นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย ประธานกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมกล่าวว่า จะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการให้แต่ละพรรค และ ส.ว .ส่งตัวแทนมาหารือร่วมกัน ถึงเจตจำนงที่แต่ละพรรคต้องการเพื่อวางกรอบการพิจารณารัฐธรรมนูญ ทั้งเรื่องที่มาของสสร. คุณสมบัติ สสร.และข้อห้ามต่างๆ ที่ไม่ควรแตะต้อง เมื่อทุกฝ่ายตกลงกันได้แล้วก็ให้ลงสัตยาบันร่วมกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางและข้อสังเกตให้ สสร. ยกร่างรัฐธรรมนูญไม่ให้ออกจากเจตจำนงในสัตยาบัน
นายสามารถ แก้วมีชัย ยังกล่าวด้วยว่าหลังจาก สสร. ยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ต้องส่งให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาก่อนนำไปทำประชามติ จากเดิมที่ร่างรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกำหนดให้ส่งให้ประธานรัฐสภาพิจารณาก่อนทำประชามติเท่านั้น เพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาช่วยกันพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผิดไปจากเจตนารมณ์ที่ลงนามในสัตยาบันหรือไม่ หากมีเรื่องใดที่เขียนเกินเลยไปจากสัตยาบันก็ให้นำไปแก้ไขทบทวนก่อนทำประชามติ จะช่วยให้การแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปตามแนวทางที่ทุกฝ่ายต้องการ และไม่ใช่การชี้นำการยกร่างรัฐธรรมนูญ มั่นใจว่าทุกพรรคจะทำความตกลงร่วมกันได้ในการลงนามสัตยาบัน แม้แต่ละพรรคจะมีเจตจำนงต่างกันก็ต้องมานั่งหารือทำความเข้าใจกันก่อน
ส่วนนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมกล่าวถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์เตรียมให้ส.ส.ทุกคนแปรญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญในการพิจารณาวาระว่าเป็นสิทธิ์ของฝ่ายค้านที่จะสงวนคำแปรญัตติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ขอให้ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำเพื่อยื้อเวลา ตนขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีพิมพ์เขียวในการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่มีการเตรียมไว้ล่วงหน้าว่าต้องแก้ไขมาตรา ๒๓๗ รวมถึงการยกเลิกองค์กรอิสระและการช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณอดีตนายกฯ ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการใส่ร้ายทางการเมือง การจะแก้ประเด็นใดบ้างเป็นหน้าที่ของสสร.จะมายกร่างแก้ไขเท่านั้น
สำหรับเรื่องอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมยื่นเรื่องร้องศาลปกครองให้ไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองชั่วคราว กรณีครม.มีมติอนุมัติงบประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านบาท เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ปี ๒๕๔๘-๒๕๕๓ ว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำเท่ากับมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ เพราะตลอด ๒ ปีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่เคยทำเรื่องการปรองดองเลย มติครม.เป็นการเยียวยาทุกฝ่าย ทุกสี รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐและภาคธุรกิจที่ได้รับความเสียหาย
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยองพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์จะหักบันไดปรองดองจากการที่ตนจะยื่นฟ้องศาลปกครองกรณี ครม. อนุมัติจ่ายเงินเยียวยาฯ ว่าสาเหตุที่ตนจะยื่นฟ้องเพราะเห็นว่ามติครม.ล่าสุดผิดกฎหมาย ไม่ได้ดำเนินตามขั้นตอนระเบียบของกฎหมาย ไม่เสมอภาค และไม่เป็นธรรม ดังนั้นนายณัฐวุฒิพูดผิดหรือไม่ ส่วนการจ่ายเงินเยียวยาคนเสื้อแดงเป็นบันไดขั้นที่ ๑ เหมือนปูนบำเหน็จคนเสื้อแดงแล้วหลอกใช้ให้ไปต่อสู้กดดันข่มขู่ฝ่ายที่มีความเห็นตรงข้ามกับการพา พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ศาลและองค์กรอิสระ ส่วนบันไดขั้นที่ ๒ คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งขณะนี้ขับเคลื่อนไปอย่างเร่งรีบรวบรัด สังคมกำลังเรียกว่ารัฐธรรมนูญ นปช. เผาเมือง ปูทางสู่การยกเลิกคดีอาญาทั้งหมดของอดีตนายกฯ ทักษิณและบันไดขั้นที่ ๓ คือการที่พรรคเพื่อไทยใช้เสียงข้างมากในการสร้างความชอบธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณที่อาจจะกลับมาเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นนายกฯ อีกครั้งหนึ่ง
ประการที่หนึ่ง ผมอยากเรียกร้องให้นายณัฐวุฒิในฐานะแกนนำมวลชนเผาบ้านเผาเมือง ถ้าอยากปรองดองจริงๆ ขอให้มากราบขอโทษประเทศไทยว่าทำเรื่องที่ทำผิดกับประเทศแล้วจะไม่ทำอีกเพราะทำให้ประเทศเสียหาย
สอง จ่ายเงินเยียวยาไปแล้วทุกฝ่ายต้องได้ประโยชน์ แต่ครั้งนี้มีแต่กลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้รับประโยชน์และอยากให้คนเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ด้านหน้ารัฐสภาเอาป้ายที่มีคำกล่าวหาให้ร้ายอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ออกและให้คนเสื้อแดงกลับบ้านไปทำมาหากินไม่ต้องมาส่งเสียงด่าทอ
สาม อยากให้รมช.เกษตรฯ ทำราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำอยู่นี้ให้มีราคาสูงขึ้นหรือมีราคาใกล้เคียงกับ
สมัยรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์
ผมขอ ๓ ข้อเท่านี้ เพื่อความปรองดอง นายสาธิตยังกล่าวด้วยว่าการจ่ายเงินเยียวยารัฐบาลกำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้เป็นภาระผูกพันงบประมาณของประเทศจำนวนมาก การจ่ายเงินของทุกรัฐบาลที่ผ่านมามีเกณฑ์การจ่ายเงินใกล้กันไม่เกิน ๔-๕ แสนบาท แต่รัฐบาลชุดนี้จ่ายเงิน ๗.๕ ล้านบาท และยังใช้กลยุทธจ่ายเงินเยียวยาด้ายจิตใจถึง ๓ ล้านบาท เป็นการจ่ายเงินตามเกณฑ์ความรู้สึกส่วนตัวที่ต้องจ่ายเป็นเงินสดเป็นการเหมารวมและเป็นสิ่งที่เกินมาตรฐานที่ทุกรัฐบาลเคยทำมา
ครับ จะเห็นได้ว่าเรื่องปัญหาเงินเยียวยาและเรื่องสัตยาบันรัฐธรรมนูญดูจะเป็นเรื่องเด่นประจำสัปดาห์ที่ผ่านมานี้นอกเหนือจากเรื่องที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อเรียกนักลงทุนให้กลับมาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง
นายสามารถ แก้วมีชัย ยังกล่าวด้วยว่าหลังจาก สสร. ยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ต้องส่งให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาก่อนนำไปทำประชามติ จากเดิมที่ร่างรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกำหนดให้ส่งให้ประธานรัฐสภาพิจารณาก่อนทำประชามติเท่านั้น เพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาช่วยกันพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผิดไปจากเจตนารมณ์ที่ลงนามในสัตยาบันหรือไม่ หากมีเรื่องใดที่เขียนเกินเลยไปจากสัตยาบันก็ให้นำไปแก้ไขทบทวนก่อนทำประชามติ จะช่วยให้การแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปตามแนวทางที่ทุกฝ่ายต้องการ และไม่ใช่การชี้นำการยกร่างรัฐธรรมนูญ มั่นใจว่าทุกพรรคจะทำความตกลงร่วมกันได้ในการลงนามสัตยาบัน แม้แต่ละพรรคจะมีเจตจำนงต่างกันก็ต้องมานั่งหารือทำความเข้าใจกันก่อน
ส่วนนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมกล่าวถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์เตรียมให้ส.ส.ทุกคนแปรญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญในการพิจารณาวาระว่าเป็นสิทธิ์ของฝ่ายค้านที่จะสงวนคำแปรญัตติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ขอให้ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำเพื่อยื้อเวลา ตนขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีพิมพ์เขียวในการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่มีการเตรียมไว้ล่วงหน้าว่าต้องแก้ไขมาตรา ๒๓๗ รวมถึงการยกเลิกองค์กรอิสระและการช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณอดีตนายกฯ ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการใส่ร้ายทางการเมือง การจะแก้ประเด็นใดบ้างเป็นหน้าที่ของสสร.จะมายกร่างแก้ไขเท่านั้น
สำหรับเรื่องอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมยื่นเรื่องร้องศาลปกครองให้ไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองชั่วคราว กรณีครม.มีมติอนุมัติงบประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านบาท เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ปี ๒๕๔๘-๒๕๕๓ ว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำเท่ากับมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ เพราะตลอด ๒ ปีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่เคยทำเรื่องการปรองดองเลย มติครม.เป็นการเยียวยาทุกฝ่าย ทุกสี รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐและภาคธุรกิจที่ได้รับความเสียหาย
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยองพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์จะหักบันไดปรองดองจากการที่ตนจะยื่นฟ้องศาลปกครองกรณี ครม. อนุมัติจ่ายเงินเยียวยาฯ ว่าสาเหตุที่ตนจะยื่นฟ้องเพราะเห็นว่ามติครม.ล่าสุดผิดกฎหมาย ไม่ได้ดำเนินตามขั้นตอนระเบียบของกฎหมาย ไม่เสมอภาค และไม่เป็นธรรม ดังนั้นนายณัฐวุฒิพูดผิดหรือไม่ ส่วนการจ่ายเงินเยียวยาคนเสื้อแดงเป็นบันไดขั้นที่ ๑ เหมือนปูนบำเหน็จคนเสื้อแดงแล้วหลอกใช้ให้ไปต่อสู้กดดันข่มขู่ฝ่ายที่มีความเห็นตรงข้ามกับการพา พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ศาลและองค์กรอิสระ ส่วนบันไดขั้นที่ ๒ คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งขณะนี้ขับเคลื่อนไปอย่างเร่งรีบรวบรัด สังคมกำลังเรียกว่ารัฐธรรมนูญ นปช. เผาเมือง ปูทางสู่การยกเลิกคดีอาญาทั้งหมดของอดีตนายกฯ ทักษิณและบันไดขั้นที่ ๓ คือการที่พรรคเพื่อไทยใช้เสียงข้างมากในการสร้างความชอบธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณที่อาจจะกลับมาเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นนายกฯ อีกครั้งหนึ่ง
ประการที่หนึ่ง ผมอยากเรียกร้องให้นายณัฐวุฒิในฐานะแกนนำมวลชนเผาบ้านเผาเมือง ถ้าอยากปรองดองจริงๆ ขอให้มากราบขอโทษประเทศไทยว่าทำเรื่องที่ทำผิดกับประเทศแล้วจะไม่ทำอีกเพราะทำให้ประเทศเสียหาย
สอง จ่ายเงินเยียวยาไปแล้วทุกฝ่ายต้องได้ประโยชน์ แต่ครั้งนี้มีแต่กลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้รับประโยชน์และอยากให้คนเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ด้านหน้ารัฐสภาเอาป้ายที่มีคำกล่าวหาให้ร้ายอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ออกและให้คนเสื้อแดงกลับบ้านไปทำมาหากินไม่ต้องมาส่งเสียงด่าทอ
สาม อยากให้รมช.เกษตรฯ ทำราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำอยู่นี้ให้มีราคาสูงขึ้นหรือมีราคาใกล้เคียงกับ
สมัยรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์
ผมขอ ๓ ข้อเท่านี้ เพื่อความปรองดอง นายสาธิตยังกล่าวด้วยว่าการจ่ายเงินเยียวยารัฐบาลกำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้เป็นภาระผูกพันงบประมาณของประเทศจำนวนมาก การจ่ายเงินของทุกรัฐบาลที่ผ่านมามีเกณฑ์การจ่ายเงินใกล้กันไม่เกิน ๔-๕ แสนบาท แต่รัฐบาลชุดนี้จ่ายเงิน ๗.๕ ล้านบาท และยังใช้กลยุทธจ่ายเงินเยียวยาด้ายจิตใจถึง ๓ ล้านบาท เป็นการจ่ายเงินตามเกณฑ์ความรู้สึกส่วนตัวที่ต้องจ่ายเป็นเงินสดเป็นการเหมารวมและเป็นสิ่งที่เกินมาตรฐานที่ทุกรัฐบาลเคยทำมา
ครับ จะเห็นได้ว่าเรื่องปัญหาเงินเยียวยาและเรื่องสัตยาบันรัฐธรรมนูญดูจะเป็นเรื่องเด่นประจำสัปดาห์ที่ผ่านมานี้นอกเหนือจากเรื่องที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อเรียกนักลงทุนให้กลับมาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง