วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งวันที่พวกเราชาวเอเอสทีวีผู้จัดการภาคภูมิใจ เป็นวันที่เอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน มีอายุครบ 22 ปี ย่างก้าวเข้าสู่ปีที่ 23 และยังเป็นวันเกิดของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งอีกด้วย ทำให้บรรยากาศที่บ้านพระอาทิตย์วันนั้นคึกคักไปด้วยพี่น้องพันธมิตรมากมาย และเพื่อนบริษัทห้างร้านต่างๆที่เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างอบอุ่น
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ก่อตั้งเมื่อวันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 โดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล สองปีต่อมาผู้จัดการรายวันมีชื่อเสียงโดดเด่น ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬพ.ศ. 2535 เมื่อมีการปราบปรามประชาชน ที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นช่วงเวลาที่สื่อโทรทัศน์ในประเทศ ถูกรัฐบาลควบคุมการเสนอข่าว ไม่รายงานการสูญเสียชีวิตของประชาชน ต่อมามีการตรวจสอบ และควบคุมการเสนอข่าว และภาพข่าว ที่ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อย่างเข้มงวด
ในสถานการณ์วิกฤตทางการเมือง ผู้จัดการรายวัน ร่วมกับหนังสือพิมพ์อื่น เช่น เดอะเนชั่น, กรุงเทพธุรกิจ และ แนวหน้า ตีพิมพ์ภาพข่าวการปราบปรามประชาชน ท่ามกลางอำนาจเผด็จการที่ใช้ความรุนแรงเข่นฆ่าจับกุมประชาชน ผู้จัดการรายวัน ยังมีการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับพิเศษ แจกฟรีไปทั่วกรุงเทพมหานคร เพื่อรายงานข่าวการชุมนุมบนถนนราชดำเนิน จนถูกรัฐบาลดำเนินคดี และสั่งปิดเป็นเวลาสองวัน
อย่างไรก็ตาม วิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ทำให้เครือผู้จัดการประสบปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง ในที่สุด ธนาคารหลายแห่งก็ฟ้องล้มละลาย และศาลได้ตัดสินให้คุณสนธิเป็นบุคคลล้มละลาย
ในช่วงปี พ.ศ. 2544 ผู้จัดการรายวัน มีชื่อเสียงเปรี้ยงปร้างเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีผู้อ่านจำนวนมากติดตาม จากคอลัมน์ข่าวปนคน คนปนข่าว ของเซี่ยงเส้าหลง ซึ่งเป็นนามปากกาของคุณสนธิ และหนังสือพิมพ์ล้อเลียนผู้จัดกวน
ผู้จัดการรายวันเป็นสื่อสารมวลชนที่เปิดโปงการทุจริตโกงกิน ปล้นชาติปล้นแผ่นดินของรัฐบาลและนักการเมืองอย่างเข้มข้น คุณสนธิเริ่มจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร เมื่อปี พ.ศ. 2548 ซึ่งพัฒนามาเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในปี พ.ศ. 2549 นั้น ผู้จัดการรายวัน เป็นปากเสียงของพี่น้องประชาชนผู้รรักชาติรักความเป็นธรรม ร่วมกับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ช่องนิวส์วัน
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ศาลล้มละลายกลางพิจารณาให้ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของหนังสือพิมพ์และนิตยสารในเครือผู้จัดการ มีสภาพล้มละลาย เนื่องจากมีหนี้สินกว่า 4,726 ล้านบาท จึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์สินของบริษัท ชื่อหนังสือพิมพ์และนิตยสารในเครือทั้งหมด ถือเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ ตามกฎหมาย จึงไม่สามารถออกหนังสือพิมพ์และนิตยสาร โดยใช้ชื่อเดิมอีกต่อไป
เล่าที่มาที่ไปของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ก่อนหน้าจะพัฒนามาเป็นเอเอสทีวีผู้จัดการในทุกวันนี้ ว่ากันพอสังเขปแล้วกันนะครับ
งานครบรอบวันเกิดเอเอสทีวีผู้จัดการครั้งนี้เริ่มตั้งแต่เช้าเลยละครับ เช้าตรู่ เช้าขนาดไหนนะเหรอครับ เช้าขนาดที่ว่าผมขับรถมาถึงบ้านพระอาทิตย์ติ้งแต่หกโมงเช้า แต่ไม่มีที่จอดต้องไปจอดด้านหน้าบ้านพระอาทิตย์แทน ซึ่งโดยปรกติแล้วผมจะมาถึงออฟฟิศเป็นคนแรกๆ เพราะหนีรถติด จนบางครั้งพี่เลขาฯ คุณสนธิเคยเล่าให้ผมฟังว่าเวลาคุณสนธิมาถึงบ้านพระอาทิตย์จะต้องเอามือมาแตะรถผมดูว่าร้อนไหม เพื่อที่จะดูว่าผมนอนออฟฟิศหรือว่ามาจากบ้าน นานๆที ที่ผมจะไม่มีที่จอดต้องเอารถไปจอดข้างนอก แต่เอาเถอะครับปีละหนเท่านั้นเอง
ผมถึงออฟฟิศแต่เช้าแต่ฝ่ายอาคารสถานที่ก็เข้ามาเตรียมพื้นที่บริเวณทางเดินให้สำหรับการฟังเทศน์ฟังธรรมและทำบุญตักบาตรข้าวสวยในเช้าวันนั้น
พิธีเริ่มประมาณเก้าโมงนิดๆ เป็นการทำบุญสวดมนต์และพิธีทางศาสนาก่อน วันนี้มีแขกผู้ใหญ่มาเยอะจริงๆครับ พูดตรงๆว่าไหว้และกราบสวัสดีกันแทบไม่ทันเลยทีเดียว มีพี่น้องพันธมิตรเอาอาหารมาเลี้ยงดูมากมาย ปกติพนักงานที่นี่มีคุณลุงคุณป้าคุณน้าให้ความเมตตาสละเวลาข้าวของเงินทองมาทำอาหารเที่ยงให้รับประทานฟรีกันอยู่แล้วทุกวัน ในวันงานมีอาหารพิเศษอีกมากมาย ตั้งแต่ไก่ย่างส้มตำ ไปถึงข้าวขาหมู อร่อยทุกร้านเลยครับ
หลังจากพิธีสงฆ์เสร็จสิ้นลงก็เป็นเวลาของการรับแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีกับเอเสทีวี ที่ก้าวสู่ปีที่ยี่สิบสาม ผมเป็นเด็กช่วยรับแขกส่งแขกที่บู๊ทร่วมกับพี่ๆอาๆอีกหลายคน ทำให้ผมได้มีโอกาสทราบเรื่องน่ารักๆของคุณสนธิสมัยก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการใหม่ๆ
มีคุณอาท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่าเมื่อก่อนสมัยที่คุณลุงสนธิยังรวยมากๆอยู่มีการเอาเงินใส่กระเป๋ามาแล้วให้แต่ละโต๊ะข่าวตอบคำถาม ถ้าตอบถูกก็ได้เงินรางวัลก้อนนั้นไปเลย ถ้าเป็นสมัยนี้เขาคงเรียกคุณสนธิด้วยวลีเด็ดๆที่ว่า แก่ ใจดี สปอร์ต แบบที่กำลังฮิตๆกันอยู่นี่แหละครับ
ครับวันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป หลายๆอย่างเปลี่ยนแปลง จากที่เคยมี ตอนนี้ไม่มี แต่ผมเชื่อว่าทุกคนที่นี้ยังคงรักและเคารพคุณสนธิเหมือนเดิม ดูได้จากการที่คุณสนธิพูดเปิดใจกับพนักงานทุกๆคนในช่วงบ่าย ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของงานเลยที่เดียว งานนี้มีปีละหนเท่านั้น
ในฐานะคนที่ทำงานที่นี่ พูดได้เลยละครับว่าผมภูมิใจมากที่ได้ทำงานที่นี่ แม้จะมาทำงานได้ไม่นาน แถมผมเข้ามาในช่วงที่ออฟฟิศกำลังมีวิกฤตในหลายๆด้าน ผมว่ายามยากลำบากเป็นเวลาดีที่สุดที่เราจะพบมิตรแท้ คนจริง ของแท้
เคยมีผู้ใหญ่มากๆท่านหนึ่งถามผมว่า คุณอยากเป็นคนอ่านประวัติศาสตร์ หรืออยากเป็นคนเขียนมัน ผมจึงเชื่อว่าคิดไม่ผิดที่มาทำงานที่นี่ มาเป็นคนของผู้จัดการยุคใหม่ ผมมองผู้ใหญ่และพี่ๆทุกคนทุกท่านเป็นครูอาจารย์ของผมทุกคนครับ
มีคุณอาคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่นี่มานานบอกกับผมว่า วิกฤติครั้งนี้รุนแรงกว่าตอนปี 40 มาก เพราะตอนนั้นเศรษฐกิจพังหมด แต่รอบนี้มันไม่ใช่ รอบนี้มีเฉพาะออฟฟิศเราที่เกิดปัญหา ที่อื่นเขายังไม่มีปัญหาอะไรแถมมีโบนัสกันเพียบ
ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่ๆ ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง มีขึ้นก็ต้องมีลง มีร้ายแล้วก็ต้องมีดี ตอนนี้เราอาจจะต้องเหนื่อยกันมากหน่อย แต่ผมแน่ใจว่าไม่มีอะไรคงอยู่จีรังทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันหน้าเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
22 ปีที่ผ่านมาและก้าวสู่ปีที่ 23 ถึงจะลำบาก พวกเราจะยังยืนหยัดทำหน้าที่เพื่อประชาชนเหมือนเดิม และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป ต้องขอบคุณพี่น้องทุกคนที่คอยหนุนหลังเราเสมอมา พวกเราเป็นสื่อมวลชน มวลชนทั้งหน้าเวที มวลชนหน้าจอ และมวลชนคนรักความเป็นธรรมรักชาติบ้านเมืองทั่วประเทศ ภารกิจสื่อสารมวลชนของพวกเรา เราจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดครับ