ในที่สุดพรรคเพื่อไทยก็มีมติส่ง เกษม นิมมลรัตน์ ลงเลือกตั้งซ่อมเชียงใหม่ เขต 3 แทนชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ เรียบโร้ยโรงเรียน(เจ๊)แดง แม้ก่อนหน้าจะมีแกนนำแดงเชียงใหม่ออกมาขอให้ทางพรรคเปิดให้คนเสื้อแดงมีส่วนร่วมในการคัดเลือกผู้สมัครตลอดถึงให้มีการคัดเลือกภายในหรือไพรมารี่เสียก่อน
เกษม นิมมลรัตน์ เป็นใคร ? ตอบว่าตระกูลนี้เป็นตระกูลดั้งเดิมของเมืองเชียงใหม่มีผู้ประสบความสำเร็จมีหน้ามีตาในสังคมเมืองจำนวนมากซึ่งไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงในรายละเอียด เอาเป็นว่า ตำแหน่งที่ปรึกษานายกอบจ.เชียงใหม่ (บุญเลิศ บูรณุปกรณ์) ของเกษมได้มาจากพื้นที่โควต้าของเจ๊แดง เช่นเดียวกับสมาชิกสภาอบจ.อีกหลายคนที่เจ๊แดงส่งเข้าประกวด การเมืองท้องถิ่นยุคใหม่มีเค้าโครงของการเมืองส่วนกลางมากขึ้น กล่าวคือมีการแบ่งสันปันส่วนระหว่างดุลพลังอำนาจฝ่ายๆ ต่างๆ ไม่ใช่ว่าบูรณุปกรณ์ได้เป็นนายกอบจ.และเทศบาลก็ได้หมด เพราะแค่จะส่งสมาชิกส.ท.หรือ ส.อบจ.ยังต้องเกลี่ยกันระหว่างกลุ่มมุ้งและขาใหญ่พื้นที่ต่างๆ เมื่อได้เป็นนายกแล้วยังต้องเกลี่ยตำแหน่งสำคัญๆ ให้กับเหล่าขาใหญ่
สังคมคงคุ้นเคยนักการเมืองที่ใกล้ชิดกับเจ๊แดงไม่กี่คนเช่น บุญทรง เตริยาภิรมย์ ที่ได้ดีเป็นรมว.พาณิชย์ไปแล้ว บุญทรงนั้นตามเจ๊แดงตั้งแต่เป็นส.ส.สมัยแรกพร้อมกับเจ๊ ติดสอดห้อยตามจนกระทั่งสมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นนายกฯ เจ๊แดงก็ส่งไปเป็นเลขาเฝ้าติดตามใกล้ชิด เหมือนกับบ้านจันทร์ส่องหล้าเคยส่งชายผมขาวไปติดตามอดีตนายกฯนั่นแล แต่สังคมยังไม่ค่อยจะรู้กันว่าเกษม นิมมลรัตน์ ก็รับใช้ใกล้ชิดกับก๊วนเจ๊แดงมาโดยตลอดเช่นกัน
ถ้าเกษม เป็นส.ส.ก็ดีเหมือนกันเพราะจะต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน ...คนใกล้ชิดนักการเมืองใหญ่นี่แปลกดีนะ แต่ละคนรวยๆ กันทั้งนั้นเช่นคนใช้ คนสวน เลขาคนติดตามนายหญิงจันทร์ส่องหล้าเคยรวยหุ้นติดอันดับเศรษฐีเมืองไทย เกษม นิมมลรัตน์เองก็ใช่ย่อยเพราะมีชื่อไปจดทะเบียนเป็นเจ้ารถหรู รถเอสยูวี ยี่ห้อเลกซัส รุ่น LX 470 สีขาว ทะเบียน กบ 8888 เชียงใหม่ ซึ่งรถคันนี้เป็นหนึ่งในรถหลายคันที่ปรากฏในคลิปฉาว สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขับรถหรูไม่ซ้ำคันพาไปโฉบรับสาวซื้อตู้เย็น แวะม่านรูดเมื่อ 4 ปีก่อน หากแต่รถคันนี้ใช้รับส่งคนหน้าตาคล้ายบ้านใหญ่
เคยเห็นแต่นายให้รถลูกน้องเอาไปขี่แต่สำหรับคนรวยเมืองไทยนี่แปลกเอารถหรูของลูกน้องมาขี่ อย่าบอกเชียวนะว่านี่เป็นรถหรูอีกคันที่ถูก “ซุก” ไว้ในชื่อลูกน้องจึงอยากเห็นบัญชีทรัพย์สินของเกษมขึ้นมาตะหงิดๆ ว่ารวยจริงหรือเป็นแค่แหล่งรับฝากสมบัติ
ก็ขอให้รวยจริงก็แล้วกันการเป็นเจ้าของเล็กซัสคันหรูนี่เข้าขั้นมหาเศรษฐีเชียงใหม่ ชาวไพร่คนเสื้อแดงทั้งหลายก็จะได้มีมหาเศรษฐีเป็นตัวแทนเพิ่มขึ้นอีกคนในสภา (หุหุหุ) !!!!
ที่สุดเสียงเรียกร้องขอให้พรรคทำไพรมารี่ของ ด.ต.พิชิต ตามูล แกนนำกลุ่มแดงเชียงใหม่จึงเงียบหายไปโดยปริยาย ตอนแรกก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมจู่ๆ กระแสไพรมารี่หายไปจากจอข่าว เพิ่งมาร้องอ๋อเมื่ออ่านมติชนคอลัมน์ปิดไม่ลับสเปเชี่ยลวันก่อนที่รายงานว่าแกนนำประมุขหญิงคนเสื้อแดงได้ประชุมแกนนำและต่อสายคุยกับแกนนำแดงเชียงใหม่ผู้แถลงต้องการให้พรรคเพื่อไทยจัดให้มีการหยั่งเสียงเลือกผู้สมัครส.ส.เป็นการภายใน นัยว่าเพื่อปิดจุดอ่อนไม่ให้คู่แข่งโจมตีระหว่างเลือกตั้ง เอาเป็นว่าข่าวนี้น่าเชื่อเพราะเป็นที่รู้ว่ามติชนนั้นสนิทสนมกับคนเสื้อแดงและพรรคเสื้อแดงดี เขียนมาแบบนี้ไม่มีใครทักท้วงก็น่าเชื่อว่าจริงที่ ป้าธิดา ถาวรเศรษฐ เรียกแกนนำนปช.หาเรือเรื่องนี้และเลือกที่จะให้ แกนนำแดงเชียงใหม่ยุติการเรียกร้อง
อ๋อ ! ป้าธิดาสั่งปิดปากนี่เอง ! (ถ้าไม่จริงไปโทษโน่นมติชน อย่ามาโทษที่นี่นะ ที่นี่แค่เอาข่าวเขามาเขียนอีกต่อ หุหุ)
นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ธิดาและแกนนำนปช. แสดงให้เห็นว่าพวกเขามองประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์ของพรรคเพื่อไทยสำคัญเหนือกว่าหลักการประชาธิปไตยและมวลชนคนเสื้อแดง ไปอวยพรบ้านสี่เสาก็ออกมาแก้แทน ครั้นมีเสียงเรียกร้องที่ยืนอยู่บนหลักการมีส่วนร่วม และบนหลักประชาธิปไตยก้าวหน้าก็ออกมาปรามเขาอีก
ขอเตือนความจำคนเสื้อแดงกันอีกสักรอบ ถ้าจำกันได้คนที่ขายความคิดเรื่องไพรมารี่คนแรกคือทักษิณ ชินวัตรนะครับ !!
ตอนที่ไทยรักไทยเติบโตถึงขีดสุดประเภทที่ต้องทำบัญชีรายชื่อไว้ 4 บัญชีคือ บัญชีส.ส. บัญชีปาร์ตี้บิสต์ บัญชีว่าที่รัฐมนตรีและผู้สนับสนุนรายสำคัญ และบัญชีสตาฟทีมงานที่จะรับตำแหน่งทางการเมืองรองๆลงมาเช่น ที่ปรึกษารมต. หรือประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับเคยประกาศว่าเพื่อให้ไทยรักไทยเติบโตเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็งในอนาคตจะมีการคัดเลือกผู้สมัครเบื้องต้นภายในพรรค หรือ ระบบไพรมารี่
ต่อให้ความคิดนี้มีพื้นฐานมาจากความต้องการแก้ปัญหาคนล้นโควต้าในพรรคมากกว่าความคิดเรื่องการมีส่วนร่วมของมวลชน แต่ต้องยอมรับว่า “ไพรมารี่” เป็นเครื่องมือสำคัญของพรรคการเมืองในระบบประชาธิปไตยที่ยึดคติว่ามวลชนเป็นเจ้าของพรรค ไม่ใช่นายทุนนายใหญ่และนักการเมืองไม่กี่คนแบ่งหารผลประโยชน์กัน ไพรมารี่คือเครื่องมือประกอบการตัดสินใจภายในองค์กรที่มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมากที่แฟร์ที่สุดเท่าที่จะคิดค้นขึ้นมาได้
ซึ่งก็น่าเสียดายอยู่ เพราะคนที่แสดงออกปาวๆ ว่าเรียกร้องประชาธิปไตยทำตัวเป็นฝ่ายก้าวหน้าต่อต้านเผด็จการที่รวมกันเป็นแกนนำนปช.เองก็เกลียดตัวกินไข่เช่นเดียวกัน ปากหนึ่งทำเป็นรังเกียจเผด็จการแต่พอมีใครเสนอวิธีการแก้ปัญหาเผด็จการกลับไปห้ามเขา เท่ากับหลิ่วตาให้ระบบโควต้าตระกูล นายทุนเจ้าของพรรคชี้นิ้วเลือกตัวผู้สมัครแบบสืบทอดน้ำลายกระสือ ให้ส.ส.เป็นสมบัติในอวยของกงสีการเมืองกันต่อไป
มองอีกด้านมันก็ดีเหมือนกัน.. เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ สังคมไทยจะยิ่งตาสว่างเข้าใจที่มาที่ไปของวิกฤตการณ์การเมืองในระยะที่ผ่านมาว่ามันไม่ใช่เป็นความขัดแย้งของอำมาตยาธิปไตยทหารเผด็จการกับฝ่ายผู้รักประชาธิปไตย เพราะอีกฝ่ายหนึ่งนั้นก็คือพวกเผด็จการรัฐสภาภายใต้หน้ากากประชาธิปไตยมาตั้งแต่ก่อน 2549 คนเหล่านี้ได้อำนาจรัฐแล้วฉีกทำลายกฏกติกาฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งไปก่อนนานแล้ว ถ้าจะเรียกให้ถูกคือ คู่ขัดแย้งหลักในวิกฤตการเมืองไทยช่วงที่ผ่านมาคือ คือเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจรัฐ(ตามนิยามที่โลกตะวันตกเรียกขาน) ฝ่ายหนึ่ง กับ เผด็จการนายทุนนักการเมืองที่ฉีกทำลายระบบ-แบบแผนและคุณค่าของประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ของทุนและพวกพ้องบริวารอีกฝ่ายหนึ่ง
อะไรที่ไม่ใช่ของจริงไม่นานมันก็เผยโฉมหน้า... ไอ้วาทกรรมนักเรียกร้องประชาธิปไตยอะไรนั่นมันก็แค่คำสวยๆ บังหน้าเท่านั้น
ก่อนหน้านี้แกนนำเสื้อแดงในท้องถิ่นที่อยากไต่เต้าพยายามจะตั้งตนเป็นแกนนำกลุ่มก้อน ส.ส.นักการเมืองเองก็อยู่นิ่งไม่ได้เพราะมิฉะนั้นแกนนำเสื้อแดงจะตีกินพื้นที่ ทำให้มีการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงอย่างขนานใหญ่ซึ่งไปๆ มาๆ ก็มีหมู่บ้านแดงแท้ แดงเทียม แดงไต่เต้า แดงเอาหน้ามั่วไปหมด
วิธีการดูง่ายๆ คือหากเป็นหมู่บ้านนักการเมืองและแกนนำไต่เต้าไปจัดตั้ง จะมีป้ายเป็นรูปทักษิณเดี่ยว (พบมากในอีสาน) หรือ ทักษิณคู่กับยิ่งลักษณ์ (พบในภาคเหนือตอนบน) เขียนว่า “หมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย” เหล่าคนเสื้อแดงก็ดี๊ด๊าดีใจว่าพวกตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตยอะไรที่แกนนำจัดให้ล้วนแต่เป็นประชาธิปไตยก้าวหน้าของมวลชนส่วนพวกชนชั้นกลางในเมืองมันพวกลิ่วล้อเผด็จการสู้ชาวบ้านรักประชาธิปไตยไม่ได้
น่าตลกดีแท้ ! ครั้นพอมีการเลือกตั้งซ่อม ไอ้พวกที่ไปจัดตั้งหมู่บ้านปลุกวาทกรรม “รักประชาธิปไตย” กลับหายเงียบไม่หือไม่อือ ประชาธิปไตยของหมู่บ้านเสื้อแดงจึงหมายถึงเจ้านายใหญ่สั่งอะไร-แบบไหน ขอให้ชาวบ้านเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายจงทำแบบนั้นอย่าหืออย่าอือ
อย่าเรียกร้องมีส่วนร่วม และอย่าคิดไกลเกินเอื้อม (ฮา-ฮิ้วววววววววว !!!!)
เกษม นิมมลรัตน์ เป็นใคร ? ตอบว่าตระกูลนี้เป็นตระกูลดั้งเดิมของเมืองเชียงใหม่มีผู้ประสบความสำเร็จมีหน้ามีตาในสังคมเมืองจำนวนมากซึ่งไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงในรายละเอียด เอาเป็นว่า ตำแหน่งที่ปรึกษานายกอบจ.เชียงใหม่ (บุญเลิศ บูรณุปกรณ์) ของเกษมได้มาจากพื้นที่โควต้าของเจ๊แดง เช่นเดียวกับสมาชิกสภาอบจ.อีกหลายคนที่เจ๊แดงส่งเข้าประกวด การเมืองท้องถิ่นยุคใหม่มีเค้าโครงของการเมืองส่วนกลางมากขึ้น กล่าวคือมีการแบ่งสันปันส่วนระหว่างดุลพลังอำนาจฝ่ายๆ ต่างๆ ไม่ใช่ว่าบูรณุปกรณ์ได้เป็นนายกอบจ.และเทศบาลก็ได้หมด เพราะแค่จะส่งสมาชิกส.ท.หรือ ส.อบจ.ยังต้องเกลี่ยกันระหว่างกลุ่มมุ้งและขาใหญ่พื้นที่ต่างๆ เมื่อได้เป็นนายกแล้วยังต้องเกลี่ยตำแหน่งสำคัญๆ ให้กับเหล่าขาใหญ่
สังคมคงคุ้นเคยนักการเมืองที่ใกล้ชิดกับเจ๊แดงไม่กี่คนเช่น บุญทรง เตริยาภิรมย์ ที่ได้ดีเป็นรมว.พาณิชย์ไปแล้ว บุญทรงนั้นตามเจ๊แดงตั้งแต่เป็นส.ส.สมัยแรกพร้อมกับเจ๊ ติดสอดห้อยตามจนกระทั่งสมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นนายกฯ เจ๊แดงก็ส่งไปเป็นเลขาเฝ้าติดตามใกล้ชิด เหมือนกับบ้านจันทร์ส่องหล้าเคยส่งชายผมขาวไปติดตามอดีตนายกฯนั่นแล แต่สังคมยังไม่ค่อยจะรู้กันว่าเกษม นิมมลรัตน์ ก็รับใช้ใกล้ชิดกับก๊วนเจ๊แดงมาโดยตลอดเช่นกัน
ถ้าเกษม เป็นส.ส.ก็ดีเหมือนกันเพราะจะต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน ...คนใกล้ชิดนักการเมืองใหญ่นี่แปลกดีนะ แต่ละคนรวยๆ กันทั้งนั้นเช่นคนใช้ คนสวน เลขาคนติดตามนายหญิงจันทร์ส่องหล้าเคยรวยหุ้นติดอันดับเศรษฐีเมืองไทย เกษม นิมมลรัตน์เองก็ใช่ย่อยเพราะมีชื่อไปจดทะเบียนเป็นเจ้ารถหรู รถเอสยูวี ยี่ห้อเลกซัส รุ่น LX 470 สีขาว ทะเบียน กบ 8888 เชียงใหม่ ซึ่งรถคันนี้เป็นหนึ่งในรถหลายคันที่ปรากฏในคลิปฉาว สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขับรถหรูไม่ซ้ำคันพาไปโฉบรับสาวซื้อตู้เย็น แวะม่านรูดเมื่อ 4 ปีก่อน หากแต่รถคันนี้ใช้รับส่งคนหน้าตาคล้ายบ้านใหญ่
เคยเห็นแต่นายให้รถลูกน้องเอาไปขี่แต่สำหรับคนรวยเมืองไทยนี่แปลกเอารถหรูของลูกน้องมาขี่ อย่าบอกเชียวนะว่านี่เป็นรถหรูอีกคันที่ถูก “ซุก” ไว้ในชื่อลูกน้องจึงอยากเห็นบัญชีทรัพย์สินของเกษมขึ้นมาตะหงิดๆ ว่ารวยจริงหรือเป็นแค่แหล่งรับฝากสมบัติ
ก็ขอให้รวยจริงก็แล้วกันการเป็นเจ้าของเล็กซัสคันหรูนี่เข้าขั้นมหาเศรษฐีเชียงใหม่ ชาวไพร่คนเสื้อแดงทั้งหลายก็จะได้มีมหาเศรษฐีเป็นตัวแทนเพิ่มขึ้นอีกคนในสภา (หุหุหุ) !!!!
ที่สุดเสียงเรียกร้องขอให้พรรคทำไพรมารี่ของ ด.ต.พิชิต ตามูล แกนนำกลุ่มแดงเชียงใหม่จึงเงียบหายไปโดยปริยาย ตอนแรกก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมจู่ๆ กระแสไพรมารี่หายไปจากจอข่าว เพิ่งมาร้องอ๋อเมื่ออ่านมติชนคอลัมน์ปิดไม่ลับสเปเชี่ยลวันก่อนที่รายงานว่าแกนนำประมุขหญิงคนเสื้อแดงได้ประชุมแกนนำและต่อสายคุยกับแกนนำแดงเชียงใหม่ผู้แถลงต้องการให้พรรคเพื่อไทยจัดให้มีการหยั่งเสียงเลือกผู้สมัครส.ส.เป็นการภายใน นัยว่าเพื่อปิดจุดอ่อนไม่ให้คู่แข่งโจมตีระหว่างเลือกตั้ง เอาเป็นว่าข่าวนี้น่าเชื่อเพราะเป็นที่รู้ว่ามติชนนั้นสนิทสนมกับคนเสื้อแดงและพรรคเสื้อแดงดี เขียนมาแบบนี้ไม่มีใครทักท้วงก็น่าเชื่อว่าจริงที่ ป้าธิดา ถาวรเศรษฐ เรียกแกนนำนปช.หาเรือเรื่องนี้และเลือกที่จะให้ แกนนำแดงเชียงใหม่ยุติการเรียกร้อง
อ๋อ ! ป้าธิดาสั่งปิดปากนี่เอง ! (ถ้าไม่จริงไปโทษโน่นมติชน อย่ามาโทษที่นี่นะ ที่นี่แค่เอาข่าวเขามาเขียนอีกต่อ หุหุ)
นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ธิดาและแกนนำนปช. แสดงให้เห็นว่าพวกเขามองประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์ของพรรคเพื่อไทยสำคัญเหนือกว่าหลักการประชาธิปไตยและมวลชนคนเสื้อแดง ไปอวยพรบ้านสี่เสาก็ออกมาแก้แทน ครั้นมีเสียงเรียกร้องที่ยืนอยู่บนหลักการมีส่วนร่วม และบนหลักประชาธิปไตยก้าวหน้าก็ออกมาปรามเขาอีก
ขอเตือนความจำคนเสื้อแดงกันอีกสักรอบ ถ้าจำกันได้คนที่ขายความคิดเรื่องไพรมารี่คนแรกคือทักษิณ ชินวัตรนะครับ !!
ตอนที่ไทยรักไทยเติบโตถึงขีดสุดประเภทที่ต้องทำบัญชีรายชื่อไว้ 4 บัญชีคือ บัญชีส.ส. บัญชีปาร์ตี้บิสต์ บัญชีว่าที่รัฐมนตรีและผู้สนับสนุนรายสำคัญ และบัญชีสตาฟทีมงานที่จะรับตำแหน่งทางการเมืองรองๆลงมาเช่น ที่ปรึกษารมต. หรือประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับเคยประกาศว่าเพื่อให้ไทยรักไทยเติบโตเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็งในอนาคตจะมีการคัดเลือกผู้สมัครเบื้องต้นภายในพรรค หรือ ระบบไพรมารี่
ต่อให้ความคิดนี้มีพื้นฐานมาจากความต้องการแก้ปัญหาคนล้นโควต้าในพรรคมากกว่าความคิดเรื่องการมีส่วนร่วมของมวลชน แต่ต้องยอมรับว่า “ไพรมารี่” เป็นเครื่องมือสำคัญของพรรคการเมืองในระบบประชาธิปไตยที่ยึดคติว่ามวลชนเป็นเจ้าของพรรค ไม่ใช่นายทุนนายใหญ่และนักการเมืองไม่กี่คนแบ่งหารผลประโยชน์กัน ไพรมารี่คือเครื่องมือประกอบการตัดสินใจภายในองค์กรที่มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมากที่แฟร์ที่สุดเท่าที่จะคิดค้นขึ้นมาได้
ซึ่งก็น่าเสียดายอยู่ เพราะคนที่แสดงออกปาวๆ ว่าเรียกร้องประชาธิปไตยทำตัวเป็นฝ่ายก้าวหน้าต่อต้านเผด็จการที่รวมกันเป็นแกนนำนปช.เองก็เกลียดตัวกินไข่เช่นเดียวกัน ปากหนึ่งทำเป็นรังเกียจเผด็จการแต่พอมีใครเสนอวิธีการแก้ปัญหาเผด็จการกลับไปห้ามเขา เท่ากับหลิ่วตาให้ระบบโควต้าตระกูล นายทุนเจ้าของพรรคชี้นิ้วเลือกตัวผู้สมัครแบบสืบทอดน้ำลายกระสือ ให้ส.ส.เป็นสมบัติในอวยของกงสีการเมืองกันต่อไป
มองอีกด้านมันก็ดีเหมือนกัน.. เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ สังคมไทยจะยิ่งตาสว่างเข้าใจที่มาที่ไปของวิกฤตการณ์การเมืองในระยะที่ผ่านมาว่ามันไม่ใช่เป็นความขัดแย้งของอำมาตยาธิปไตยทหารเผด็จการกับฝ่ายผู้รักประชาธิปไตย เพราะอีกฝ่ายหนึ่งนั้นก็คือพวกเผด็จการรัฐสภาภายใต้หน้ากากประชาธิปไตยมาตั้งแต่ก่อน 2549 คนเหล่านี้ได้อำนาจรัฐแล้วฉีกทำลายกฏกติกาฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งไปก่อนนานแล้ว ถ้าจะเรียกให้ถูกคือ คู่ขัดแย้งหลักในวิกฤตการเมืองไทยช่วงที่ผ่านมาคือ คือเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจรัฐ(ตามนิยามที่โลกตะวันตกเรียกขาน) ฝ่ายหนึ่ง กับ เผด็จการนายทุนนักการเมืองที่ฉีกทำลายระบบ-แบบแผนและคุณค่าของประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ของทุนและพวกพ้องบริวารอีกฝ่ายหนึ่ง
อะไรที่ไม่ใช่ของจริงไม่นานมันก็เผยโฉมหน้า... ไอ้วาทกรรมนักเรียกร้องประชาธิปไตยอะไรนั่นมันก็แค่คำสวยๆ บังหน้าเท่านั้น
ก่อนหน้านี้แกนนำเสื้อแดงในท้องถิ่นที่อยากไต่เต้าพยายามจะตั้งตนเป็นแกนนำกลุ่มก้อน ส.ส.นักการเมืองเองก็อยู่นิ่งไม่ได้เพราะมิฉะนั้นแกนนำเสื้อแดงจะตีกินพื้นที่ ทำให้มีการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงอย่างขนานใหญ่ซึ่งไปๆ มาๆ ก็มีหมู่บ้านแดงแท้ แดงเทียม แดงไต่เต้า แดงเอาหน้ามั่วไปหมด
วิธีการดูง่ายๆ คือหากเป็นหมู่บ้านนักการเมืองและแกนนำไต่เต้าไปจัดตั้ง จะมีป้ายเป็นรูปทักษิณเดี่ยว (พบมากในอีสาน) หรือ ทักษิณคู่กับยิ่งลักษณ์ (พบในภาคเหนือตอนบน) เขียนว่า “หมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย” เหล่าคนเสื้อแดงก็ดี๊ด๊าดีใจว่าพวกตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตยอะไรที่แกนนำจัดให้ล้วนแต่เป็นประชาธิปไตยก้าวหน้าของมวลชนส่วนพวกชนชั้นกลางในเมืองมันพวกลิ่วล้อเผด็จการสู้ชาวบ้านรักประชาธิปไตยไม่ได้
น่าตลกดีแท้ ! ครั้นพอมีการเลือกตั้งซ่อม ไอ้พวกที่ไปจัดตั้งหมู่บ้านปลุกวาทกรรม “รักประชาธิปไตย” กลับหายเงียบไม่หือไม่อือ ประชาธิปไตยของหมู่บ้านเสื้อแดงจึงหมายถึงเจ้านายใหญ่สั่งอะไร-แบบไหน ขอให้ชาวบ้านเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายจงทำแบบนั้นอย่าหืออย่าอือ
อย่าเรียกร้องมีส่วนร่วม และอย่าคิดไกลเกินเอื้อม (ฮา-ฮิ้วววววววววว !!!!)