“สาธิต” ยื่นศาลปกครองขอไต่สวนฉุกเฉิน ระงับจ่ายเยียวยาแดง 7.75 ล้าน แฉเล่ห์ ครม.อาศัยช่องโหว่ กม.สอดไส้จ่ายแดงเผาเมือง ยันต้องพิสูจน์ก่อนจ่าย เดินหน้าฟันอาญา ม.157 เพิ่มอีกคดีเพื่อปกป้องภาษี ปชช.
วันนี้ (6 มี.ค.) นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ในวันที่ 8 มี.ค.เวลา 14.00 น.เพื่อให้เพิกถอนมติ ครม.วันที่ 6 มีนาคม 55 ที่อนุมัติงบประมาณ 2 พันล้านบาท เยียวยาการชุมนุมทางการเมืองระหว่างปี 2548-2554 พร้อมกับขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อระงับการใช้มติ ครม.ดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมาย แต่เป็นการจ่ายเงินให้กับพรรคพวกตัวเอง ทำให้เกิดความไม่เสมอภาค และไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตาม มาตรา 9 ของ พ.ร.บ.วิธีจัดตั้งศาลปกครอง และเตือนคณะรัฐมนตรีว่าควรชะลอการจ่ายเงินออกไปก่อน เนื่องจากหากมีการจ่ายเงินทันทีตามที่มีข่าวออกมา โดยไม่มีกฎหมาย หรือระเบียบใดมารองรับ ก็จะถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งตนจะยื่นฟ้องต่อ ป.ป.ช.อีกคดีหนึ่งด้วย
นายสาธิต กล่าวด้วยว่า การยื่นฟ้องต่อศาลปกครองครั้งนี้ ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ แต่เป็นการฟ้องมติ ครม.ใหม่ ไม่ใช่มติ ครม.เดิมในว้นที่ 10 มกราคม โดยจะมีการเพิ่มประเด็นในการบรรยายฟ้องเพื่อให้ศาลเห็นถึงมติ ครม.ดังกล่าว ที่อ้างว่าจะไม่มีการเยียวยาผู้กระทำความผิดกฎหมาย แต่จะจ่ายเงินให้กับผู้เสียชีวิตก่อน ซึ่งถือเป็นกลลวง เพราะในกฎหมายอาญา ระบุว่าเมื่อผู้กระทำความผิดเสียชีวิตคดีอาญาจะถูกระงับโดยอัตโนมัติ ดังนั้น หากมีการจ่ายตามกฎเกณฑ์ของ พ.ร.บ.กระทรวงยุติธรรม หรือ พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัยที่ช่วยเหลือราชการ ปี 2543 ของ กระทรวงพัฒนาสังคมฯ จะต้องมีคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เพราะหากผู้เสียชีวิตอยู่ในกลุ่มของผู้ที่ทำผิดกฎหมาย เช่น ร่วมก่อเหตุเผาเซ็นทรัลเวิลด์ หรือ กรณีบุกไปเผาบ้าน นายประจักษ์ แก้วกล้าหาญ อดีต รมช.คมนาคม แต่ถูกเจ้าของบ้านยิงสวนออกมา เพื่อปกป้องทรัพย์สินของตัวเองจนเสียชีวิต ก็ถือว่าเป็นผู้ทำผิดกฎหมายไม่ควรได้รับการเยียวยา สิ่งเหล่านี้จึงจำเป็นที่จะต้องมีการพิสูจน์ความจริงก่อนที่จะใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนไปใช้
“จะมาพูดว่าไม่จ่ายให้คนทำผิดกฎหมายเพื่อตบตาสังคมไม่ได้ ต้องตรวจสอบข้อเท้จจริงว่าคนเหล่านั้นมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม ถ้าเขาทำผิด เขาไม่ควรได้รับการเยียวยา หลักคือ ผมไม่เห็นด้วยกับคนที่เผาบ้านเผาเมืองแล้วได้เงิน เพราะแตกต่างจากเหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ และความไม่สงบในภาคใต้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่หมายความว่า จ่ายให้ผู้ได้รับผลกระทบจากทั้ง 3 เหตุการณ์แล้วคนเผาเมืองก็ได้ด้วย เนื่องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง ศาลระบุชัดว่า เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และยังมีการทำความผิดด้วย จึงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน รวมทั้งการจ่ายเงินเยียวยาไม่จำเป็นต้องเท่ากันทุกกรณี แต่ควรจ่ายตามฐานะ อาชีพ และอายุ การจ่ายเท่ากันทั้งหมด 7.75 ล้านบาท จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานของการจ่ายเงินให้กับบุคคลที่รัฐบาลต้องการจะจ่ายซึ่งไม่ถูกต้อง” นายสาธิต กล่าว
ส.ส.ระยอง ยังกล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า นายกรัฐมนตรีเตรียมนำเงินเยียวยาตามมติ ครม.ดังกล่าวไปจ่ายให้กับญาติของช่างภาพญี่ปุ่นที่เสียชีวิต ในเหตุความไม่สงบเดือนเมษายนปี 2553 ว่า หากมีการจ่ายเงินจริง ก็ต้องถือว่าเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ นายกฯจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เพราะแม้ว่าช่างภาพคนดังกล่าวจะเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งตนเห็นด้วยว่า สมควรได้รับการเยียวยา แต่จะได้เท่าไหร่ อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้านายกฯจ่ายเงินโดยไม่มีหลักเกณฑ์รองรับ ไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็เป็นการทำผิดกฎหมายอาญา ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่า การยื่นร้องต่อศาลครั้งนี้ จะไม่ถูกยกคำร้องเหมือนคราวที่แล้ว เนื่องจากมติ ครม.วันที่ 6 มีนาคม ได้อนุมัติงบประมาณ 2 พันล้านบาท ถือว่าเป็นกฎแล้วคือ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ แตกต่างจากมติ ครม.10 มกราคม ที่อนุมัติแค่หลักการ และจะชี้ให้ศาลเห็นว่า การเยียวยาครั้งนี้ เป็นการเลือกปฏิบัติ มีการกำหนดธงล่วงหน้าว่า ต้องจ่ายเงินให้กับคนของตัวเองตามที่มีการหาเสียงไว้ จากนั้นมาหาระเบียบรองรับในภายหลัง ทำให้จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้คำจำกัดความในการเยียวยาอย่างไร เช่น การกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ หรือ ผู้ได้ร้บผลกระทบการชุมนุมทางการเมือง ทำให้ยังมีความสับสนอยู่
นายสาธิต กล่าวว่า ไม่กังวลกรณีที่พรรคเพื่อไทย และแกนนำเสื้อแดง โจมตีการยื่นฟ้องครั้งนี้ว่า เป็นการขัดขวางการเยียวยาคนเสื้อแดง เพราะถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งหากเปรียบเทียบการทำหน้าที่ของ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ขณะเป็นฝ่ายค้าน มีการยื่นเรื่องร้องเรียนกว่า 700 เรื่อง โดยที่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยอมรับการตรวจสอบ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็คิดว่าประชาชนจะใช้วิจารณญาณตัดสินได้ว่าพรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์หรือไม่ ซึ่งแตกต่างจากการทำหน้าที่ของตนที่ออกมาปกป้องไม่ให้มีการใช้ภาษีของคนทั้งประเทศไปสนองตอบคนของตัวเองกลุ่มเดียว จึงไม่สนใจการบิดเบือนของเท็จจริงของพรรคเพื่อไทย
“มีการข่มขู่ผมหลายรูปแบบทั้งโทรศัพท์ จดหมาย และเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ก แต่ไม่เป็นไร เพราะถือว่าคนเสื้อแดงที่ทำผิดกฎหมายไม่ใช่พ่อผม ผมดำเนินการตามสิทธิ ซึ่ง ส.ส.มีหน้าที่ปกป้องประโยชน์ประชาชน ทุกอย่างที่ผมทำมีกฎหมายรองรับทั้งหมด และทำเพื่อคนส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำเพื่อคนส่วนน้อยที่ทำผิดกฎหมาย” นายสาธิต กล่าว