว่า เธอขอเมาท์ตัวเองว่าก่อนหน้าจะสอบติดมหาวิทยาลัยนั้น ในโรงเรียนเธอแสบเอาการพอดู เรียนๆ เล่นๆ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ที่สาวเจ้าตกทุกเทอม แถมวิชาอื่นก็พอประคองตัวไปไม่ให้ตกเท่านั้น ถึงแม้จะถ่อมตัวว่าเรียนพอได้แต่เกรด 3 เกรด 4 หลายคนคงว่าเก่งใช้ได้เลยทีเดียว
“ตอนเด็กๆ ก็พอเรียนได้นะคะ ก็เกรด 3-4 มาตลอดค่ะ ตอนประถม แต่พอมาช่วงม. 1 เห่อไง ได้เข้าสตรีวิทย์ เราก็เข้ากลุ่มเพื่อนแสบ หลังห้อง แล้วโดดเรียนไม่ได้ไปไหนนะคะ ไปห้องสมุด ตอนนั้นเกรดก็ตกลงมาเหลือ 1.92 คือเป็นเกรดที่น้อยที่สุดในชีวิต คุณแม่ก็เครียดมาก เพราะเค้าเป็นคนไม่กดดันเรื่องเรียนเรา เพราะรู้ว่าเรารับผิดชอบได้ แต่พอเกิดเหตุการณ์นี้ เรารู้สึกแย่ เสียเครดิตมาก ไม่โดนตีนะคะ แต่ก็โดนดุ โดนประณาม (หัวเราะ) เราก็เลยขอย้ายห้อง จากนั้นเราก็ปรับตัว พอม.2 เกรดก็กลับขึ้นมาเป็น 3 เหมือนเดิมละ ก็โอเค รอดตาย
แต่มันก็เป็นอะไรที่สนุกนะ กลับไปก็อยากทำอีก เพราะมันทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้ แล้วขนมจีนเป็นคนไม่ซีเรียสเรื่องเรียนเลย แอบเอาหนังสือการ์ตูน หนังสือนิยาย ไปอ่านใต้โต๊ะ (หัวเราะ) คือแบบมันสนุกอ่ะ เรียนๆ เล่นๆ เป็นเด็กแสบเลยล่ะ แล้วยิ่งพอเรามาทำงาน ต้องแสดงให้เห็นว่าเราพยายามกับตรงนี้ ไม่งั้นเค้าจะมองว่างานก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ โรงเรียนไม่เห็นจะได้ส่วนได้ส่วนเสียเลย เพราะฉะนั้น เราต้องทำให้เค้าเห็นว่าเราตั้งใจ ไม่ได้ละเลยเรื่องเรียน”
สาวขนมจีนกล่าวต่อว่า เธอโชคดีที่รู้ว่าตัวเธอชอบอะไร จึงเบนเข็มไปยังเป้าหมายในทันที เมื่อหัวใจมีแต่เสียงเพลงจึงมุ่งมั่นที่จะเข้าไปในคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาดุริยางคศิลป์ ที่รับเพียง 15 คน ต่อปีการศึกษาเท่านั้น แล้วเด็กแสบอย่างเธอจะทำได้จริงหรือ
“มาช่วงเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย อันนี้ขนมจีนเครียดนะ แต่เราโชคดีที่เรารู้ว่าตัวเราชอบอะไร เราก็จะโฟกัสในสิ่งที่เราชอบ ขนมจีนอยากจะเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ แล้วปีนึงจะรับแค่ 15 คน ไม่มีแอดมิชชันกลาง ต้องสอบตรงอย่างเดียวเท่านั้น เราเลยคิดว่าเราต้องสู้ตายแล้วล่ะ ก็อ่านหนังสือเยอะมาก เป็นอะไรที่ทุ่มเทมากๆ ในชีวิต ปกติอ่านแต่นิยาย มาคราวนี้เราต้องอ่านหนังสือสอบ แต่เราก็คิดว่านี่คือสิ่งที่เราเลือกแล้ว เราต้องพยายามทำให้ถึงที่สุด ทำให้เต็มที่ สุดท้ายก็ผ่านเข้าไปได้ (ยิ้ม)
จำได้เลยนะ ช่วงที่สอบตรงอันนี้เป็นการสอบตรงที่เร็วที่สุด เป็นเซ็ทแรก ตอนที่คนอื่นเค้าเรียนภาษาญี่ปุ่นกันอยู่ เราก็บอกครูว่า ครูขาหนูขออนุญาตอ่านหนังสือที่หนูจะสอบ เพราะหนูคงไม่ไปแอดฯ กลาง หนูอยากได้คณะนี้จริงๆ ครูก็ไม่ว่าอะไร ทำอะไรก็ทำไปเหอะ แล้วไม่มีใครคิดเลยนะว่าหนูจะเข้าจุฬาฯ ได้ แล้วเราเข้าได้เป็นคนแรกก่อนเพื่อนในห้อง ในโรงเรียน โอ้โห! ภูมิใจมาก”
เซ็งไม่จบ ประเด็นศัลยกรรม
ประเด็นร้อนอีกเรื่องบนโลกออนไลน์ที่สาวขนมจีนพบเจอ คือเรื่องของคนพูดไม่น่าฟังกับการโจมตีถึงการทำศัลยกรรมของเธอ ล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก็มีสาวคนหนึ่งคอมเมนต์ถึงเรื่องนี้ในอินสตาแกรมของสาวขนมจีน อาจทำให้เธอเซ็งนิดๆ ถึงแม้เธอบอกว่าไม่ได้รู้สึกว่าร้ายแรงอะไร แต่เรื่องนี้คงไม่มีใครชอบถูกสะกิดมาพูดใหม่ๆ ซ้ำๆ ไม่จบสิ้น
“อ๋อ ค่ะ คือตอนนี้ก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรแล้วนะคะ ไม่อยากให้คนพูดถึงมากกว่า คือเรื่องมันก็ค่อนข้างนานแล้ว ไปๆ มาๆ มันทำให้เรารู้สึกว่า เห้ย! การที่เราพูดความจริง มันกลายเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้เลยหรอ กับคนที่ถามแล้วเค้าไม่ตอบ เพราะฉะนั้นขนมจีนก็ไม่อยากให้พูดถึงเรื่องนี้แล้วค่ะ”
และครั้งนั้นสาวขนมจีนก็ได้พูดตอบกลับไปในอินสตาแกรมเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2556 ไปแล้วว่า “บางทีรู้สึกเหนื่อยนะคะ กับการที่ตัวเราออกมายอมรับความจริง พอยอมรับก็ว่า ไม่ยอมรับก็ว่า ไม่รู้แล้วจริงๆว่าจะต้องทำตัวยังไง แล้วยิ่งพอมาเจอบ่อยๆ มาเห็นถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งเราคิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ขนาดครอบครัวเรายังไม่เคยว่าเราเลย คุณเป็นใครถึงมาใช้คำพูดแบบนี้กับเรา (ปล. ขอโทษนะคะเห็นมีแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ขอหนูปกป้องตัวเองบ้างนะคะ)”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถึงจะถูกใครวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงขนาดไหน แต่สาวขนมจีนก็ปล่อยมันผ่านไป กาลเวลาที่หล่อหลอมตัวตนของเธอให้เป็นคนมุ่งมั่น รับผิดชอบต่อทั้งการงานและการเรียน ความสามารถ ทักษะ ในการร้องเพลงและการแสดง คงพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าเธอเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่มีคุณค่าและมีคุณภาพต่อวงการเพลงและละครอีกคนหนึ่ง
ภาพโดย พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
ขอบคุณภาพประกอบจาก อินสตาแกรม @knomjeankulamas
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล : กุลมาศ ลิมปวุฒิวรานนท์
ชื่อเล่น : ขนมจีน
วันเกิด : 20 สิงหาคม 2535
น้ำหนัก-ส่วนสูง : 42 กิโลกรัม / 161 เซนติเมตร
การศึกษา : ชั้นปีที่ 3 คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาดุริยางคศิลป์ เอก Voice จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความสามารถพิเศษ : เต้น, ร้องโอเปร่า, เล่นดนตรี
ผลงานที่ผ่านมา
- นักร้องยุวชนยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย KPN Junior Award ปี 2004 ประเภทเพลงไทยสากล
- ผลงานเพลง 5 อัลบั้ม ได้แก่ อัลบั้ม ขนมจีน, อัลบั้ม Spirit, อัลบั้ม Loveful, อัลบั้ม Cycle และล่าสุดอัลบั้ม Meaning- ผลงานเพลงอัลบั้มรวมศิลปิน Kamikaze Friendship Never End, โปรเจกต์พิเศษ Kamikaze Wave, โปรเจกต์พิเศษ Kamikaze Loveเว่อร์, โปรเจกต์พิเศษ Kamikaze Destiny
- คอนเสิร์ต Kamikaze Live Concert
- งาน Thai Festival ครั้งที่ 10 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
- งานเฉลิมฉลองนับถอยหลัง 1 ปี สู่เอเชียนเกมส์ ณ กวางโจวยิมเนเซียม
- คอนเสิร์ต Kamikaze Wave Concert
- คอนเสิร์ต Kamikaze Loveเว่อร์ Concert
- คอนเสิร์ต Kamikaze the 5th Destiny Concert
- คอนเสิร์ต Korea&Thailand Love in Asia Multi-Cultural Power Concert