xs
xsm
sm
md
lg

ยุคธรรมกาย ยุคสมเด็จวัดปากน้ำ

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่


ข้อมูลที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้กันมากนักก็คือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง) ผู้ทรงอาวุโสทางสมณศักดิ์สูงสุดในบรรดาสมเด็จราชาคณะนั้นเป็นอุปัชฌาย์ของพระเทพญาณมหามุณี หรือ พระธัมมชโย (ไชยบูลย์) แห่งวัดธรรมกาย

ธัมมชโย บวชเมื่อ พ.ศ.2512 ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ในครั้งนั้นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เมื่อครั้งยังเป็น พระเทพวรเมธี เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแล้วได้บวชให้

ในฐานะสัมพันธ์ฉันลูกศิษย์-อาจารย์ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชและอยู่ในข่าวว่าสำนักพระพุทธศาสนาอยู่ระหว่างเสนอชื่อขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชองค์ต่อไปให้ความสนิทสนมติดต่อสัมพันธ์กับวัดธรรมกายอย่างแนบแน่น การธุดงค์ธรรมชัยที่พิลึกพิลั่นผ่านป่าคอนกรีตที่ผ่านมาก็รับเป็นองค์ประธานให้ แล้วก็ประกาศว่า “วัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายเป็นวัดพี่วัดน้องหรือเสมือนหนึ่งว่าเป็นวัดเดียวกันมีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”

ธัมมชโยแห่งธรรมกายเคยถูกดำเนินคดีและถูกให้ปาราชิกไปแล้ว ขนาดที่สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชในพระโกศที่เพิ่งดับขันธ์ทรงมีพระลิขิตเมื่อ 26 เมษายน 2542 กล่าวโทษระดับที่หนักหนามากด้วยพระองค์เอง ส่วนหนึ่งว่า...

“บิดเบือนพระพุทธธรรมคำทรงสอน ทำให้สงฆ์เชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงข้ามกัน เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยธรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคต”

อย่าลืมนะครับ สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรในพระโกศได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเถระที่ทรงคุณด้านวิปัสสนาธุระจึงได้พระราชทินนามเดียวกับสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนผู้ทรงวิทยาคุณด้านวิปัสสนาเลื่องชื่อเมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์

น่าสนใจมาก พระลิขิตที่อดีตสมเด็จญาณฯ กล่าวโทษพระธัมมชโยในครั้งนั้นว่า “ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยธรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคต” เป็นสิ่งสาธุชนพึงย้อนสำเหนียกและใคร่ครวญโดยเฉพาะส่วนที่ว่า “มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคต” นั้นจะแตกแยกเป็นอนันตริยกรรมไปถึงระดับใดหรือขนาดไหน

อนาคตที่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด?

ต้องยอมรับกันว่าสังคมชาวพุทธในปัจจุบันได้วิพากษ์วิจารณ์กิจกรรมคำสอนและการเคลื่อนไหวของวัดธรรมกายกับเครือข่ายมานานพอสมควรเพราะวัดแห่งนี้มีลักษณะเฉพาะตนแตกต่างจากธรรมเนียมพุทธอื่นๆ พวกที่นิยมชื่นชอบศรัทธาก็มีมิฉะนั้นวัดนี้คงไม่ร่ำรวยมหาศาลก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างและขยายเครือข่ายได้ถึงเพียงนี้ แต่พวกที่ไม่นิยมมองว่าเป็นพวกบิดเบือนศาสนา เอาเงินเป็นตัวตั้งและมองว่าเป็นพวกทำลายศาสนาก็เยอะ

อย่าว่าแต่ชาวพุทธเลย เพราะในองค์กรพุทธศาสนาเถรวาทภายใต้มหาเถรสมาคมด้วยกันก็ยังยอมรับไม่ได้กับวิธีคิดความเชื่อและวิธีการแบบธรรมกายด้วยซ้ำไป แต่ติดขัดที่เครือข่ายสงฆ์สายธรรมกายได้รับการสนับสนุนจากทางอาณาจักรและเงินทุนมากมายมหาศาล สังคมยุคใหม่ตัดสินกันด้วยอำนาจทุน และเมื่อมีอำนาจรัฐร่วมด้วยยิ่งเป็นว่าวติดลมบน คิดจะทำอะไรก็ทำไม่ต้องแยแสสนใจอะไรอีกแล้วเพราะมีอำนาจฝ่ายอาณาจักรหนุนหลังอยู่

ชัดเจนอยู่แล้ว...เมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยตลอดถึงนักการเมืองในสายนี้แสดงตนอย่างชัดเจนว่าอยู่ข้างเดียวกับวัดธรรมกาย ทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแต่งกายชุดขาวไปร่วมกิจกรรมกับธรรมกายโดยเปิดเผย จึงเกิดโครงการแปลกๆ ทำนองบังคับครูนักเรียนไปอบรมที่วัดแห่งนี้ ซึ่งบางท่านว่านี่คือการบังคับล้างสมองกันทีเดียว

อำนาจฝ่ายอาณาจักรยุคใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ได้อยู่ที่วังเหมือนก่อน 2475 ยิ่งหลังๆ มานี้อำนาจไปอยู่ที่นักการเมืองและที่นายทุนซึ่งมีพลังอำนาจเหนือกว่าอำมาตย์ราชการด้วยซ้ำไป

ในเมื่อฝ่ายอาณาจักรคืออำนาจการเมืองสนับสนุนธรรมกายแสดงตนชัดเจนเปิดเผย ก็เท่ากับฝ่ายการเมืองได้ร่วมมือกับธรรมกายตอกลิ่มย้ำความขัดแย้งในวงการสงฆ์ให้ชัดแจ้งขึ้นมา ดังจะเห็นการแสดงออกกรณีธุดงค์กรรมชัยครั้งหนึ่งที่เชิญอดีตพระเถระฝ่ายมหานิกายคือ พระธรรมกิตติโสภณ ที่ขัดแย้งไม่เห็นด้วยกับแนวทางสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรในพระโกศขึ้นมาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในพิธี

ว่ากันว่าธุดงค์ธรรมชัยครั้งนั้นสะเทือนไปถึงวัดบวรนิเวศฯ !

ที่กล้าทำเพราะเห็นว่าทรงประชวรอยู่หรือเปล่า? .... กระทั่งสมเด็จพระญาณสังวรพระสังฆราชในพระโกศได้ล่วงลับดับขันธ์ ศาสนาจักรจำเป็นต้องมีผู้ปกครองใหม่ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เรื่องนี้อาจจะมีปัญหาอื่นตามมาบนรอยร้าวที่กำลังเกิดอยู่ก่อน

อันว่าองค์กรปกครองสงฆ์ที่ตั้งขึ้นในยุคใหม่นับจาก รศ.112 ต่อมาถึงพรบ.คณะสงฆ์ที่ใช้กันถึงปัจจุบันก็เพื่อล้อกับการปกครองแบบอาณาจักร โดยกำหนดให้มีคณะผู้ปกครองฝ่ายสงฆ์คือฝ่ายศาสนาจักร แต่พระสงฆ์ยุคก่อนไม่ได้อาลัยติดใจในยศฐาบรรดาศักดิ์มียศตำแหน่งก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์ จึงเกิดมีสำนวน “ยศช้างขุนนางพระ” ขึ้นมาเพื่อชี้ว่าพระนั้นไม่ได้แยแสกับยศสมเด็จอะไรนั่นหรอกก็เหมือนช้างที่ไม่รู้สึกรู้สากับยศพระยาที่ได้มาสนใจแต่กล้วยอ้อยป้อนให้

แต่วงการสงฆ์ในปัจจุบันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะสงฆ์วิ่งหายศตำแหน่งกันถ้วนหน้าจนไม่แทบเหลือพระดีที่แท้จริงเหลืออยู่แล้ว การปกครองแบบรวมศูนย์กำหนดยศตำแหน่งปกครองบังคับบัญชาสงฆ์ วัดในยุคนี้คือแหล่งทำมาหากิน เป็นเจ้าอาวาสวัดหนึ่งสามารถทำเงินรายได้มากมายและยิ่งเติบโตเป็นพระครูขึ้นเป็นชั้นราช ชั้นเทพได้ปกครองเขตพื้นที่ก็ยิ่งมีอำนาจวาสนาอะไรก็ไหลมาเทมา

สำนวนยศช้างขุนนางพระที่หมายถึงการไม่ติดใจในหัวโขนตำแหน่งไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว !

ปัจจุบันพระที่เล่นการเมืองกันในแวดวงพระก็มี วัดที่มีทุนหนาหยิบยื่นเงินทุนในนามมูลนิธิต่างๆ ไปสนับสนุนกิจกรรมของพระผู้ใหญ่ที่มีอำนาจปกครอง ดึงเอามาเป็นพวก วัดใหญ่ทุนหนาเล่นการเมืองกับฝ่ายอาณาจักรหนุนพรรคการเมืองขึ้นครองอำนาจเพื่อจะอำนวยการเติบโตของวัดสายตน

ใครมีเงินมีทองหากเล่นการเมืองบนความอ่อนแอของศาสนาใช้ทุนสร้างพวกก็คุมอำนาจในองค์กรสงฆ์ได้ระดับสำคัญแต่ก็ติดขัดปัญหาการปกครองโดยกฎหมาย หากมีอำนาจปกครองโดยกฎหมายศาสนาก็จะอยู่ในความควบคุมของตัว คิดจะสอนกันแบบไหนก็ทำได้ง่ายแค่กระดิกนิ้ว

ฝ่ายอาณาจักรน่ะไปแล้ว …

รอบนี้มาถึงฝ่ายศาสนจักรบ้าง !

ถ้าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง) ผู้มีอาวุโสสูงสุดในบรรดาพระเถระผู้ทรงสมณศักดิ์ไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ของธัมมชโยแห่งธรรมกาย และไม่เคยออกปากว่าธรรมกายกับวัดตนเป็นพี่น้องกันก็คงดีดีสินะ เพราะว่าสาธุชนพุทธบริษัทจะได้ไม่ระแวง ไม่เกิดกังวล

แต่ความจริงที่ไม่สามารถบิดผันได้ ก็คือ สมเด็จราชาคณะพระเถระผู้เป็นประธานปฏิบัติหน้าที่พระสังฆราชเวลานี้น่ะท่านยืนอยู่ข้างฝ่ายเดียวกับวัดธรรมกาย ซึ่งไม่สำคัญเท่าวัดแห่งนี้กำลังเป็นประเด็นขัดแย้งในวงการพุทธศาสนา และนี่ก็ยิ่งทำให้นึกถึงพระลิขิตของพระสังฆราชในพระโกศขึ้นมาทันที

อาณาจักรก็เอียงไปแล้ว..เกล้ากระผมเกรงว่าศาสนจักรจะเอียงไปด้วยน่ะสิขอรับ !!

นมัสการมาด้วยความห่วงใยในพระพุทธศาสนาจริงๆ .
กำลังโหลดความคิดเห็น