เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ก่อน รายการตอบโจทย์ประเทศไทย ได้สัมภาษณ์อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ในหัวข้อเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองเทป เทปแรกออกอากาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2556 ที่ผ่านมา และเทปที่สอง จะออกตามมาในวันที่ 15 มีนาคม
แต่สุดท้าย การรอคอยของคอมวย เอ้ย! คอข่าว ที่จะได้ชมได้ฟัง วิวาทะของอาจารย์สองท่าน ต้องกลายเป็นเรื่องรอเก้อ เมื่อไทยพีบีเอสตัดสินใจไม่ออกอาการรายการตอบโจทย์ในวันศุกร์ที่ผ่านมา
ด้วยการอ้างเหตุผลว่า การตอบโจทย์เรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือเป็นหัวข้อที่อ่อนไหวมากของสังคมไทย ยิ่งในเวลานี้ ความขัดแย้งทางการเมืองมักถูกโยงให้ไปเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เสมอๆ
เอาละผมไม่แตะเรื่องของการเสวนาแล้วกันนะครับ ประเด็นหลักคือการที่รายการตอบโจทย์เอาประเด็นนี้มาเป็นหัวข้อสนทนา นั้นน่าจะแสดงให้เห็นว่ามีการผ่านกระบวนการคิดมาอย่างดีแล้ว ว่าจะทำรายการในหัวข้อดังกล่าว
การจะทำแบบนี้ได้ผู้ใหญ่ในสถานีควรจะทราบเรื่องและอนุญาตให้ทำอยู่แล้ว จึงเป็นที่น่าแปลกใจมากว่าทำไมถึงกลับไม่นำมาออกอากาศไปเสียเฉยๆ แถมรายการก็ออกมาประชาสัมพันธ์ตั้งแต่วันจันทร์ว่าคุยหัวข้อนี้ ผู้บริหารไทยพีบีเอสจะไม่รู้ไม่เห็นเลยหรือไง
สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส สั่งยุติการออกอากาศเทปรายการ “ตอบโจทย์ประเทศไทย” ตอน “สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ตอนที่ 5 ที่มีนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ และนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เป็นแขกรับเชิญ ดำเนินรายการโดย “ภิญโญ ไตรสุริย ธรรมา” ก่อนที่จะมีการออกอากาศในเวลา 21.45 น.ของวันศุกร์ที่ 15 มี.ค.2556 เพียง 15 นาทีเท่านั้น โดยอ้างมาตรา 46 ของ พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551
รายการตอบโจทย์เทปนี้ออกมาจนเหลือเทปสุดท้ายของการสนทนาแล้ว จริงๆ การปล่อยให้มีการออกอากาศไป ตามกำหนดเดิม ก็อาจจะไม่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ดูทะแม่งๆ ชอบกล
ไม่ว่าจะมีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ผมบอกได้การมีข่าวรายการตอบโจทย์ครั้งนี้ ประเดี๋ยวเดียวก็หายวับไปกับสายลมกาลเวลา อย่างกรณีละครเหนือเมฆ นั่นแหละครับ ตอนนี้สุดท้ายละครเรื่องนี้ก็เป็นแค่กระแสเมาท์ที่ค่อยๆจางหายไป
หลังจากไทยพีบีเอสไม่ออกรายการเทปนี้ นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ผู้ดำเนินรายการรายการตอบโจทย์ประเทศไทย ได้ประกาศผ่านเฟซบุ๊กของรายการ ขอยุติทำรายการตอบโจทย์ฯ โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนต่อวิชาชีพสื่อสารมวลชน และเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการแทรกแซงการทำงานจากภายในอย่างไม่เป็นมืออาชีพ ทั้งยังระบุว่ายินดีที่จะถูกประณาม เพื่อจุดไฟท่ามกลางหวาดกลัวต่อการสนทนาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อนำการกล่าวร้ายโจมตีในที่มืดออกสู่ที่แจ้ง ให้คนได้แสดงเหตุผลและหักล้างกันด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ นายภิญโญและทีมงานได้ขอยุติการทำรายการอย่างถาวร การทำแบบนี้เท่ากับการโยนคำถามคาใจทั้งหมดของคนดูไปให้ทางสถานีและผู้บริหาร ว่าจะมีคำตอบหรือคำชี้แจงอย่างไร
ทีวีสาธารณะอย่างไทยพีบีเอส ร่อนคำแถลงของนาย สมชัย สุวรรณบรรณ ในฐานะ ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ที่ออกมาพูดถึงเหตุผลที่ไม่นำเทปตอน “สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ตอนที่ 5 เพิ่มเติมว่า
1.เป็นการตัดสินใจโดยไม่มีแรงกดดันจากสถาบัน หน่วยงาน หรือกลุ่มบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดและมีปัจจัยอื่นแวดล้อม อันอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยของทีมงาน ทีมผู้บริหารจึงตัดสินใจชะลอการออกอากาศรายการตอบโจทย์ตอนที่ 5 เพื่อทบทวนให้เกิดความรอบด้านและพิจารณาความเหมาะสมรวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
2.เพื่อให้เกิดกระบวนการพิจารณาอย่างรอบด้าน ผู้บริหารจึงนำเสนอเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะอนุกรรมการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชนซึ่งเป็นกลไกตามกฏหมาย
3.ไทยพีบีเอสยืนยันในภารกิจของสื่อสาธารณะที่ต้องเปิดให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการนำเสนอประเด็นดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเปิดให้ประชาชนได้เกิดมิติ การรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและถกเถียงในจุดยืนที่หลากหลาย ทั้งมุ่งหวังเพื่อพัฒนาด้านความคิดในการสื่อสารทางปัญญาของประเด็นที่ถูกถกเถียงในสังคมวงกว้างแต่ถูกจำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะในมุมมืด ภายใต้รูปแบบของรายการที่ให้แต่ละภาคส่วนที่มีความเห็นต่างโดยเฉพาะประเด็นที่ละเอียดอ่อนได้ใช้เวทีสนทนาสาธารณะ ด้วยเหตุและผล แม้สังคมจะไม่เข้าใจในระยะเริ่มต้นก็ตาม แต่จะเชื่อมั่นว่า น่าจะสร้างความมั่นคงให้กับสังคมและประชาชนในระยะยาว
อ่านแล้วก็ยังยากจะเชื่ออยู่ดีละครับ แล้วก็มีคำถามกลับไปยังทีวีสาธารณะไทยพีบีเอส ควรตอบประชาชน ดังนี้
• ข้อแรกเมื่อทางไทยพีบีเอสเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเปราะบางและละเอียดอ่อนแล้วทำไมยอมให้ออกอากาศแต่แรก เพราะนี่ไม่ใช่รายการสด เทปมีการตรวจสอบและตัดต่อหรือยกเลิกออกอากาศได้ตั้งแต่การตรวจสอบเนื้อหา ทำไมปล่อยให้ออกอากาศมาถึงเทปสุดท้าย แล้วค่อยมายกเลิก
• ข้อต่อมาถ้าไทยพีบีเอสเป็นทีวีที่รับฟังความคิดเห็นและข้อร้องเรียนของประชาชน ก็ควรจะมีการนำเสนอด้วยว่าการนำเรื่องร้องเรียนไปพิจารณา ได้ดำเนินการกันอย่างไร และมีการโต้เถียงถกกันทางความคิดจริงๆหรือไม่ และห้องประชุมนั้นมีใครบ้างหรือมีผู้บริหารไม่กี่คนนั่งกันหัวดำหัวหงอกแล้วก็สั่งยกเลิกรายการ
• ข้อสามไทยพีบีเอสมักพูดว่าตัวเองเป็นทีวีสาธารณะเสมอมา แล้วทำไมจึงมีการปิดกั้นทางความคิด เช่นนี้ เพราะ ความคิดแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมประธิปไตยไม่ใช่หรือ
• ข้อสี่มีการประชุมสภาผู้ชมก่อนมีการระงับการออกอากาศหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ควรถามไปยังสภาผู้ชมด้วย
• ข้อห้า ทำไมผู้บริหารไทยพีบีเอสไม่ปล่อยให้มีการเผยแพร่เทปนี้และให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นกันเอง คุณอาจจะขึ้นคำเตือนสักเล็กน้อยว่าควรใช้วิจรณญาณในการรับชม หรือเข้าสู่ระบบการจัดเรทติ้งให้เป็นเรทติ้งที่พ่อแม่ควรให้คำแนะนำกับเยาชนในการรับชมก็เป็นทางออกที่ดีได้ แต่ทำไมไม่เลือก
เอาละครับฝากคำถามถึงทางไทยพีบีเอสสักเล็กน้อย ใครคิดคำถามโดนๆได้มากกว่านี้ก็แสดงความคิดเห็นกันดูนะครับ
หน่วยงานอย่าง กสทช. ก็เป็นอีกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แ ละมีหน้าที่โดยตรงที่จะเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ ผมว่าต้องจับตามองกันละครับว่า กสทช. จะเป็นเสือกระดาษที่นอนหลับบนเตียงนุ่มๆต่อไปอีกไหม หลังมีกรณีแบบนี้ออกมาทดสอบความรู้ความสามารถของพวกท่าน ว่าจะทำหน้าที่คุ้มกับเงินเดือนหลักแสนบาท กับตั๋วเครืองบินเฟิร์สคลาสหรือไม่
ผมก็ได้แต่หวังว่าเรื่องนี้จะได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด ไม่หายเข้ากลีบเมฆตามละครเรื่องเหนือเมฆภาค 2 ไปนะครับ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นกับทีวีที่ใช้ภาษีประชาชนมาทำงานผลิตรายการและหล่อเลี้ยงสถานี อย่าเอาภาษีประชาชนไปแล้วบริหารงานกันแบบใช้ตรรกหัวแม่ตีน
สุดท้ายนี้ทีวีสารธารณะก็ไม่ต่างอะไรกับบุคคลสาธารณะ ที่ต้องมีทั้งคนรัก คนเกลียด คนชอบ คนชม คนติ คนด่า คุณต้องรับมันให้ได้ครับ และเมื่อคุณคิดว่ารายการที่คุณทำมันดี มันเจ๋ง และมันทำบนพื้นฐานของความถูกต้องคุณก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร
พูดแล้วก็ไม่อยากจะอวยกันเอง แต่ดูตัวอย่างจากเอเอสทีวีได้นะครับว่า ยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง เราไม่เคยเปลี่ยนแนวไม่เคยถอดใจ แม้คนบางส่วนจะว่าเรา ด่าเรา โจมตีเรา สาดโคลนใส่เรา แต่เมื่อเราเชื่อว่าเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง เราก็ไม่เคยหวั่นไหวเลย และยังคงจะเป็นแบบนี้ต่อไป