ระบบราชการแบบรวมศูนย์กับการเมืองแบบเผด็จการรวบอำนาจมีอิทธิพลตอบสนองซึ่งกันและก็ไม่ใช่แค่เผด็จการทหารเท่านั้นเผด็จการจากการเลือกตั้ง Tyranny of the majority ก็ชมชอบสภาพแวดล้อมแบบระบบราชการรวมศูนย์มากกว่าระบบใด
รัฐบาลจากการเลือกตั้งจะแปรสภาพเป็นเผด็จการได้ง่ายบนกลไกของราชการแบบรวมศูนย์
ในทางกลับกันหากเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจพลิกกลับเป็นกระจายออกไปรัฐบาลกลางเหลืองบประมาณน้อย ไม่มีอำนาจโยกย้าย ยากที่จะเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จได้
การต่อสู้กับรัฐบาลที่มีแนวโน้มบิดเบือนฉ้อฉลการใช้อำนาจไม่ว่านี้หรือรัฐบาลใดๆในอนาคตอย่าได้คิดหวังพึ่งพาวิธีการพิเศษเช่นการรัฐประหารได้อีกเพราะครั้งล่าสุดก็พิสูจน์แล้วว่าเนื้อแท้แล้วก็คือใช้อำนาจดิบมา“ล้มล้าง”การใช้อำนาจดิบอีกแบบหนึ่งผลออกมาก็แค่ “ล้ม”ได้ชั่วคราวไม่ได้ “ล้าง” อะไร
รัฐประหาร 2549 สมควรเป็นรัฐประหารโดยกำลังทหารครั้งสุดท้ายเพราะวิธีการดังกล่าวใช้ได้แค่กับช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ระหว่างสงครามเย็นเมื่อครั้งมหาอำนาจโลกเสรีปากหนึ่งรักประชาธิปไตยแต่เกลียดคอมมิวนิสต์มากกว่าเลยสนับสนุนการรัฐประการไปทั่วโลกขอเพียงเงื่อนไขเดียวอย่าไปอยู่ข้างเดียวกะคอมมิวนิสต์ก็พอ
แล้วเราจะล้มล้างเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งได้อย่างไรล่ะ ?
บางคนมองไปที่อาหรับสปริงซึ่งแท้จริงแล้วโมเดลนี้เคยเกิดขึ้นที่ฟิลิปปินส์มาก่อน บางคนยังเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่เผด็จการเปิดเปลือยตัวเองเต็มที่เมื่อนั้นคนจำนวนมากจะตาสว่างแล้วใช้การเลือกตั้งล้มรัฐบาลนั้นลง บางคนยังเชื่อว่าจะมีตุลาการภิวัตน์ ส่วนอีกหลายคนที่พบในเฟซบุ้คยังเชื่อในการปฏิวัติประชาชน
ก็ต่างคนต่างมุมมองล่ะครับ...
สำหรับผมแล้วต่อให้ตุลาการภิวัตน์ หรือมีไทยสปริงเกิดขึ้นอีกสักสองสามหนแต่หากโครงสร้างรัฐแบบรวมศูนย์ที่ใครชนะได้กินรวบหมดยังเป็นแบบนี้อยู่เราก็อาจจะเห็นพรรคการเมืองหน้าใหม่ใช้ประชานิยมสุดลิ่มซื้อใจประชาชนแล้วก็แปลงร่างกลายเป็นคณาธิปไตย/ธนาธิปไตย เผด็จการจากหีบเลือกตั้งได้อีก
ถ้าไม่แก้ที่โครงสร้างอำนาจเราก็จะยังได้เห็นระบบการเมืองสามานย์แบบที่เป็นอยู่ต่อไปอีกอยู่ดี !!
นั่นเพราะโครงสร้างแบบรวมศูนย์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นโครงสร้างแบบกินรวบ-เดิมพันสูงง่ายต่อการฉ้อฉลอำนาจ ได้อำนาจก็ได้เงินทอง สร้างอิทธิพลเหนือระบบราชการเพื่อการันตีการชนะเลือกตั้งหนใหม่อีกรอบกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่กลืนกินตัวเองเพราะการเมืองเสื่อมลงระบบราชการก็ยิ่งเสื่อมลงตาม
การที่ระบบราชการแบบรวมศูนย์คืออาวุธวิเศษของเผด็จการอำนาจนิยม นั่นเพราะอำนาจราชการไม่ได้มีแค่อำนาจตามระเบียบกฎหมาย Authority เท่านั้น หากยังหมายถึงอำนาจสั่งการ อำนาจบารมี อำนาจอิทธิพล อำนาจดลบันดาล อำนาจทรัพย์สินเงินตราและอำนาจเถื่อนอื่นใดได้ทั้งหมดทั้งสิ้น
คิดตามไม่ทันลองนึกถึงคำว่าตำรวจ กับ ดีเอสไอ ดูสิครับภาพจินตนาการจะชัดเจนขึ้น !
เมื่อก่อนผลประโยชน์ของอำนาจการเมืองที่ทำมาหากินร่วมกับอำนาจราชการก็แค่เปอร์เซ็นต์จากงานก่อสร้างอาคารสถานที่ถนนหนทาง อำนาจอนุมัติการทำมาหากินกับทรัพยากรเช่นประทานบัตรเหมืองแร่ ระเบิดหิน ขุดทราย สัมปทานไม้ อากรรังนก อำนาจผูกขาดตัดตอนเช่นเหล้า เบียร์ รวมไปถึงสัดส่วนโควตาเช่นโรงงานน้ำตาล รวมไปถึงอำนาจจัดซื้อจัดจ้างเช่นคลอรีนเป็นต้น
แต่ยุคปัจจุบันอำนาจของระบบราชการขยายปริมณฑลอำนาจครอบคลุมประโยชน์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล-มากกว่ายุคป่าไม้ เหมืองแร่ ผูกขาดเหล้าเบียร์หรือแม้แต่กินเปอร์เซ็นต์การก่อสร้างทั้งหลายมากมายหลายเท่าเช่นการสื่อสารโทรคมนาคม การพลังงาน แค่ประทานบัตรสำรวจและผลิตครั้งนึงก็หมายถึงเม็ดเงินไม่รู้เท่าไรแล้ว
การคมนาคมไม่ใช่แค่สร้างถนนสี่เลนสร้างสะพานกินหัวคิวอย่างมากครั้งละหลักร้อยล้านอีกแล้วหากหมายถึงเมกะโปรเจ็กต์มูลค่าแสนล้าน... ตัดหัวคิวมา 30% ก็หมื่นล้าน !
ด้วยอานุภาพของอำนาจอนุมัติ/จัดการ/กำหนดกรอบ/ของระบบราชการที่แปรเป็นมูลค่ามหาศาลขึ้น นักการเมืองย่อมต้องการให้ระบบดังกล่าวรวมศูนย์อำนาจสั่งการเอาไว้ที่กรุงเทพฯ เพียงจุดเดียว และโครงสร้างแบบนี้เองที่หนุนเสริมให้การเมืองสามานย์ขึ้นสามานย์ขึ้นเพราะเดิมพันของการได้ชัยชนะสูงลิบลิ่ว
ชนะครั้งเดียวได้กินรวบประเทศไทย !!
อำนาจรวมศูนย์ทำให้การเมืองครอบงำระบบราชการได้ง่ายขึ้นขณะที่การอิงกับอำนาจการเมืองทำให้ข้าราชการไต่หัวข้ามคนอื่นสามารถหากินร่ำรวยเกินจากเงินเดือนค่าตอบแทนปกติได้เช่นกัน ระบบทอนเงินต่างตอบแทนของราชการรวมศูนย์กับการเมืองฉ้อฉลยิ่งนานยิ่งแนบแน่นหล่อหลอมเป็นระบบเดียวกัน
จะแก้ด้วยการหาคนดีๆ มานั่งหรือออกกฎระเบียบใหม่ให้รัดกุมขึ้นหรืออะไรที่คล้ายๆกันเหล่านี้ยากแล้วเพราะมันเรื้อรังกลายเป็นวัฒนธรรมการเมืองการบริหารราชการไทยไปแล้ว
อย่าไปพร่ำเพ้อถึงเลยครับระบบคุณธรรมในราชการเพราะโครงสร้างแบบรวมศูนย์-เดิมพันสูงทำให้ทุกฝ่ายต้องหน้าด้านแหกธรรมเนียมปฏิบัติดันสิ่งที่ตนต้องการให้ได้ ไม่เอาด้วยเล่ห์ก็ด้วยกลมนต์คาถาให้ถึงที่สุด
ยิ่งรวมศูนย์ ระบบราชการยิ่งเละเทะ ระบบคุณธรรมยิ่งป่นปี้เพราะนักการเมืองต้องการคนที่ตนเองเชื่อใจมารับใช้ ระบบราชการยิ่งห่างไกลจากประโยชน์ของประชาชนมากขึ้นเท่านั้น
ระบบราชการแบบรวมศูนย์จึงเป็นกลไกหนุนเสริมของการเมืองสามานย์ ยิ่งกว่าผีเน่ากับโลงผุ !
ต้องแก้ที่โครงสร้างเท่านั้น ไปแก้ที่ตัวบุคคลหรือที่การออกระเบียบกฎเกณฑ์เข้มงวดขึ้นเอาไม่อยู่แล้ว ดูกฎหมายปปช.-ปปท.สิ ยิ่งฝ่ายไล่จับมีอาวุธใหม่ขึ้นมา ฝ่ายโกงกินฉ้อฉลก็เพิ่มความหน้าด้านเพิ่มประสิทธิภาพของการมาเร็วกินเร็วทิ้งห่างฝ่ายไล่จับออกไปเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างล่าสุดของการหลบเลี่ยงวิธีการตรวจสอบหาวิธีการใหม่ๆ เช่นออกแบบพร้อมกับก่อสร้าง (Design & Build) เพื่อเลี่ยงราคากลางและเงื่อนไขว่าจ้าง หรือหาข้ออ้างด้านๆ ไปเลยว่าอยู่ระหว่างดำเนินการยังเปิดเผยข้อมูลไม่ได้เช่นที่กระทรวงพาณิชย์หน้าด้านทำการจำนำข้าวอยู่ตอนนี้
การแก้ที่โครงสร้างจะมีผลทำให้อำนาจ-ผลประโยชน์ของรัฐบาลกลางเล็กลงกระจายอำนาจ-โอนถ่ายงบประมาณ อำนาจการอนุมัติพิจารณาควบคุมทั้งหลายออกไปจากส่วนกลาง ให้อำนาจกำกับ อำนาจจัดการทรัพยากร อำนาจสั่งการโยกย้ายบุคคล เหล่านั้นกระจายเป็นส่วนๆ ตามพื้นที่ต่างๆ ในนามของการกระจายอำนาจหรือปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ
ไม่มีใครกินรวบได้ เพราะอำนาจกระจายออกไปตามพื้นที่ต่างๆ เสียแล้ว
บางคนกลัวเกิดมาเฟียท้องถิ่น...อย่ากลัวเกินไปเลยครับเลยครับ-มาเฟียท้องถิ่นน่ากลัวสู้เผด็จการเบ็ดเสร็จที่มีอำนาจการเมืองสามานย์ไม่ได้หรอกครับ
เจ้าพ่อท้องถิ่นถึงน่ากลัวก็น่ากลัวน้อยกว่าเจ้าพ่อกินประเทศอย่างแน่นอน !
ยิ่งใกล้ชิดประชาชนเท่าไหร่คนที่ใช้อำนาจจะระมัดระวังมากขึ้น อย่างน้อยที่สุดต่อให้นายกอบจ.(หรือชื่อเรียกอื่นใด) ใช้เส้น คดโกง ชี้นิ้วแต่งตั้งคนของตัวเองรับตำแหน่งสำคัญในจังหวัดแต่ที่สุดยังต้องระมัดระวังควบคุมไม่ให้คนเหล่านั้นเหิมเกริมจนไม่ทำงานก่อความเสียหายกับฐานเสียงตนเองในสังคม ผู้การตำรวจคงไม่สามารถปล่อยคลับบาร์ร้านอาหารเปิดถึงตีสองตีสามชาวบ้านไม่ได้นอนเหมือนบางพื้นที่ เพราะตำแหน่งจะหลุดเอาทั้งนายกและผู้การตำรวจเมื่อการเลือกตั้งมาถึง
การกระจายอำนาจ เป็นวิธีการแก้เชิงโครงสร้างเพื่อตัดมือตัดตีนการเมืองแบบเผด็จการสามานย์ที่ได้ผลชัดเจนและต่อเนื่องระยะยาว
ความเหลวไหลไม่เข้าท่าของการเมือง ผูกพันแยกไม่ออกจากความล้มเหลวของระบบราชการเพิ่มอำนาจประชาชน จะนำประเทศเข้าสู่ประชาธิปไตยมากกว่าราชการแบบรวมศูนย์อำนาจซึ่งกลายเป็นกลไกเอื้อให้เกิดเผด็จการเบ็ดเสร็จขึ้นมาไปเสียแล้ว
ระบบราชการแบบรวมศูนย์เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดลากประเทศไทยอยู่ในเวลานี้ !
รัฐบาลจากการเลือกตั้งจะแปรสภาพเป็นเผด็จการได้ง่ายบนกลไกของราชการแบบรวมศูนย์
ในทางกลับกันหากเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจพลิกกลับเป็นกระจายออกไปรัฐบาลกลางเหลืองบประมาณน้อย ไม่มีอำนาจโยกย้าย ยากที่จะเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จได้
การต่อสู้กับรัฐบาลที่มีแนวโน้มบิดเบือนฉ้อฉลการใช้อำนาจไม่ว่านี้หรือรัฐบาลใดๆในอนาคตอย่าได้คิดหวังพึ่งพาวิธีการพิเศษเช่นการรัฐประหารได้อีกเพราะครั้งล่าสุดก็พิสูจน์แล้วว่าเนื้อแท้แล้วก็คือใช้อำนาจดิบมา“ล้มล้าง”การใช้อำนาจดิบอีกแบบหนึ่งผลออกมาก็แค่ “ล้ม”ได้ชั่วคราวไม่ได้ “ล้าง” อะไร
รัฐประหาร 2549 สมควรเป็นรัฐประหารโดยกำลังทหารครั้งสุดท้ายเพราะวิธีการดังกล่าวใช้ได้แค่กับช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ระหว่างสงครามเย็นเมื่อครั้งมหาอำนาจโลกเสรีปากหนึ่งรักประชาธิปไตยแต่เกลียดคอมมิวนิสต์มากกว่าเลยสนับสนุนการรัฐประการไปทั่วโลกขอเพียงเงื่อนไขเดียวอย่าไปอยู่ข้างเดียวกะคอมมิวนิสต์ก็พอ
แล้วเราจะล้มล้างเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งได้อย่างไรล่ะ ?
บางคนมองไปที่อาหรับสปริงซึ่งแท้จริงแล้วโมเดลนี้เคยเกิดขึ้นที่ฟิลิปปินส์มาก่อน บางคนยังเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่เผด็จการเปิดเปลือยตัวเองเต็มที่เมื่อนั้นคนจำนวนมากจะตาสว่างแล้วใช้การเลือกตั้งล้มรัฐบาลนั้นลง บางคนยังเชื่อว่าจะมีตุลาการภิวัตน์ ส่วนอีกหลายคนที่พบในเฟซบุ้คยังเชื่อในการปฏิวัติประชาชน
ก็ต่างคนต่างมุมมองล่ะครับ...
สำหรับผมแล้วต่อให้ตุลาการภิวัตน์ หรือมีไทยสปริงเกิดขึ้นอีกสักสองสามหนแต่หากโครงสร้างรัฐแบบรวมศูนย์ที่ใครชนะได้กินรวบหมดยังเป็นแบบนี้อยู่เราก็อาจจะเห็นพรรคการเมืองหน้าใหม่ใช้ประชานิยมสุดลิ่มซื้อใจประชาชนแล้วก็แปลงร่างกลายเป็นคณาธิปไตย/ธนาธิปไตย เผด็จการจากหีบเลือกตั้งได้อีก
ถ้าไม่แก้ที่โครงสร้างอำนาจเราก็จะยังได้เห็นระบบการเมืองสามานย์แบบที่เป็นอยู่ต่อไปอีกอยู่ดี !!
นั่นเพราะโครงสร้างแบบรวมศูนย์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นโครงสร้างแบบกินรวบ-เดิมพันสูงง่ายต่อการฉ้อฉลอำนาจ ได้อำนาจก็ได้เงินทอง สร้างอิทธิพลเหนือระบบราชการเพื่อการันตีการชนะเลือกตั้งหนใหม่อีกรอบกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่กลืนกินตัวเองเพราะการเมืองเสื่อมลงระบบราชการก็ยิ่งเสื่อมลงตาม
การที่ระบบราชการแบบรวมศูนย์คืออาวุธวิเศษของเผด็จการอำนาจนิยม นั่นเพราะอำนาจราชการไม่ได้มีแค่อำนาจตามระเบียบกฎหมาย Authority เท่านั้น หากยังหมายถึงอำนาจสั่งการ อำนาจบารมี อำนาจอิทธิพล อำนาจดลบันดาล อำนาจทรัพย์สินเงินตราและอำนาจเถื่อนอื่นใดได้ทั้งหมดทั้งสิ้น
คิดตามไม่ทันลองนึกถึงคำว่าตำรวจ กับ ดีเอสไอ ดูสิครับภาพจินตนาการจะชัดเจนขึ้น !
เมื่อก่อนผลประโยชน์ของอำนาจการเมืองที่ทำมาหากินร่วมกับอำนาจราชการก็แค่เปอร์เซ็นต์จากงานก่อสร้างอาคารสถานที่ถนนหนทาง อำนาจอนุมัติการทำมาหากินกับทรัพยากรเช่นประทานบัตรเหมืองแร่ ระเบิดหิน ขุดทราย สัมปทานไม้ อากรรังนก อำนาจผูกขาดตัดตอนเช่นเหล้า เบียร์ รวมไปถึงสัดส่วนโควตาเช่นโรงงานน้ำตาล รวมไปถึงอำนาจจัดซื้อจัดจ้างเช่นคลอรีนเป็นต้น
แต่ยุคปัจจุบันอำนาจของระบบราชการขยายปริมณฑลอำนาจครอบคลุมประโยชน์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล-มากกว่ายุคป่าไม้ เหมืองแร่ ผูกขาดเหล้าเบียร์หรือแม้แต่กินเปอร์เซ็นต์การก่อสร้างทั้งหลายมากมายหลายเท่าเช่นการสื่อสารโทรคมนาคม การพลังงาน แค่ประทานบัตรสำรวจและผลิตครั้งนึงก็หมายถึงเม็ดเงินไม่รู้เท่าไรแล้ว
การคมนาคมไม่ใช่แค่สร้างถนนสี่เลนสร้างสะพานกินหัวคิวอย่างมากครั้งละหลักร้อยล้านอีกแล้วหากหมายถึงเมกะโปรเจ็กต์มูลค่าแสนล้าน... ตัดหัวคิวมา 30% ก็หมื่นล้าน !
ด้วยอานุภาพของอำนาจอนุมัติ/จัดการ/กำหนดกรอบ/ของระบบราชการที่แปรเป็นมูลค่ามหาศาลขึ้น นักการเมืองย่อมต้องการให้ระบบดังกล่าวรวมศูนย์อำนาจสั่งการเอาไว้ที่กรุงเทพฯ เพียงจุดเดียว และโครงสร้างแบบนี้เองที่หนุนเสริมให้การเมืองสามานย์ขึ้นสามานย์ขึ้นเพราะเดิมพันของการได้ชัยชนะสูงลิบลิ่ว
ชนะครั้งเดียวได้กินรวบประเทศไทย !!
อำนาจรวมศูนย์ทำให้การเมืองครอบงำระบบราชการได้ง่ายขึ้นขณะที่การอิงกับอำนาจการเมืองทำให้ข้าราชการไต่หัวข้ามคนอื่นสามารถหากินร่ำรวยเกินจากเงินเดือนค่าตอบแทนปกติได้เช่นกัน ระบบทอนเงินต่างตอบแทนของราชการรวมศูนย์กับการเมืองฉ้อฉลยิ่งนานยิ่งแนบแน่นหล่อหลอมเป็นระบบเดียวกัน
จะแก้ด้วยการหาคนดีๆ มานั่งหรือออกกฎระเบียบใหม่ให้รัดกุมขึ้นหรืออะไรที่คล้ายๆกันเหล่านี้ยากแล้วเพราะมันเรื้อรังกลายเป็นวัฒนธรรมการเมืองการบริหารราชการไทยไปแล้ว
อย่าไปพร่ำเพ้อถึงเลยครับระบบคุณธรรมในราชการเพราะโครงสร้างแบบรวมศูนย์-เดิมพันสูงทำให้ทุกฝ่ายต้องหน้าด้านแหกธรรมเนียมปฏิบัติดันสิ่งที่ตนต้องการให้ได้ ไม่เอาด้วยเล่ห์ก็ด้วยกลมนต์คาถาให้ถึงที่สุด
ยิ่งรวมศูนย์ ระบบราชการยิ่งเละเทะ ระบบคุณธรรมยิ่งป่นปี้เพราะนักการเมืองต้องการคนที่ตนเองเชื่อใจมารับใช้ ระบบราชการยิ่งห่างไกลจากประโยชน์ของประชาชนมากขึ้นเท่านั้น
ระบบราชการแบบรวมศูนย์จึงเป็นกลไกหนุนเสริมของการเมืองสามานย์ ยิ่งกว่าผีเน่ากับโลงผุ !
ต้องแก้ที่โครงสร้างเท่านั้น ไปแก้ที่ตัวบุคคลหรือที่การออกระเบียบกฎเกณฑ์เข้มงวดขึ้นเอาไม่อยู่แล้ว ดูกฎหมายปปช.-ปปท.สิ ยิ่งฝ่ายไล่จับมีอาวุธใหม่ขึ้นมา ฝ่ายโกงกินฉ้อฉลก็เพิ่มความหน้าด้านเพิ่มประสิทธิภาพของการมาเร็วกินเร็วทิ้งห่างฝ่ายไล่จับออกไปเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างล่าสุดของการหลบเลี่ยงวิธีการตรวจสอบหาวิธีการใหม่ๆ เช่นออกแบบพร้อมกับก่อสร้าง (Design & Build) เพื่อเลี่ยงราคากลางและเงื่อนไขว่าจ้าง หรือหาข้ออ้างด้านๆ ไปเลยว่าอยู่ระหว่างดำเนินการยังเปิดเผยข้อมูลไม่ได้เช่นที่กระทรวงพาณิชย์หน้าด้านทำการจำนำข้าวอยู่ตอนนี้
การแก้ที่โครงสร้างจะมีผลทำให้อำนาจ-ผลประโยชน์ของรัฐบาลกลางเล็กลงกระจายอำนาจ-โอนถ่ายงบประมาณ อำนาจการอนุมัติพิจารณาควบคุมทั้งหลายออกไปจากส่วนกลาง ให้อำนาจกำกับ อำนาจจัดการทรัพยากร อำนาจสั่งการโยกย้ายบุคคล เหล่านั้นกระจายเป็นส่วนๆ ตามพื้นที่ต่างๆ ในนามของการกระจายอำนาจหรือปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ
ไม่มีใครกินรวบได้ เพราะอำนาจกระจายออกไปตามพื้นที่ต่างๆ เสียแล้ว
บางคนกลัวเกิดมาเฟียท้องถิ่น...อย่ากลัวเกินไปเลยครับเลยครับ-มาเฟียท้องถิ่นน่ากลัวสู้เผด็จการเบ็ดเสร็จที่มีอำนาจการเมืองสามานย์ไม่ได้หรอกครับ
เจ้าพ่อท้องถิ่นถึงน่ากลัวก็น่ากลัวน้อยกว่าเจ้าพ่อกินประเทศอย่างแน่นอน !
ยิ่งใกล้ชิดประชาชนเท่าไหร่คนที่ใช้อำนาจจะระมัดระวังมากขึ้น อย่างน้อยที่สุดต่อให้นายกอบจ.(หรือชื่อเรียกอื่นใด) ใช้เส้น คดโกง ชี้นิ้วแต่งตั้งคนของตัวเองรับตำแหน่งสำคัญในจังหวัดแต่ที่สุดยังต้องระมัดระวังควบคุมไม่ให้คนเหล่านั้นเหิมเกริมจนไม่ทำงานก่อความเสียหายกับฐานเสียงตนเองในสังคม ผู้การตำรวจคงไม่สามารถปล่อยคลับบาร์ร้านอาหารเปิดถึงตีสองตีสามชาวบ้านไม่ได้นอนเหมือนบางพื้นที่ เพราะตำแหน่งจะหลุดเอาทั้งนายกและผู้การตำรวจเมื่อการเลือกตั้งมาถึง
การกระจายอำนาจ เป็นวิธีการแก้เชิงโครงสร้างเพื่อตัดมือตัดตีนการเมืองแบบเผด็จการสามานย์ที่ได้ผลชัดเจนและต่อเนื่องระยะยาว
ความเหลวไหลไม่เข้าท่าของการเมือง ผูกพันแยกไม่ออกจากความล้มเหลวของระบบราชการเพิ่มอำนาจประชาชน จะนำประเทศเข้าสู่ประชาธิปไตยมากกว่าราชการแบบรวมศูนย์อำนาจซึ่งกลายเป็นกลไกเอื้อให้เกิดเผด็จการเบ็ดเสร็จขึ้นมาไปเสียแล้ว
ระบบราชการแบบรวมศูนย์เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดลากประเทศไทยอยู่ในเวลานี้ !