xs
xsm
sm
md
lg

สตาร์วอร์สกับการเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: ยุรชัฏ ชาติสุทธิชัย


เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ในวงการภาพยนตร์ นั่นคือข่าวของ บริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ได้ซื้อลูคัสฟิลม์ และได้ประกาศว่าจะมีการสร้างภาพยนตร์อมตะอย่าง สตาร์วอร์ส อีกสามภาค ซึ่งจะทำให้เพิ่มจากเดิมเป็นเก้าภาค จากที่สตาร์วอร์สมีมาแล้วหกภาค

เมื่อลองมองย้อนกลับไปดูภาคต่างๆของภาพยนตร์เรื่องนี้ เราจะเห็นภาพสะท้อน ภาพรวมของมนุษย์ในหลายแง่มุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองการปกครองไว้มากมายทีเดียว เป็นหนังที่ประสพความสำเร็จสูง ได้รับการต้อนรับติดตามจากผู้ชมทั่วโลก

เป็นหนังดังเปรี้ยงปร้าง มีเนื้อหาน่าสนใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิติทางด้านการเมืองการปกครองของมนุษย์ บางส่วนถ้าลองมองกลับมาดูสถานการณ์การเมืองไทย ก็มีอะไรที่ดูเหมือนว่าจะคล้ายๆกัน มีนัยยะที่น่าคิดพิจารณาหลายประเด็น

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้ง หกภาค ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงเคยดูทุกภาค หรือใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้แล้วละก็ อาจจะเคยนำมาเปิดดูแบบเรียงตามภาค เพราะแต่เดิมนั้น จอร์จ ลูคัส ผู้กำกับมือทองทำหนังเรื่องนี้เริ่มจากภาค 4 – 6 แล้วก็ค่อยย้อนกลับมาทำภาค 1 – 3 ทำให้บางทีการดูข้ามไปข้ามมา อาจทำให้เกิดอาการงงและสับสนได้ เพื่อป้องกันเรื่องนี้หากท่านผู้อ่านอยากดูแบบลึกซึ้งและเข้าใจ วิธีหนึ่งที่น่าจะดีที่สุดคือการซื้อหรือเช่าดีวีดีทั้งหกภาคมาเปิดดูเรียงกัน

เนื้อหาในภาพยนตร์ไตรภาคเดิม (เอพพิโซด 4, 5 และ 6) เกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองกาแลกติกที่มีขึ้นระหว่างพันธมิตรฝ่ายกบฏ กับฝ่ายจักรวรรดิ เป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว ลุค สกายวอล์คเกอร์ หนุ่มน้อยผู้ซึ่งกำลังฝึกฝนเพื่อเป็นอัศวินเจไดคนสุดท้าย (และคนแรกในเจไดรุ่นใหม่) อาจเป็นผู้เดียวที่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับดาร์ธ เวเดอร์ ลอร์ดมืดแห่งซิธ และจักรพรรดิ ดาร์ธ ซิเดียส อาจารย์ของเขา

ภาพยนตร์ไตรภาคต้น (เอพพิโซด 1, 2, และ 3) กล่าวถึงเหตุการณ์ที่นำไปสู่สงครามกลางกาแล็กซี่ การล่มสลายของสาธารณรัฐ และความรุ่งเรืองของฝ่ายจักรวรรดิ จากยุทธการนาบูระหว่างนาบูกับสมาพันธ์การค้า ไปจนถึงสงครามโคลนที่มีต่อฝ่ายแบ่งแยกดินแดน สงครามทั้งสองดำเนินไปตามประสงค์ของซิธ ภายใต้พัลพาทีน ผู้ลึกลับ ซึ่งคอยควบคุมทั้งสองฝ่ายอย่างลับ ๆ

ภาพยนตร์ไตรภาคย้อนอดีตนี้เกิดขึ้นพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ซึ่งได้รับการฝึกฝนเป็นเจไดหลังจากสงครามนาบู แต่ในเอพพิโซด 3 อนาคินค่อยๆ ถูกกลืนเข้าสู่อำนาจมืดของพลัง จนกลายเป็นดาร์ธ เวเดอร์ ภายใต้การชี้นำของพัลพาทีน

จะเห็นได้ว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้ฝ่ายพระเอกจะโดนกล่าวหาว่าเป็นกบฎต้องการจะล้มจักรวรรดิ ซึ่งมีการปกครองแบบเผด็จการ แถมหากย้อนกลับไปดูที่ภาคที่สาม เราจะเห็นว่าประชาธิปไตย สิทธิและเสรีภาพ มันหมดไปทันทีเมื่อมีการจัดตั้งจักรวรรดิเอ็มไพร์

การรวบอำนาจเบ็ดเสร็จของลอร์ดซีเดียสก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนของการตั้งตัวเป็นจอมเผด็จการที่มาจากสภาซึ่งควรจะเป็นประชาธิปไตย

ในฉากที่มีการประชุมสภาสูงและจัดตั้งจักรวรรดิเอ็มไพร์ แพตเม่ได้พูดในสภาเรื่อง สิทธิเสรีภาพ จบลง ด้วยเสียงปรบมือกึกก้อง

การที่ตัวละครอย่างลอร์ดวิท ที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ในสภาและเล่นเกมการเมือง เพื่อทำให้ตัวเองก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสมุหนายก รวมไปถึงการก่อสงครามเพื่อสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เพื่อเอามาอ้างในการก้าวขึ้นสู่อำนาจ และเพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง เห็นไหมครับว่า มันคล้ายๆ กับเผด็จการรัฐสภาในการเมืองไทยและนักการเมืองโสมมบ้าอำนาจในบ้านเรา

สภาเจไดหากดูดีๆก็คล้ายๆวุฒิสภา ที่คอยคานอำนาจสภาสูงอยู่ และเป็นเหมือนกลไกตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจจากสภาสูง

การใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามและทำลายฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก มันก็เหมือนกับการเมืองปัจจุบันที่ใส่ร้ายและสร้างภาพให้พวกที่คิดต่าง เพื่อรักษาอำนาจของตัวเองเอาไว้ เป็นการสร้างภาพให้คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจไม่เท่าทัน เชื่อในสิ่งที่ถูกทำให้เชื่อแบบนั้น ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องจริง พูดง่ายๆมันคือการบิดเบือนข้อเท็จจริง

ความโอหัง ความโลภในอำนาจ ความมักใหญ่ใฝ่สูง คือการทำให้คนหันเข้าหาด้านมืดในจิตใจ ดูได้จากอนาคิน ที่สุดท้ายต้องกลายเป็นดาร์ธ เวเดอร์ และถูกด้านมืดเข้าครอบงำ มนุษย์ทุกคนมีด้านมืดในจิตใจอยู่ที่ว่าคุณจะพ่ายแพ้ต่อมัน และปล่อยให้มันเข้ามาควบคุมความคิดของคุณแค่ไหน

ก็เหมือนนักการเมืองบ้านเรานั่นแหละ พอเข้ามามีตำแหน่งมีอำนาจ ด้านมืดก็ครอบงำ ที่มืดอยู่แล้วก็มืดดำหนักขึ้น ตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ อำนาจ เป็นช่องทางสำหรับกอบโกยผลประโยชน์เงินทองมหาศาล ทำให้นักการเมืองบ้านเราไม่สามารถที่จะหลุดออกจากความโลภกระหายในอำนาจได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่มีทางเลยที่จะทำเพื่อประโยชน์ของส่วนร่วม หรือคิดถึงประชาชนประเทศชาติก่อนผลประโยชน์ส่วนตัว

มองกลับมาด้านสว่าง วิถีเจไดก็ไม่ต่างกับวิถีพุทธมากนัก ดูได้จากกฎของเจไดที่ว่า “ไร้ซึ่งอารมณ์ ย่อมมีความสงบไร้ซึ่งความเขลา ย่อมมีปัญญาความรู้ ไร้ซึ่งความมีกิเลส ย่อมมีความปลอดโปร่ง ไร้ซึ่งความตาย นั่นคือ พลัง”

หากมนุษย์ทำตามกฎเจไดดีๆ นี่คือวิธีที่จะไม่ให้เราเกิดกิเลสและเกิดความโลภ แต่ทว่าวิถีเจไดไม่ได้ทำได้ง่ายๆ อย่างที่ลุค สกายวอร์คเกอร์พูดไว้ในหนังว่า “หากวิถีของเจไดเป็นเรื่องง่าย คงมีพวกที่เหมือนเราเป็นพันล้านแทนที่จะมีแค่ไม่กี่โหล” เมื่อลองคิดดีๆ ทำไมพันธมิตรถึงมีไม่มาก ทำไมคนที่รักชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงถึงมีน้อยนัก มีแต่พวกที่จ้องหาผลประโยชน์แทบทั้งนั้น ก็คงเพราะการเป็นคนดีมันยากเย็น มันลำบาก มันต้องอดทนเสียสละยาวนาน

การที่เราคิดดีทำดี ยึดมั่นในเหตุผลที่เราเชื่อมันด้วยสมองและหัวใจว่า มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อย่างโอบีวัน เคโนบี ที่อดทนเฝ้ารอ เพราะเชื่อมั่นว่าสกายวอร์คเกอร์จะเป็นผู้ที่ถูกเลือก และเป็นผู้สร้างสมดุลสู่จักรวาล และกำจัดเผด็จการแบบซิท เขายึดมั่นและเชื่อมั่นในคำทำนายนี้เต็มหัวใจ และสุดท้ายมันก็เป็นจริง

จนกว่าวันหนึ่งคนส่วนใหญ่ตื่นจากหลับใหล รับรู้และเข้าใจสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เรายึดมั่นมาตลอดนั้น ว่าเป็นสิ่งถูกต้องสมควรกระทำ

ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือมีกำลังใจอดทนลงแรงเพื่อเดินไปสู่วันนั้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันจะมาเมื่อไรวันไหน แต่ก็ต้องรอได้อย่างเข้าใจและมีพลังอยู่เสมอ ผมก็คงได้แต่หวังว่าวันข้างหน้าวันนั้นจะมาถึง ตัวแปรของสมการการเมืองไทยไม่เหมือนในหนังสตาร์วอร์ส ที่มีคนเขียนให้เดินไปตามบท ส่วนการเมืองไทยไม่มีใครเขียนบท ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าสุดท้ายจะจบลงอย่างไร แต่ที่มั่นใจได้แน่นอน คือไม่มีความชั่วใดยืนยงคงอยู่ไปตลอดกาล ไม่มีคนชั่วใดหนีกฎแห่งกรรมหนีกรรมชั่วของตัวเองได้ตลอดไป ไม่มีใครหนีพ้นสัจธรรมข้อนี้ไปได้หรอกครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น