ทักษิณนี่เจ๋งจริงๆ ยอมรับเลย แกใช้มุก “ช่วยพาผมกลับบ้าน” ปลุกคนมาตั้งแต่ปี 51 จนบัดนี้ผ่านมา 4 ปีก็ยังใช้อยู่...สามารถจัดลำดับให้เป็นมุกคลาสสิกตลอดกาลของประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้ วาทะดังกล่าวน่าจะได้รับการบันทึกจดจำพอๆ กับ “เชื่อผู้นำ” ของจอมพล ป. และ “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” ของจอมพลสฤษดิ์
และจะว่าไปวาทะ “ช่วยพาผมกลับบ้าน” นี่มีอิทธิฤทธิ์มากกว่าวาทะใด ๆ ของจอมพล ป. หรือจอมพล สฤษดิ์ ด้วยซ้ำไปเพราะวาทะนี้วาทะเดียวก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในทางการเมืองมากมาย ระดับที่เปลี่ยนรัฐบาลมา 3 รัฐบาล ประเทศชาติวอดวายฉิบหายไปไม่น้อย สามารถเรียกชุมนุมมากมายมหาศาลเป็นประวัติการณ์
มิหนำซ้ำถึงกับทำให้ผู้คนไม่น้อยที่เรียกตัวเองฝ่ายก้าวหน้า-ปัญญาชนถึงกับกระอักออกมาเป็นโลหิต (แต่แอบเก็บอาการไว้กลัวเสียหน้า-ฮาๆ)
ปี 52 ประกาศว่าเสียงปืนแตกจะไปเดินนำหน้าขบวนพี่น้อง ขอให้พี่น้องมากันเยอะๆ ช่วยพาผมกลับบ้าน..บรรดาพี่น้องก็ยกขบวนมาช่วยทักษิณกลับบ้าน เผาบ้านเผาเมืองรอบแรก แกนนำยอมแพ้มอบตัว พี่น้องทยอยเก็บเสื่อสาดขึ้นรถบัสที่ลานพระรูปกลับบ้าน
มาปี 53 โฟนอินถี่ยิบปล่อยมุกช่วยพาผมกลับบ้านนี่แหละเรียกแขกได้ชะงัด เรียกร้องให้มาร่วมชุมนุม เรียกร้องว่าถ้ามีการสลายชุมนุมให้พี่น้องไปที่ศาลากลาง นำมาสู่การชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ ส่วนศาลากลางก็ถูกเผาไปหลายหลัง แกนนำเข้าคุก พี่น้องหลบไปสู้ใต้ดินเพื่อช่วยทั่นนายกฯ ได้กลับบ้าน ในที่สุดรัฐบาล ปชป.ก็ยุบสภา เหตุการณ์นี้ติดบันทึกข่าวสำคัญของโลกซึ่งทักษิณควรจะภูมิใจที่วาทะ “พาผมกลับบ้าน” ก่อให้เกิดข่าวอื้อฉาวระดับโลกเช่นนี้ได้
เลือกตั้งปี 54 ทักษิณก็ใช้มุกเดิมนี่แหละขอให้พี่น้องช่วยกาเลือกพรรคเพื่อไทยเพื่อจะได้ช่วยเอาผมกลับบ้าน-เหอๆ พี่น้องก็ช่วยกันกรอกบัตรลงคะแนนเลือกนกแก้วมาเป็นนายกได้ 1 นาง...
แต่จนแล้วจนรอด...ทักษิณก็ยังไม่กลับบ้านเสียที !
มาปี 55 ณ ราชประสงค์ ทักษิณ ชินวัตรเจ้าเก่าโฟนอินมายังพี่น้องกลุ่มเดิมขอให้เดินหน้าปรองดองตามแนวทางรัฐบาลเพื่อ “ผมจะได้กลับบ้าน” กล่าวอ้อมชักแม่น้ำทั้งห้าจะไม่ลืมบุญคุณพี่น้องแต่ถึงเวลาแล้วเพราะพี่น้องพายเรือส่งถึงฝั่งถึงเวลาขึ้นเขาผมจะเดินไปเอง ...
หลายคนสงสัยร้อง อ้าว ! ที่เรียกร้องให้พาผมกลับบ้าน ๆ ๆ ตลอด 4 ปีมานี่แค่พายเรือให้ถึงฝั่งเองดอกเรอะนี่ ..ว่าแล้วทักษิณก็อ้อนต่อว่า การพาผมกลับบ้านพี่น้องต้องหยุดการชุมนุมแบบนี้ (เพราะนี่เป็นการโฟนอินครั้งสุดท้าย) และการไม่ปรองดองมีแต่สงครามไม่มีใครได้ประโยชน์ทั้งตัวทักษิณและพี่น้องเสื้อแดงก็ไม่ได้ประโยชน์เห็นมั้ยพี่น้อง...จะมีก็แต่พ่อค้าอาวุธทั้งสองฝ่ายเท่านั้นที่ได้ประโยชน์
วาทะดอกนี้ของทักษิณซาบซึ้งพี่น้องมากเพราะทักษิณรักสงบ ทักษิณอยากเห็นความสามัคคีปรองดอง ทักษิณไม่อยากเห็นการชุมนุมวุ่นวายประเทศชาติอลหม่านสับสน และที่สำคัญ “ผมจะได้กลับบ้านเสียที” พี่น้องที่รักทักษิณยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้าทั้งหลายแม้จะรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ...อารายว้า ! ปีก่อนให้สู้อำมาตย์มาปีนี้ให้ยอมอำมาตย์แต่ที่สุดพี่น้องก็เชื่อทักษิณโดยดี พอเสร็จจากโฟนอินก็ก้มหน้างุดๆ เซื่องๆ กลับไปนอนก่ายหน้าผากที่บ้าน สะกดจิตตัวเองว่าบ้านเมืองนี้ของไม่แพงกันตามปกติวิสัย
จะมีก็แต่พวกที่ทักษิณเรียกว่า “พ่อค้าอาวุธฝ่ายเรา” คือพวกที่ได้ประโยชน์จากการไม่ปรองดองนี่แหละที่ไม่อาจสงบได้ ล้อมวงฟังเทปโฟนอินอีกรอบ..ชัดเจนแน่แล้ว....นายด่าเรา..... ที่สำคัญที่สุดนายไม่สนับสนุนให้มีกิจกรรมชุมนุมเสื้อแดงแบบนี้อีกต่อไปใช่ไหม ตราบใดที่เพื่อไทยเป็นรัฐบาลเพื่อการปรองดองสมานฉันท์ก็จะไม่มีการเรียกร้องชุมนุมกดดันอีกต่อไป ตายๆๆๆๆ..อย่างนี้แกนนำม็อบก็หมดบทบาทซิวะ !!?
บรรดาเครือข่ายพ่อค้าอาวุธฝ่ายแดง ซึ่งประกอบด้วยแกนนำที่ได้หัวคิวจากการระดมมวลชน ป้ายและเวที เครื่องเสียง แกนนำหลากระดับที่อยู่ในข่ายระดมคน แกนนำที่อยู่ในคิวได้โควตา นปช. เพื่อกินตำแหน่งทางการเมือง ฝ่าย รปภ.ที่อ้างว่าต้องฝึกอบรมการ์ด และที่สำคัญคือแกนนำที่ได้พลังคนเสื้อแดงมากินตำแหน่งอำมาตย์ หลังจากที่อึ้งกิมกี่พักใหญ่ต่างก็มาลันดูแกมาแลดูกันไปมา
ไม่แต่พ่อค้าอาวุธ นปช. เท่านั้น ประดาพ่อค้าอาวุธแดงสายพันธุ์ต่างๆ อาทิ แดงห้อยโหน แดงซ้ายจัด แดง 112 แดงสยาม แดงเสรี แดงแกนนำท้องถิ่นไต่เต้า ฯลฯ ล้วนได้รับผลกระทบจากการประกาศยุติงานเลี้ยงของเถ้าแก่ดูไบทั้งสิ้น คนที่ปากไวหน่อยก็โพสต์บ่นตามบอร์ดตามเฟซ แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะกลืนเลือดเก็บอาการ (ฮา)
อยากรู้จริงๆ ว่าหลังเวทีเลิกบรรดาแกนนำทั้งหลายจะจับเข่าคุยกันต่อว่ายังไง เพราะจนบัดนี้ผ่านไป 2 วันก็ยังเงียบหาย อาจเพราะยังช็อกกันอยู่ (ฮา)
ในเมื่อไม่มีผู้เกี่ยวข้องกับ นปช. แกนธิดา แกนเต้น แกนตู่ ออกมาให้ความชัดเจนจะมีเพียงแต่แกนนอนประเภท บ.ก.ลายจุดเท่านั้นที่ทวิตเตอร์ระบายอารมณ์ จึงได้แต่พึ่งพาไสยศาสตร์จุดธูปถามจิ้งจกแถวนั้นดู (ฮา)
อาจได้ความประมาณว่า...มีแกนนำระดับสองบ่นปอดแปดว่า ถ้ารู้งี้ที่จริงไม่ต้องลากมาถึง 19 พ.ค.2553 ที่มีการเผาบ้านเผาเมืองก็ได้ รู้งี้ประกาศยุติเวทีไปพร้อมๆ กับพวกสายพิราบที่โบกมือกระโดดรถไปล่วงหน้า มอบตัวซะก่อน แล้วมาเลือกตั้งไม่ต้องเหนื่อย ที่สำคัญไม่มีคนตาย
แต่แกนนำแถวสองต้องหัวหดลงไปฉับพลันเมื่อคางคกตัวหนึ่งแทรกสวนขึ้นมาว่า หุบปาก !!! แกรู้หรือเปล่าว่ายิ่งชุมนุมนานออกไป 1 วันรายได้ก็เพิ่มขึ้นมา 1 วัน จำได้หรือเปล่าว่าที่เราล้มโต๊ะเจรจากับ ปชป. ก็เพราะเราอ้างว่าเพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อมวลชนต้องเอาคนผิดมาลงโทษเราจึงลากสถานการณ์มาได้ถึงวันเผาบ้านเผาเมือง และที่ได้โควตาเสื้อแดงได้ตำแหน่งทั้งหลายนั้นไม่เป็นเพราะเราลากสถานการณ์มาจนปะทุหลั่งเลือดเรอะ
คางคกเห็นอีกฝ่ายอึ้งไปจึงขี่แพะไล่ทันที... “แล้วกุนซือทั้งหลายตลอดถึงเจ้านายเองก็หวังจะเห็น “พฤษภาทมิฬโมเดล” กันมิใช่เรอะ จึงสั่งล้มโต๊ะเจรจา ย้ายสถานที่ชุมนุมจากสะพานผ่านฟ้ามาที่ราชประสงค์ เพราะหวังว่าถ้าจลาจลวุ่นวายก็จะมีการยุติไกล่เกลี่ยเพื่อให้เจ้านายกลับมา คนที่อยากให้ลากการชุมนุมจนคนตายไม่ใช่เราฝ่ายเดียว”
ครับ ! บทสนทนาระหว่างแกนนำแถวสองกับคางคกเป็นจินตนาการประกอบบทความน่ะครับ ส่วนจะตรงกับความจริงแค่ไหนคนที่บอกได้ก็มีแต่แกนนำม็อบวันนั้นเท่านั้น
ไม่ต้องอาศัยไสยศาสตร์จิ้งจกอะไรหรอกเพราะ “เวลา” ที่ผ่านไปทำให้อะไรๆ ชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ
ข้ออ้างบ้าๆ บอๆ ที่แกนนำ นปช.เคยอ้างตอนที่ล้มโต๊ะเจรจา และตอนที่ทู่ซี้เดินหน้าชุมนุมต่อทั้งๆ ที่สายพิราบนำโดยวีระกานต์ มุสิกพงศ์ วิสา คัญทัพ โบกมือลาไปแล้วเป็นเช่นไร มีบันทึกในประวัติศาสตร์แล้ว และผลของมันนำมาซึ่งอะไร ใครได้-ใครเสีย ก็เห็นๆ กันอยู่
ผมเคยได้ยินพวกปนยาชันคุยกันประมาณว่าหลอกใช้ทักษิณล้มอำมาตย์แล้วค่อยมาล้มทักษิณอีกที หรือไม่ก็การเมืองแบ่งเป็นสองฝ่าย-อำมาตย์ทหารเผด็จการฝ่ายหนึ่ง กับฝ่ายประชาธิปไตยอีกฝ่ายหนึ่ง มันเป็นคำพูดของพวกฟันน้ำนมทางการเมืองเท่านั้น
เวลาผ่านไป ยิ่งเห็น ยิ่งชัด ... ส่วนใครเลือกที่จะเข้าใจ ใครเลือกที่จะกลืนเลือดเก็บอาการ หรือตกกะไดพลอยโจนก็ตามสบายเหอะครับ !
และจะว่าไปวาทะ “ช่วยพาผมกลับบ้าน” นี่มีอิทธิฤทธิ์มากกว่าวาทะใด ๆ ของจอมพล ป. หรือจอมพล สฤษดิ์ ด้วยซ้ำไปเพราะวาทะนี้วาทะเดียวก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในทางการเมืองมากมาย ระดับที่เปลี่ยนรัฐบาลมา 3 รัฐบาล ประเทศชาติวอดวายฉิบหายไปไม่น้อย สามารถเรียกชุมนุมมากมายมหาศาลเป็นประวัติการณ์
มิหนำซ้ำถึงกับทำให้ผู้คนไม่น้อยที่เรียกตัวเองฝ่ายก้าวหน้า-ปัญญาชนถึงกับกระอักออกมาเป็นโลหิต (แต่แอบเก็บอาการไว้กลัวเสียหน้า-ฮาๆ)
ปี 52 ประกาศว่าเสียงปืนแตกจะไปเดินนำหน้าขบวนพี่น้อง ขอให้พี่น้องมากันเยอะๆ ช่วยพาผมกลับบ้าน..บรรดาพี่น้องก็ยกขบวนมาช่วยทักษิณกลับบ้าน เผาบ้านเผาเมืองรอบแรก แกนนำยอมแพ้มอบตัว พี่น้องทยอยเก็บเสื่อสาดขึ้นรถบัสที่ลานพระรูปกลับบ้าน
มาปี 53 โฟนอินถี่ยิบปล่อยมุกช่วยพาผมกลับบ้านนี่แหละเรียกแขกได้ชะงัด เรียกร้องให้มาร่วมชุมนุม เรียกร้องว่าถ้ามีการสลายชุมนุมให้พี่น้องไปที่ศาลากลาง นำมาสู่การชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ ส่วนศาลากลางก็ถูกเผาไปหลายหลัง แกนนำเข้าคุก พี่น้องหลบไปสู้ใต้ดินเพื่อช่วยทั่นนายกฯ ได้กลับบ้าน ในที่สุดรัฐบาล ปชป.ก็ยุบสภา เหตุการณ์นี้ติดบันทึกข่าวสำคัญของโลกซึ่งทักษิณควรจะภูมิใจที่วาทะ “พาผมกลับบ้าน” ก่อให้เกิดข่าวอื้อฉาวระดับโลกเช่นนี้ได้
เลือกตั้งปี 54 ทักษิณก็ใช้มุกเดิมนี่แหละขอให้พี่น้องช่วยกาเลือกพรรคเพื่อไทยเพื่อจะได้ช่วยเอาผมกลับบ้าน-เหอๆ พี่น้องก็ช่วยกันกรอกบัตรลงคะแนนเลือกนกแก้วมาเป็นนายกได้ 1 นาง...
แต่จนแล้วจนรอด...ทักษิณก็ยังไม่กลับบ้านเสียที !
มาปี 55 ณ ราชประสงค์ ทักษิณ ชินวัตรเจ้าเก่าโฟนอินมายังพี่น้องกลุ่มเดิมขอให้เดินหน้าปรองดองตามแนวทางรัฐบาลเพื่อ “ผมจะได้กลับบ้าน” กล่าวอ้อมชักแม่น้ำทั้งห้าจะไม่ลืมบุญคุณพี่น้องแต่ถึงเวลาแล้วเพราะพี่น้องพายเรือส่งถึงฝั่งถึงเวลาขึ้นเขาผมจะเดินไปเอง ...
หลายคนสงสัยร้อง อ้าว ! ที่เรียกร้องให้พาผมกลับบ้าน ๆ ๆ ตลอด 4 ปีมานี่แค่พายเรือให้ถึงฝั่งเองดอกเรอะนี่ ..ว่าแล้วทักษิณก็อ้อนต่อว่า การพาผมกลับบ้านพี่น้องต้องหยุดการชุมนุมแบบนี้ (เพราะนี่เป็นการโฟนอินครั้งสุดท้าย) และการไม่ปรองดองมีแต่สงครามไม่มีใครได้ประโยชน์ทั้งตัวทักษิณและพี่น้องเสื้อแดงก็ไม่ได้ประโยชน์เห็นมั้ยพี่น้อง...จะมีก็แต่พ่อค้าอาวุธทั้งสองฝ่ายเท่านั้นที่ได้ประโยชน์
วาทะดอกนี้ของทักษิณซาบซึ้งพี่น้องมากเพราะทักษิณรักสงบ ทักษิณอยากเห็นความสามัคคีปรองดอง ทักษิณไม่อยากเห็นการชุมนุมวุ่นวายประเทศชาติอลหม่านสับสน และที่สำคัญ “ผมจะได้กลับบ้านเสียที” พี่น้องที่รักทักษิณยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้าทั้งหลายแม้จะรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ...อารายว้า ! ปีก่อนให้สู้อำมาตย์มาปีนี้ให้ยอมอำมาตย์แต่ที่สุดพี่น้องก็เชื่อทักษิณโดยดี พอเสร็จจากโฟนอินก็ก้มหน้างุดๆ เซื่องๆ กลับไปนอนก่ายหน้าผากที่บ้าน สะกดจิตตัวเองว่าบ้านเมืองนี้ของไม่แพงกันตามปกติวิสัย
จะมีก็แต่พวกที่ทักษิณเรียกว่า “พ่อค้าอาวุธฝ่ายเรา” คือพวกที่ได้ประโยชน์จากการไม่ปรองดองนี่แหละที่ไม่อาจสงบได้ ล้อมวงฟังเทปโฟนอินอีกรอบ..ชัดเจนแน่แล้ว....นายด่าเรา..... ที่สำคัญที่สุดนายไม่สนับสนุนให้มีกิจกรรมชุมนุมเสื้อแดงแบบนี้อีกต่อไปใช่ไหม ตราบใดที่เพื่อไทยเป็นรัฐบาลเพื่อการปรองดองสมานฉันท์ก็จะไม่มีการเรียกร้องชุมนุมกดดันอีกต่อไป ตายๆๆๆๆ..อย่างนี้แกนนำม็อบก็หมดบทบาทซิวะ !!?
บรรดาเครือข่ายพ่อค้าอาวุธฝ่ายแดง ซึ่งประกอบด้วยแกนนำที่ได้หัวคิวจากการระดมมวลชน ป้ายและเวที เครื่องเสียง แกนนำหลากระดับที่อยู่ในข่ายระดมคน แกนนำที่อยู่ในคิวได้โควตา นปช. เพื่อกินตำแหน่งทางการเมือง ฝ่าย รปภ.ที่อ้างว่าต้องฝึกอบรมการ์ด และที่สำคัญคือแกนนำที่ได้พลังคนเสื้อแดงมากินตำแหน่งอำมาตย์ หลังจากที่อึ้งกิมกี่พักใหญ่ต่างก็มาลันดูแกมาแลดูกันไปมา
ไม่แต่พ่อค้าอาวุธ นปช. เท่านั้น ประดาพ่อค้าอาวุธแดงสายพันธุ์ต่างๆ อาทิ แดงห้อยโหน แดงซ้ายจัด แดง 112 แดงสยาม แดงเสรี แดงแกนนำท้องถิ่นไต่เต้า ฯลฯ ล้วนได้รับผลกระทบจากการประกาศยุติงานเลี้ยงของเถ้าแก่ดูไบทั้งสิ้น คนที่ปากไวหน่อยก็โพสต์บ่นตามบอร์ดตามเฟซ แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะกลืนเลือดเก็บอาการ (ฮา)
อยากรู้จริงๆ ว่าหลังเวทีเลิกบรรดาแกนนำทั้งหลายจะจับเข่าคุยกันต่อว่ายังไง เพราะจนบัดนี้ผ่านไป 2 วันก็ยังเงียบหาย อาจเพราะยังช็อกกันอยู่ (ฮา)
ในเมื่อไม่มีผู้เกี่ยวข้องกับ นปช. แกนธิดา แกนเต้น แกนตู่ ออกมาให้ความชัดเจนจะมีเพียงแต่แกนนอนประเภท บ.ก.ลายจุดเท่านั้นที่ทวิตเตอร์ระบายอารมณ์ จึงได้แต่พึ่งพาไสยศาสตร์จุดธูปถามจิ้งจกแถวนั้นดู (ฮา)
อาจได้ความประมาณว่า...มีแกนนำระดับสองบ่นปอดแปดว่า ถ้ารู้งี้ที่จริงไม่ต้องลากมาถึง 19 พ.ค.2553 ที่มีการเผาบ้านเผาเมืองก็ได้ รู้งี้ประกาศยุติเวทีไปพร้อมๆ กับพวกสายพิราบที่โบกมือกระโดดรถไปล่วงหน้า มอบตัวซะก่อน แล้วมาเลือกตั้งไม่ต้องเหนื่อย ที่สำคัญไม่มีคนตาย
แต่แกนนำแถวสองต้องหัวหดลงไปฉับพลันเมื่อคางคกตัวหนึ่งแทรกสวนขึ้นมาว่า หุบปาก !!! แกรู้หรือเปล่าว่ายิ่งชุมนุมนานออกไป 1 วันรายได้ก็เพิ่มขึ้นมา 1 วัน จำได้หรือเปล่าว่าที่เราล้มโต๊ะเจรจากับ ปชป. ก็เพราะเราอ้างว่าเพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อมวลชนต้องเอาคนผิดมาลงโทษเราจึงลากสถานการณ์มาได้ถึงวันเผาบ้านเผาเมือง และที่ได้โควตาเสื้อแดงได้ตำแหน่งทั้งหลายนั้นไม่เป็นเพราะเราลากสถานการณ์มาจนปะทุหลั่งเลือดเรอะ
คางคกเห็นอีกฝ่ายอึ้งไปจึงขี่แพะไล่ทันที... “แล้วกุนซือทั้งหลายตลอดถึงเจ้านายเองก็หวังจะเห็น “พฤษภาทมิฬโมเดล” กันมิใช่เรอะ จึงสั่งล้มโต๊ะเจรจา ย้ายสถานที่ชุมนุมจากสะพานผ่านฟ้ามาที่ราชประสงค์ เพราะหวังว่าถ้าจลาจลวุ่นวายก็จะมีการยุติไกล่เกลี่ยเพื่อให้เจ้านายกลับมา คนที่อยากให้ลากการชุมนุมจนคนตายไม่ใช่เราฝ่ายเดียว”
ครับ ! บทสนทนาระหว่างแกนนำแถวสองกับคางคกเป็นจินตนาการประกอบบทความน่ะครับ ส่วนจะตรงกับความจริงแค่ไหนคนที่บอกได้ก็มีแต่แกนนำม็อบวันนั้นเท่านั้น
ไม่ต้องอาศัยไสยศาสตร์จิ้งจกอะไรหรอกเพราะ “เวลา” ที่ผ่านไปทำให้อะไรๆ ชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ
ข้ออ้างบ้าๆ บอๆ ที่แกนนำ นปช.เคยอ้างตอนที่ล้มโต๊ะเจรจา และตอนที่ทู่ซี้เดินหน้าชุมนุมต่อทั้งๆ ที่สายพิราบนำโดยวีระกานต์ มุสิกพงศ์ วิสา คัญทัพ โบกมือลาไปแล้วเป็นเช่นไร มีบันทึกในประวัติศาสตร์แล้ว และผลของมันนำมาซึ่งอะไร ใครได้-ใครเสีย ก็เห็นๆ กันอยู่
ผมเคยได้ยินพวกปนยาชันคุยกันประมาณว่าหลอกใช้ทักษิณล้มอำมาตย์แล้วค่อยมาล้มทักษิณอีกที หรือไม่ก็การเมืองแบ่งเป็นสองฝ่าย-อำมาตย์ทหารเผด็จการฝ่ายหนึ่ง กับฝ่ายประชาธิปไตยอีกฝ่ายหนึ่ง มันเป็นคำพูดของพวกฟันน้ำนมทางการเมืองเท่านั้น
เวลาผ่านไป ยิ่งเห็น ยิ่งชัด ... ส่วนใครเลือกที่จะเข้าใจ ใครเลือกที่จะกลืนเลือดเก็บอาการ หรือตกกะไดพลอยโจนก็ตามสบายเหอะครับ !