เห็นข่าวนายกปู-ยิ่งลักษณ์นั่งพับเพียบคุยกับพระพรหมวชิรญาณระหว่างพิธีฉลองพุทธชยันตีที่วัดพระสิงห์ฯ เชียงใหม่ด้วยความรู้สึกคันตะหงิดๆ เพราะเกิดความรู้สึกแว้บขึ้นมาว่ากลุ่มพลังต่างๆ ในแวดวงพุทธศาสนาอาศัยจังหวะโอกาสสำคัญชิงกันสำแดงฤทธิ์เดชอวดศักดาบารมีกัน บ้างก็มองข้าม บ้างก็ก้าวข้ามองค์กรหลักอย่างมหาเถรสมาคมไปเสีย สืบเนื่องพระเดชพระคุณสมเด็จพระสังฆราชทรงประชวรนาน สมเด็จพระเถระผู้ใหญ่ก็ชราภาพบ้างมรณภาพไปบ้างกิจการงานในองค์กรสงฆ์ระยะหลังจึงไม่เข้มแข็งขาดเอกภาพและเปิดช่องให้พลังอำนาจแฝงภาคส่วนต่างๆ เข้ามาแสดงบทบาท
อันที่จริงจังหวัดเชียงใหม่และคณะสงฆ์เชียงใหม่มีกำหนดจัดงานเฉลิมฉลองดังกล่าวในระหว่าง 29 ก.ค.-4 มิ.ย. คาบเกี่ยววันวิสาขบูชาพร้อมกันกับจังหวัดอื่นๆ ส่วนกำหนดการพิเศษที่นายกปูยิ่งลักษณ์มาและถ่ายรูปเป็นข่าวไปทั่วนั้นเป็นการจัดของมูลนิธิพระรัตนตรัย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารซึ่งมีพระพรหมวชิรญาณ (มหานิกาย) ราชาคณะและกรรมการเถรสมาคมเป็นประธาน ถ้าจะจัดแบ่งให้ชัดกิจกรรมดังกล่าวไม่ได้จัดโดยองค์กรหลักที่เป็นทางการ หากเป็น “มูลนิธิ” หนึ่ง แต่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีก็ให้ลำดับความสำคัญเป็นพิเศษไปร่วมเช่นเดียวกับที่เคยไปตักบาตรกับธรรมกาย
อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรอกเพราะการทำบุญเป็นเรื่องดีทั้งนั้น จะวัดธรรมกายจัด มูลนิธิจัด กรรมการมหาเถรรูปใดรูปหนึ่งจัด ก็ล้วนแต่เป็นการดี ปัญหาเดียวที่ไม่ค่อยดีนักคือรัฐบาลเพื่อไทยดูประหนึ่งจะให้น้ำหนักความสำคัญกับองค์กร-วัด-มูลนิธิมากไปหน่อยจนสังเกตเห็นความเอียงกระเท่เร่ได้
เอาหลายๆ เหตุการณ์มาต่อกันเป็นภาพจิ๊กซอว์จะพบว่างานกิจกรรมในแวดวงศาสนาต่อเนื่องถึงวาระฉลองพุทธชยันตี 2600 ปีตรัสรู้คราวนี้ไม่ปกติเลยครับ
เหตุของความไม่ปกติ เกิดจาก …
1.การฉวยโอกาสของวัดธรรมกาย แสดงบทบาทแผ่ขยายอิทธิพลภายในคณะสงฆ์ กลายเป็นองค์กรหลักที่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายอาณาจักรคือรัฐบาลเพื่อไทย จนดูประหนึ่งเป็นองค์กรหลักของการจัดพิธีพุทธชยันตีแทนที่องค์กรหลักทางศาสนาในทางพฤตินัย
2.รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เหมือนจะสมรู้ร่วมคิดเชิดชูภาพของธรรมกายให้เป็นองค์กรหลักเคลื่อนไหวทำกิจกรรมพุทธชยันตี โดยหลักฐานสำคัญคือการไม่สนับสนุนองค์กรหลักที่มีอยู่เดิมให้ทำกิจกรรมต่างๆ ยิ่งใหญ่เทียบเท่าเมื่อครั้งฉลองกึ่งพุทธศตวรรษ พ.ศ.2500 แม้แต่งบประมาณก็ไม่อุดหนุนอย่างเต็มที่ หลักฐานประจักษ์ชัดคือเพิ่งมาอนุมัติเงินงบกลางเพื่อจัดงานฉลองพุทธชยันตีเมื่อการประชุมครม. 1 พ.ค.ที่ผ่านมาจำนวน 150 ล้านบาท ก็หมายความว่าเพิ่งให้เงินมาจัดก่อนหน้างานแค่เดือนเดียว... จะอ้างว่าเพิ่งรู้ ไม่มีใครบอกก็ไม่ได้เพราะยิ่งลักษณ์เพิ่งไปเป็นประธานสวมชุดขาวอุบาสิกาฉลองพุทธชยันตีของวัดธรรมกายเมื่อ 2 เดือนก่อนหน้า ข่าวสารบ้านเมืองเรื่องพุทธชยันตีออกเอิกเกริกแต่รัฐบาลเพิ่งมาตื่นอนุมัติงบให้องค์กรหลัก (ที่ไม่ใช่ธรรมกายและเครือข่ายเถระที่ไปด้วยกันกับธรรมกาย) ไปจัดงานมันพิลึกพิกล
3.เกิดความไม่ปกติภายในองค์กรสงฆ์ ภาพจึงดูเหมือนราชาคณะและพระเถระชั้นผู้ใหญ่กลายเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือฝ่ายที่มีทุนทรัพย์อิทธิพลบารมีของวัดธรรมกายหนุนหลัง อีกฟากหนึ่งคือคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติ ซึ่งเรื่องดังกล่าวพระมหานรินทร์ นรินฺโทแห่งวัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกาวิจารณ์ในบทความเรื่อง “ธรรมกาย=มหานิกาย”ว่า “วัดธรรมกายกลายเป็นวัดหลักในการประลองกันระหว่างฝ่ายมหานิกาย กับ ธรรมยุติ” โดยได้ชี้ว่ารายชื่อพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ร่วมเป็นกรรมการจัด “โครงการบวชพระภาคฤดูร้อน 100,000 รูป” ล้วนแต่เป็นฝ่ายมหานิกาย เป็นการเอาคืนจากทางธรรมกายที่เคยถูกเล่นงานเอาผิดจากมหาเถรสมาคมซึ่งเป็นที่รู้กันว่าพระเถระฝ่ายที่ไม่เอาด้วยกับธรรมกายส่วนใหญ่เป็นธรรมยุติ
พระพรหมวชิรญาณท่านเป็นราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ในกรรมการเถรสมาคม (ฝ่ายมหานิกาย) ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ในรอบเดียวกันนี้ว่าเป็นแนวร่วมกับธรรมกายจากกรณี"โครงการบวชพระภาคฤดูร้อน 100,000 รูป" และเมื่อตรวจสอบย้อนกลับไปดูก็พบการสนับสนุนร่วมบริจาคร่วมกิจกรรมจากธรรมกายในโครงการที่ท่านรับผิดชอบดูแลอยู่จริง
จึงดูประหนึ่งว่ากิจกรรมสำคัญเกี่ยวข้องกับงานฉลองพุทธชยันตีครั้งนี้หากไม่ใช่ธรรมกายก็ต้องเป็นพระเถระ-ราชาคณะที่อยู่ในแวดวงเดียวกับธรรมกายจึงจะได้รับการสนับสนุน เดินทางไปร่วมเป็นประธานในพิธีของนายกยิ่งลักษณ์
ความไม่ปกติในองค์กรสงฆ์ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่สมเด็จพระสังฆราชทรงประชวร มิหนำซ้ำสมเด็จราชาคณะท่านอื่นๆ ก็มรณภาพบ้างอาพาธบ้างซึ่งก็ต้องยอมรับว่าองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยคือมหาเถรสมาคมไม่ได้เข้มแข็งเป็นเอกภาพเหมือนแต่กาลก่อน
แทนที่รัฐบาลจะหนุนช่วยให้สำนักงานพระพุทธศาสนาเข้ามาค้ำจุนประคับประคองการดำเนินงานของคณะสงฆ์หลัก รัฐบาลเพื่อไทยกลับหันไปเชิดชูองค์กรอย่างวัดธรรมกายและเครือข่ายสงฆ์ที่ยอมรับสอดคล้องกัน ถึงขนาดนายกรัฐมนตรีสวมชุดขาวซึ่งถือว่าเป็น “เครื่องแบบแสดงตน” อุบาสิกาแบบธรรมกาย เป็นประธานตักบาตรกลางกรุงที่มีพระพุทธรูปแบบธรรมกายที่ไม่เหมือนพระพุทธรูปปางใดๆ และที่สำคัญคืองานดังกล่าวมีการจงใจกำหนดตัวประธานฝ่ายสงฆ์ให้เป็น พระธรรมกิตติวงศ์ ซึ่งในแวดวงทราบกันดีว่าท่านเคยสนับสนุนวัดธรรมกายจากคดีความจนกระทั่งหลุดออกจากกรรมการมหาเถรสมาคม
กรณีพระธรรมกิตติวงศ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากครับ คนที่รู้ข้อมูลดูปราดเดียวก็เข้าใจ เพราะมันเกิดเสมือนว่าฝ่ายธรรมกายจงใจเย้ยพระเถรานุเถระในมหาเถรสมาคมกลุ่มที่เคยจับผิดเอาเรื่องกับพระธัมมชโยมาก่อน
รายละเอียดของเรื่องนี้อยากให้อ่านบทความของพระมหานรินทร์ ที่ได้เขียนถึงเรื่องความเป็นมาของพระธรรมกิตติโสภณ ผู้ที่วัดธรรมกายจงใจนิมนต์ให้เป็นประธานในงานตักบาตรที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ มาเป็นประธานฝ่ายฆราวาสไว้โดยละเอียด ในบทความเรื่อง “ตอบคำถามนายพนม ศรศิลป์เรื่อง การเสนอข่าวงานตักบาตรพระล้านรูป”
กรณีงานตักบาตรล้านรูปกลางกรุง, การนิมนต์พระรูปที่เคยมีประวัติเบื้องหลังเกี่ยวกับการหนุนหลังธรรมกายแล้วไม่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรสงฆ์หลัก, การให้น้ำหนักเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มและองค์กรที่ใกล้ชิดธรรมกาย, ลดน้ำหนักการสนับสนุนองค์กรหลักซึ่งปรากฏชัดเจนในระหว่างกิจกรรมเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี ตลอดถึงการแต่งกายชุดอุบาสิกาธรรมกายแสดงตนของผู้มีอำนาจทางการเมืองสูงสุดต่อสาธารณะ ฯลฯ
เหล่านี้ใช่เหตุปกติในแวดวงพุทธศาสนาของประเทศซะที่ไหน !!?
มองประวัติศาสตร์ย้อนหลังกลับไป 2 พันกว่าปี จะพบว่าอำนาจของศาสนจักรผูกพันเกี่ยวข้องอาศัยซึ่งกันและกันกับอาณาจักรมาโดยตลอดไม่ว่าศาสนาใด ในบางขณะการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในฝ่ายอาณาจักรก็มีผลต่อศาสนจักร ในทางกลับกันการแย่งชิงอำนาจในศาสนจักรก็มีผลต่ออาณาจักรด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่อุปทานเสียแล้วสิ...สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยเวลานี้ ดูเหมือนจะเข้าข่ายดังกล่าวนั้น !
ยิ่งพินิจยิ่งชัดเจนขึ้นมาเป็นลำดับ !!
อันที่จริงจังหวัดเชียงใหม่และคณะสงฆ์เชียงใหม่มีกำหนดจัดงานเฉลิมฉลองดังกล่าวในระหว่าง 29 ก.ค.-4 มิ.ย. คาบเกี่ยววันวิสาขบูชาพร้อมกันกับจังหวัดอื่นๆ ส่วนกำหนดการพิเศษที่นายกปูยิ่งลักษณ์มาและถ่ายรูปเป็นข่าวไปทั่วนั้นเป็นการจัดของมูลนิธิพระรัตนตรัย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารซึ่งมีพระพรหมวชิรญาณ (มหานิกาย) ราชาคณะและกรรมการเถรสมาคมเป็นประธาน ถ้าจะจัดแบ่งให้ชัดกิจกรรมดังกล่าวไม่ได้จัดโดยองค์กรหลักที่เป็นทางการ หากเป็น “มูลนิธิ” หนึ่ง แต่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีก็ให้ลำดับความสำคัญเป็นพิเศษไปร่วมเช่นเดียวกับที่เคยไปตักบาตรกับธรรมกาย
อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรอกเพราะการทำบุญเป็นเรื่องดีทั้งนั้น จะวัดธรรมกายจัด มูลนิธิจัด กรรมการมหาเถรรูปใดรูปหนึ่งจัด ก็ล้วนแต่เป็นการดี ปัญหาเดียวที่ไม่ค่อยดีนักคือรัฐบาลเพื่อไทยดูประหนึ่งจะให้น้ำหนักความสำคัญกับองค์กร-วัด-มูลนิธิมากไปหน่อยจนสังเกตเห็นความเอียงกระเท่เร่ได้
เอาหลายๆ เหตุการณ์มาต่อกันเป็นภาพจิ๊กซอว์จะพบว่างานกิจกรรมในแวดวงศาสนาต่อเนื่องถึงวาระฉลองพุทธชยันตี 2600 ปีตรัสรู้คราวนี้ไม่ปกติเลยครับ
เหตุของความไม่ปกติ เกิดจาก …
1.การฉวยโอกาสของวัดธรรมกาย แสดงบทบาทแผ่ขยายอิทธิพลภายในคณะสงฆ์ กลายเป็นองค์กรหลักที่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายอาณาจักรคือรัฐบาลเพื่อไทย จนดูประหนึ่งเป็นองค์กรหลักของการจัดพิธีพุทธชยันตีแทนที่องค์กรหลักทางศาสนาในทางพฤตินัย
2.รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เหมือนจะสมรู้ร่วมคิดเชิดชูภาพของธรรมกายให้เป็นองค์กรหลักเคลื่อนไหวทำกิจกรรมพุทธชยันตี โดยหลักฐานสำคัญคือการไม่สนับสนุนองค์กรหลักที่มีอยู่เดิมให้ทำกิจกรรมต่างๆ ยิ่งใหญ่เทียบเท่าเมื่อครั้งฉลองกึ่งพุทธศตวรรษ พ.ศ.2500 แม้แต่งบประมาณก็ไม่อุดหนุนอย่างเต็มที่ หลักฐานประจักษ์ชัดคือเพิ่งมาอนุมัติเงินงบกลางเพื่อจัดงานฉลองพุทธชยันตีเมื่อการประชุมครม. 1 พ.ค.ที่ผ่านมาจำนวน 150 ล้านบาท ก็หมายความว่าเพิ่งให้เงินมาจัดก่อนหน้างานแค่เดือนเดียว... จะอ้างว่าเพิ่งรู้ ไม่มีใครบอกก็ไม่ได้เพราะยิ่งลักษณ์เพิ่งไปเป็นประธานสวมชุดขาวอุบาสิกาฉลองพุทธชยันตีของวัดธรรมกายเมื่อ 2 เดือนก่อนหน้า ข่าวสารบ้านเมืองเรื่องพุทธชยันตีออกเอิกเกริกแต่รัฐบาลเพิ่งมาตื่นอนุมัติงบให้องค์กรหลัก (ที่ไม่ใช่ธรรมกายและเครือข่ายเถระที่ไปด้วยกันกับธรรมกาย) ไปจัดงานมันพิลึกพิกล
3.เกิดความไม่ปกติภายในองค์กรสงฆ์ ภาพจึงดูเหมือนราชาคณะและพระเถระชั้นผู้ใหญ่กลายเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือฝ่ายที่มีทุนทรัพย์อิทธิพลบารมีของวัดธรรมกายหนุนหลัง อีกฟากหนึ่งคือคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติ ซึ่งเรื่องดังกล่าวพระมหานรินทร์ นรินฺโทแห่งวัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกาวิจารณ์ในบทความเรื่อง “ธรรมกาย=มหานิกาย”ว่า “วัดธรรมกายกลายเป็นวัดหลักในการประลองกันระหว่างฝ่ายมหานิกาย กับ ธรรมยุติ” โดยได้ชี้ว่ารายชื่อพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ร่วมเป็นกรรมการจัด “โครงการบวชพระภาคฤดูร้อน 100,000 รูป” ล้วนแต่เป็นฝ่ายมหานิกาย เป็นการเอาคืนจากทางธรรมกายที่เคยถูกเล่นงานเอาผิดจากมหาเถรสมาคมซึ่งเป็นที่รู้กันว่าพระเถระฝ่ายที่ไม่เอาด้วยกับธรรมกายส่วนใหญ่เป็นธรรมยุติ
พระพรหมวชิรญาณท่านเป็นราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ในกรรมการเถรสมาคม (ฝ่ายมหานิกาย) ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ในรอบเดียวกันนี้ว่าเป็นแนวร่วมกับธรรมกายจากกรณี"โครงการบวชพระภาคฤดูร้อน 100,000 รูป" และเมื่อตรวจสอบย้อนกลับไปดูก็พบการสนับสนุนร่วมบริจาคร่วมกิจกรรมจากธรรมกายในโครงการที่ท่านรับผิดชอบดูแลอยู่จริง
จึงดูประหนึ่งว่ากิจกรรมสำคัญเกี่ยวข้องกับงานฉลองพุทธชยันตีครั้งนี้หากไม่ใช่ธรรมกายก็ต้องเป็นพระเถระ-ราชาคณะที่อยู่ในแวดวงเดียวกับธรรมกายจึงจะได้รับการสนับสนุน เดินทางไปร่วมเป็นประธานในพิธีของนายกยิ่งลักษณ์
ความไม่ปกติในองค์กรสงฆ์ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่สมเด็จพระสังฆราชทรงประชวร มิหนำซ้ำสมเด็จราชาคณะท่านอื่นๆ ก็มรณภาพบ้างอาพาธบ้างซึ่งก็ต้องยอมรับว่าองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยคือมหาเถรสมาคมไม่ได้เข้มแข็งเป็นเอกภาพเหมือนแต่กาลก่อน
แทนที่รัฐบาลจะหนุนช่วยให้สำนักงานพระพุทธศาสนาเข้ามาค้ำจุนประคับประคองการดำเนินงานของคณะสงฆ์หลัก รัฐบาลเพื่อไทยกลับหันไปเชิดชูองค์กรอย่างวัดธรรมกายและเครือข่ายสงฆ์ที่ยอมรับสอดคล้องกัน ถึงขนาดนายกรัฐมนตรีสวมชุดขาวซึ่งถือว่าเป็น “เครื่องแบบแสดงตน” อุบาสิกาแบบธรรมกาย เป็นประธานตักบาตรกลางกรุงที่มีพระพุทธรูปแบบธรรมกายที่ไม่เหมือนพระพุทธรูปปางใดๆ และที่สำคัญคืองานดังกล่าวมีการจงใจกำหนดตัวประธานฝ่ายสงฆ์ให้เป็น พระธรรมกิตติวงศ์ ซึ่งในแวดวงทราบกันดีว่าท่านเคยสนับสนุนวัดธรรมกายจากคดีความจนกระทั่งหลุดออกจากกรรมการมหาเถรสมาคม
กรณีพระธรรมกิตติวงศ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากครับ คนที่รู้ข้อมูลดูปราดเดียวก็เข้าใจ เพราะมันเกิดเสมือนว่าฝ่ายธรรมกายจงใจเย้ยพระเถรานุเถระในมหาเถรสมาคมกลุ่มที่เคยจับผิดเอาเรื่องกับพระธัมมชโยมาก่อน
รายละเอียดของเรื่องนี้อยากให้อ่านบทความของพระมหานรินทร์ ที่ได้เขียนถึงเรื่องความเป็นมาของพระธรรมกิตติโสภณ ผู้ที่วัดธรรมกายจงใจนิมนต์ให้เป็นประธานในงานตักบาตรที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ มาเป็นประธานฝ่ายฆราวาสไว้โดยละเอียด ในบทความเรื่อง “ตอบคำถามนายพนม ศรศิลป์เรื่อง การเสนอข่าวงานตักบาตรพระล้านรูป”
กรณีงานตักบาตรล้านรูปกลางกรุง, การนิมนต์พระรูปที่เคยมีประวัติเบื้องหลังเกี่ยวกับการหนุนหลังธรรมกายแล้วไม่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรสงฆ์หลัก, การให้น้ำหนักเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มและองค์กรที่ใกล้ชิดธรรมกาย, ลดน้ำหนักการสนับสนุนองค์กรหลักซึ่งปรากฏชัดเจนในระหว่างกิจกรรมเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี ตลอดถึงการแต่งกายชุดอุบาสิกาธรรมกายแสดงตนของผู้มีอำนาจทางการเมืองสูงสุดต่อสาธารณะ ฯลฯ
เหล่านี้ใช่เหตุปกติในแวดวงพุทธศาสนาของประเทศซะที่ไหน !!?
มองประวัติศาสตร์ย้อนหลังกลับไป 2 พันกว่าปี จะพบว่าอำนาจของศาสนจักรผูกพันเกี่ยวข้องอาศัยซึ่งกันและกันกับอาณาจักรมาโดยตลอดไม่ว่าศาสนาใด ในบางขณะการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในฝ่ายอาณาจักรก็มีผลต่อศาสนจักร ในทางกลับกันการแย่งชิงอำนาจในศาสนจักรก็มีผลต่ออาณาจักรด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่อุปทานเสียแล้วสิ...สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยเวลานี้ ดูเหมือนจะเข้าข่ายดังกล่าวนั้น !
ยิ่งพินิจยิ่งชัดเจนขึ้นมาเป็นลำดับ !!