xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณ ป้าธิดา และ ม.112

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

นี่เป็นเหตุการณ์ชนิดคนขั้วคนละคีย์เลย ขณะที่ทักษิณ ชินวัตร ร่วมร้องเพลงเทิดพระเกียรติในหลวงร่วมกับวิสา คัญทัพ อดิศร เพียงเกษ ฯลฯ นำเสนอภาพความจงรักภักดียิ่งใหญ่ได้ไม่นาน อีกฟากหนึ่งป้าธิดา ถาวรเศรษฐออกมาแถลงว่านปช.สนับสนุนแนวทางแก้รัฐธรรมนูญที่ยึดปี 2540 และของคณะนิติราษฎร์ โดยบอกว่าข้อเสนอของนิติราษฏร์สอดคล้องกับ“ยุทธศาสตร์”ของ นปช.

คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งเชื่อว่าทักษิณ ชินวัตร “สู้ไปกราบไป” ในทางยุทธวิธีและก็หลิ่วตาให้กับแดงซ้ายจัดเคลื่อนไหวในแนวทางของตนเอง แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ไว้ใจทักษิณเพราะเข้าใจว่าทักษิณและนักการเมือง+ทุนการเมือง “เกี้ยเซียะ”กับศัตรูโดยเฉพาะกลุ่มคนระดับสูงไปเรียบร้อยแล้ว กลุ่มนี้ระแวงว่าที่ผ่านมาก็แค่ “หลอกใช้” คนเสื้อแดงซ้ายจัดเท่านั้น

การประกาศให้คนเสื้อแดงสนับสนุนคณะนิติราษฏร์ของป้าธิดาจึงมีความหมายต่อเนื่องพุ่งถึงตัว ทักษิณ ชินวัตรในฐานะเจ้าของพรรคเพื่อไทยที่ต้องแสดงความชัดเจนว่าที่สุดแล้วทักษิณ “สู้ไปกราบไป” หรือ “เกี้ยเซียะหลอกใช้” กันแน่

หากสังเกตท่วงทำนองการนำของป้าธิดาจะพบว่าก่อนหน้านี้ป้าเธอเลือกแนวทางไม่ชัวร์ไม่เดิน อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ กรณีม.112 และเรื่องแก้รัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ แต่มาครั้งนี้เหมือนป้าจะได้ยาดีเลือกแทงชนิดได้-เสียอย่างน่าติดตาม

ย้อนกลับไปดูข้อเสนอของคณะนิติราษฏร์เมื่อ 18 กันยายน 2554 ที่ว่าอยากให้ย้อนไปยึดแนวทางของรัฐธรรมนูญปี 2540 ร่วมกับฉบับก่อนปีพ.ศ. 2490 ข้อเสนอดังกล่าวมีวาระแฝงซ่อนอยู่อย่างแน่นอน เพราะแทนที่จะเสนอว่าให้ย้อนไปดูความดีในรัฐธรรมนูญในอดีตกลับเจาะจงไปที่รัฐธรรมนูญก่อนปี 2490 ซึ่งมีความต่างจากฉบับหลัง ๆ ที่ชัดเจนก็คือหมวดพระมหากษัตริย์และความว่าด้วยองคมนตรี

จากปี 2475 ถึง 2490 เรามีรัฐธรรมนูญใช้ 3 ฉบับด้วยกันคือพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ.2475, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2489

ฉบับแรก-ไม่ใช้ศัพท์ “พระมหากษัตริย์” ใช้เพียงคำ “กษัตริย์” เฉย ๆ ทั้งยังระบุขั้นตอนการสืบสันตติวงศ์ว่าให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลฯและ “ด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร” และที่ไปไกลที่สุดคือมาตรา 6 กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาชญาในโรงศาลมิได้เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย ซึ่งต่อมาก็ปรากฏเหตุรัชกาลที่ 7 ถูกรัฐบาลฟ้องยึดวังศุโขทัยตามมา

พ.ร.บ.ธรรมนูญฉบับชั่วคราว 27 มิ.ย.2475 ได้รับการยกย่องจาก “แดงซ้าย” กลุ่มหนึ่งขนาดไม่ยอมรับว่าวันรัฐธรรมนูญคือ 10 ธันวาคมซึ่งเป็นวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (อาจเพราะรังเกียจพิธีกรรม “พระราชทาน”ลงมามิทราบ!!? )รัฐธรรมนูญฉบับนี้แม้จะกำหนดให้เลือกตั้งส.ส.เป็นตัวแทนราษฏรแต่ก็มีบทเฉพาะกาลให้ “ลากตั้ง”เข้ามาครึ่งนึงซึ่งคณะนิติราษฏร์คงไม่อยากนำความในหมวดนี้มาใช้ในรัฐธรรมนูญใหม่อย่างแน่นอน ดังนั้นความในรัฐธรรมนูญ 2475 ส่วนที่คณะนิติราษฏร์ “เล็งเห็น” ก็หนีไม่พ้นหมวดบททั่วไปและหมวดพระมหากษัตริย์ที่เสนอให้ย้อนกลับไปดึงมาใช้

เช่นเดียวกันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามปี 2475 ฉบับต่อมาก็ไม่ปรากฏบทว่าด้วยองคมนตรี นอกจากนั้นในกรณีสืบสันตติวงศ์ก็กำหนดในเหมือนฉบับชั่วคราวก็คือ ให้ยึดกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ 2467 และ “ประกอบ”ด้วยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฏร ต่างจากปัจจุบันที่รัฐสภาไม่สามารถก้าวล่วงเข้าไปในกระบวนการดังกล่าวได้

มาถึงฉบับปี 2489 ซึ่งเป็นพัฒนาการจากปี 2475 เพราะมีการตั้งกรรมาธิการปรับปรุงสืบเนื่องกันมาในช่วงหลังสงครามโลก ฉบับนี้มีจุดเด่นที่เพิ่มสภาสูง “พฤฒิสภา” ขึ้นมาแต่ในความในหมวดพระมหากษัตริย์ก็ยังยืนเหมือนกับปี 2475

ชัดเจนที่สุด..รัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับไม่มีความว่าด้วย “องคมนตรี” จึงสอดคล้องกับคำประกาศของนชป.ก่อนหน้านี้ว่าอำมาตย์หมายถึงขีดเส้นที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ลงมา !!!!

แปลเป็นไทยได้ว่าป้าธิดาได้กลืนน้ำลาย นชป.ก่อนหน้าที่เคยประกาศว่าข้อเสนอแก้รัฐธรรมนูญจะไม่แตะหมวดพระมหากษัตริย์ไปเรียบร้อย แต่เพราะว่าการประกาศยึดแนวทางของนิติราษฏร์หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หมายถึงการประกาศแก้ไขหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์นั่นเอง

ความในรัฐธรรมนูญก่อนปี 2490 ต่างจากรัฐธรรมนูญในยุคหลังเพราะทั้งปี 2534, 2540และ 2550 กำหนดบทบาทของสถาบันองคมนตรี การแต่งตั้งต่าง ๆ ให้เป็นไปโดยพระราชอำนาจทั้งยังมีกำหนดไว้ด้วยว่า องคมนตรียังมีบทบาทหน้าที่ผูกพันกับประเด็นว่าด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การแก้กฏมณเทียรบาล และขั้นตอนการสืบราชสันตติวงศ์อย่างแยกไม่ออก

ย้ำอีกครั้งนึง ! คนบางกลุ่มไม่ชอบรัฐธรรมนูญปี 2550 บอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญอำมาตย์จึงขอย้ำว่า เนื้อหาเดียวกันในหมวดนี้มีมาก่อนหน้าทั้งฉบับ 2534 และฉบับ 2540 (ที่คนเสื้อแดงบอกว่าคือรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด) ก็ระบุเนื้อหาพระมหากษัตริย์แบบเดียวกันนี้ทุกมาตรา

ในขณะที่วิสา คัญทัพแต่งเพลง ทักษิณ ร่วมร้องทีวีจอแดงเอเชียอัพเดท ขวัญชัย ไพรพนาเกณฑ์เสื้อแดงรักเจ้าออกมา เฉลิม อยู่บำรุงทำขึงขังเรื่องเว็บหมิ่น อีกด้านหนึ่งป้าธิดาก็ประกาศให้คนเสื้อแดงสนับสนุนกิจกรรมของคณะนิติราษฏร์พร้อมกันไป

ผลจากการประกาศของป้าธิดาจึงสะท้อนกลับไปที่ตัว ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำฝ่ายการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าจะเลือก “แสดง” บทบาทเช่นไรกับการเคลื่อนไหวของนปช.และป้าธิดา ไม่เฉพาะเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญที่ย้อนกลับไป 2475 แต่ยังผนวกไปถึงกรณี ม.112 ที่จะกล่าวต่อไป

** รัฐประหาร 2490 การแย่งชิงอำนาจระหว่างคณะราษฏร (ทำไมต้องลากเจ้าไปเกี่ยวด้วย)

ผู้ที่ศึกษาสนใจประวัติศาสตร์การเมืองไทยและบทบาทสภาบันกษัตริย์ช่วงการเปลี่ยนแปลง 2475 มีจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะนักวิชาการสีแดงที่มีสีหน้าท่าทางไม่ชอบเจ้าก็สนใจศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง

การณ์ปรากฏว่ามีการหยิบเอาการศึกษาทางวิชาการดังกล่าวมารับใช้ขบวนการเคลื่อนไหว “ไม่เอาเจ้า” มากขึ้น ๆ บางครั้งบางคราถึงกับหยิบเหตุการณ์มาอธิบายแบบแปลกแปร่งเช่นชี้ไปว่าการรัฐประหาร 2490 ก็เพื่อเชิดชูฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์ขึ้นมา เป็นจุดก่อกำเนิดของอำมาตยาธิปไตย ฯลฯ แล้วทำให้คนฟังที่ไม่มีฐานข้อมูลมากพอเข้าใจผิดไปว่าพระมหากษัตริย์เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารครั้งนั้นด้วย ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 องค์ปัจจุบันยังทรงพระเยาว์เพิ่งจะครองราชย์อย่างฉุกละหุกแล้วก็ต้องเสด็จต่างประเทศไปศึกษาต่อ ยังไม่ได้ผ่านพิธีบรมราชาภิเษกด้วยซ้ำไป

เหตุการณ์รัฐประหาร 2490 จึงเป็นเรื่องของ “อำมาตย์คณะราษฏร” สายนายปรีดี พนมยงค์+ทหารเรือ สายหนึ่งแย่งชิงกับ หลวงพิบูลสงคราม จอมพลป.+ทหารบกอีกสายหนึ่ง เป็นหลัก

สังเกตดี ๆ ในทางวิชาการระยะ 2475-2490 เป็นช่วงตกต่ำของสถาบันเจ้าครับ !

ในความเป็นจริงแม้การเปลี่ยนแปลง 2475 ไม่เสียเลือดเนื้อแต่เกียรติภูมิตลอดถึงอำนาจความนับถือยำเกรงที่เจ้าเคยมีก็ถูกโค่นลงไป เจ้านายผู้ใหญ่หลายพระองค์เสด็จลี้ภัยหลังเหตุการณ์กบฎบวรเดชต่อเนื่องถึงรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ วังเก่าแก่ถูกเปลี่ยนมือเป็นที่ทำการรัฐบาล สมบัติของพระคลังข้างที่ก็ถูกแบ่งออกไป มีตัวอย่างเหตุการณ์ที่ส.ส.ในสภายุคพระยาพหลฯ ตั้งกระทู้เรื่องการขายที่ดินพระคลังข้างที่ให้กับผู้มีอำนาจในคณะราษฎรในราคาถูก ถือเป็นเรื่องอื้อฉาวเรื่องแรก ๆ ของรัฐบาลคณะราษฎรก็ว่าได้ ซึ่งต่อมาจอมพลป.ก็ออกมาแบ่งรับแบ่งสู้ว่าตอนเป็นรัฐมนตรีเมื่อปี 2479 (รัฐบาลพระยาพหลฯ) เคยซื้อที่ดินของพระคลังข้างที่หน้าสวนจิตรลดา(น่าจะละแวกบ้านนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) จำนวน 2 ไร่ ราคาไร่ละ 4 พันบาทรวม 8 พันบาทแล้วพระคลังข้างที่ก็โอนโฉนดให้ต่อมาไปพบว่าเป็นที่ดินซึ่งมีคนอยู่อาศัยก่อนเกรงจะวุ่นวายเลยคืนกลับเสีย

เหตุการณ์สละพระราชสมบัติโดยเฉพาะพระราชหัตถเลขาก็สะท้อนได้ชัดถึงความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นเลยระหว่างกษัตริย์กับคณะราษฏร เคยเขียนไปแล้วครั้งนึงที่ส.ศิวรักษ์เคยเขียนว่าการที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ไม่เสด็จกลับไทยเพราะเกรงจะถูกหลวงพิบูลฯ ยิงเอา และต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 8 เสวยราชย์ พระองค์ก็ไม่ได้เสด็จอยู่ในพระนครยังศึกษาอยู่ต่างประเทศ กิจการบ้านเมืองที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์จึงเป็นหน้าที่ของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นหลัก

ขนาดสถาบันกษัตริย์ตกลงมาถึงปานนั้นแล้วนักวิชาการบางกลุ่มที่ไม่ชอบเจ้าเสียจริง ๆ เลยก็ยังลากโยงการรัฐประหาร 2490 เป็นยุคเริ่มต้นของการฟื้นฟูเจ้า โดยบอกว่ามีการรื้อฟื้นตำแหน่งอภิรัฐมนตรี และองคมนตรีที่ล้มเลิกไปแล้วครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นมาใหม่ ทั้ง ๆ ที่การฟื้นฟูดังกล่าวเพราะกษัตริย์ยังทรงพระเยาว์และต้องเสด็จไปศึกษาต่างประเทศ คนที่เป็นอภิรัฐมนตรีก็คนในคณะราษฏรหรือเคยร่วมรัฐมนตรีพระยาพหลฯ กันมาก็หลายคน หาใช่เป็นตำแหน่งที่ทางวังตั้งขึ้นมา(เพื่อพื้นที่อำนาจ)เสียที่ไหน

จอมพลป.กลับมารอบนั้น (2490) เหมือนกับนกฟีนิกส์ขึ้นจากกองขี้เถ้า แพ้โหวตพรบ.ย้ายเมืองหลวง เป็นอาชญากรสงครามกลับไปอยู่บ้านเงียบ ๆ ไหนเลยจะนึกว่าได้กลับสู่อำนาจอีกรอบ มาครั้งนี้จึงมีประสบการณ์สูงพอที่จะไม่แสดงตนเป็น “ผู้นำ” หนึ่งเดียวตามลัทธิทหาร มีการผ่อนปรนยื่นมือให้กับ “เจ้า” อยู่พอสมควรแต่ก็ไม่ใช่เป้าหมายเพื่อฟื้นเจ้าหรอก แท้จริงหวังจะดึงอำนาจทางวัฒนธรรมที่เป็นพื้นฐานของสังคมไทยมาเป็นพวก

นักวิชาการอาจจะมองโดยใช้ทฤษฎี อำนาจเก่า อำนาจใหม่ อะไรนั่นแต่สำหรับคนที่ชอบอ่านนิยายอย่างผมกลับนึกจินตนาการว่ายุคพ.ศ.นั้นสังคมไทยของเรายังเต็มไปด้วยคนที่มีหัวใจแบบแม่ช้อย-แม่พลอย ในเรื่องสี่แผ่นดิน สังคมไทยเป็นเช่นนี้มายาวนาน การเปลี่ยนแปลง 2475 ไม่ได้ลึกลงไปถึงรากฐานประชาชนและฐานความเชื่อวัฒนธรรม ดังนั้นปี 2490 จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพลิกฟื้นเมล็ดพันธุ์ที่กระจายอยู่ทั่วไปให้เริ่มงอกงามขึ้นมาและยิ่งเจริญเติบโตหลังเสด็จนิวัติพระนคร

ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายขึ้น –ต่อให้ไม่มีจอมพล ป. ไม่มีท่านปรีดี สมมติมีขุนศึกอำมาตย์กลุ่มใดกำลังแย่งชิงอำนาจกันอยู่ในปี 2490 เงื่อนไขปัจจัยแวดล้อมขณะนั้นย่อมจะต้องอาศัย”พลังอื่นๆ” โดยเฉพาะ "พลังความรักความศรัทธา" ของประชาชนเป็นหลังพิง อย่างที่บอกเมืองไทยตอนนั้นคนอย่างแม่ช้อยแม่พลอยเต็มไปหมดนักการเมืองที่ฉลาดหากกระทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันกษัตริย์จะไม่ได้รับความศรัทธาหรอก อย่างเก่งก็ทำให้คนกลัวเท่านั้น.....ปัจจัยเหล่านี้นักวิชาการสายวัตถุนิยมวิภาษวิธี ไม่ได้มองถึง และดูจะให้ความสำคัญกับการปะทะกันระหว่างพลังใหม่ก้าวหน้า-พลังเก่าล้าหลังอะไรทำนองนั้นเป็นหลัก .....

อุปมาในแบบของผมเองว่ามีผืนดินอุดมสมบูรณ์ผืนหนึ่งแถบป่าชื้นศูนย์สูตร จู่ ๆ ได้รับการเปลี่ยนแปลงถูกถางมาปลูกพืชเมืองหนาวที่ทำเงินและอยูในกระแสนิยม แต่อยู่ไป ๆ เมล็ดพืชและสภาพแวดล้อมก็จะปรับพื้นที่ไร่ดังกล่าวไปสู่พืชดิบชื้นศูนย์สูตรมีต้นไม้พื้นถิ่นร้อนชื้นผุดขึ้นมาอยู่ดี การเปลี่ยนแปลงการปกครองยุคแรก ๆ ที่พยายามตัดสถาบันฯออกไปจากกระบวนการทางการเมืองแต่ก็ห้ามความเป็นจริงทางสังคมวัฒนธรรมการยอมรับนับถือของคนไม่ได้...คนเป็นเช่นไรมาก่อน การเมืองและรัฐธรรมนูญก็เลื่อนไหลไปตามนั้น ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เพื่อพยายามจินตนาการภาพการเมืองยุคปี 2490-2500 กว่า ๆ ให้ชัดขึ้นเชิงอุปมาอุปไมย

สังคมไทยยุคก่อนปี พ.ศ. 2500 มีลักษณะเฉพาะของตัวเองจะไปเหมือนฝรั่งเศสหลังปี 1789 สภาพบ้านเมืองสยามตอนนั้นก็ไม่เหมือนบอลเชวิคล้มพระเจ้าซาร์ พัฒนาการของการเมืองไทยจึงไม่ใช่เรื่องของพลังเก่าล้าหลังอำมาตยาราชาตินิยม สู้กับ พลังเสรีนิยมก้าวหน้าประชาธิปไตยมายาวนานตั้งแต่ 2490 มันมีอะไร ๆ อีกตั้งหลายอย่างรวมไปถึงสภาพการณ์ของโลกยุคสงครามเย็นด้วย

ผมเองก็ไม่ชอบหรอกครับที่ประชาธิปไตยไทยล้มลุกคลุกคลาน เดี๋ยว ๆ ก็ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง สังคมไทยยุคก่อนหน้ามันมีคนที่ได้เปรียบเสียเปรียบจริง ๆ มีนักการเมือง นายทุน อำมาตย์ข้ารราชการที่หยิบฉวยอำนาจของประชาชนไปหาประโยชน์ให้ตัวและพวกพ้องจริงและความเลวทรามเหล่านี้ไม่ว่านักการเมือง นายทุน ขุนศึกเทคโนแครตอำมาตย์ที่เป็นตัวถ่วงประชาธิปไตยก็กระจายไปอยู่ทุกค่ายทุกขั้ว ผมจึงไม่ชอบใจที่มีการจัดให้นักการเมืองและนายทุนพวกนี้เป็นฝ่ายประชาธิปไตยอีกฝ่ายเป็นเผด็จการ เพราะว่ามันไม่เข้าท่าทั้งสองฝ่าย

ผมล่ะกลัวจริง ๆ ว่าเดี๋ยวจะมีแฟชั่นขีดเส้นก่อนปี 2490 เป็นยุคเฟื่องฟูวิไลอะไร ๆ ก็ดี หลัง 2490 เป็นยุคทหารอะไร ๆ ก็ไม่ดี...เพราะแท้จริงมันไม่มีเส้นแบ่งที่ว่า

ประเพณี “ทหารเกเร” ไม่ได้เกิดตอนปี 2490 ดอกนะครับ แต่เป็นผลพวงสั่งสมมาตั้งแต่ยุคชาตินิยม-ลัทธิทหารก่อนสงครามโลก และยิ่งออกอาการเกเรเข้ามายุ่มย่ามกับการเมืองในช่วงปี 2587-2488

ในปี 2487 มีความขัดแย้งสำคัญฝ่ายนายปรีดีโค่นจอมพลป.ในสภาในมติร่างพรบ.ย้ายเมืองหลวงไปเพชรบูรณ์ จอมพลป.ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จอมพลป. แต่ไม่วางอำนาจเพราะยังมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่ ไปตั้งหลักฮึ่ม ๆ ไม่ให้ทหารรับคำสั่งรัฐบาลอยู่ที่ลพบุรี เลยกลายเป็นความขัดแย้งของรัฐบาล ลูกนายนายทหารที่ร่วมฮึ่ม ๆ จะเคลื่อนกำลังลงมากรุงเทพฯ มีหลายคนซึ่งรวมทั้งพลโทผิน ชุณหะวัณซึ่งไปรบเชียงตุงก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ต่อมาญี่ปุ่นแพ้จอมพล ป. ถูกขึ้นศาลอาชญากรสงคราม นายทหารหลายคนถูกปลดประจำการรวมทั้งพลโทผินด้วย..แกนนำที่ทำรัฐประหาร 2490 ส่วนใหญ่ถูกปลดประจำการแล้วก็รอจังหวะกลับสู่อำนาจใหม่

ประวัติศาสตร์หลอกใครไม่ได้หรอกครับ ต้นตอของทหารการเมืองที่ยกกำลังมาฉีกรัฐธรรมนูญมีต้นธารมาจากคณะราษฏรฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหารแตกคอกันเอง (ต่อมาคณะรปห.ยกตำแหน่งให้นายควงเป็นนายกรัฐมนตรีส้มหล่นแต่เป็นได้ไม่กี่วันแต่ก็ทำให้ปชป.กลายเป็นแผลเป็นแก้ไม่หายมาจนบัดนี้) ก็ยึดกลับมาเชิญลูกพี่เก่าคือจอมพล ป. กลับมานั่งนายกรัฐมนตรีอีกรอบ และรอบนี้ก็ยาวนานกลายเป็นซูเปอร์เผด็จการตัวจริงเสียงจริงยิ่งกว่าท่านผู้นำคนใดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยจนถึง พ.ศ. 2500 เลยทีเดียว

การรัฐประการ 2490 จึงไม่ใช่การรัฐประหารเพื่อ “เจ้า” แต่เป็นการรัฐประการเพื่อ “ท่านผู้นำ” ที่แม้เคยมีบทบาทเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่กลับแปลงร่างเป็นเผด็จการในภายหลัง เป็นคนสร้างสมกำลังขุนศึก-อัศวินเป็นฐานรับใช้อำนาจบริหารที่เป็นเผด็จการต่อเนื่องเกือบ 10 ปี เป็นต้นธารของการยึดอำนาจครั้งต่อ ๆ มาของจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอมในที่สุด

ดังนั้นการที่ใครมีข้อเสนอเรื่องให้กลับไปยึดรัฐธรรมนูญก่อนปี 2490 จึงควรจะบอกให้สังคมรับทราบชัดเจนว่ามีเหตุผลสนับสนุนเช่นไร เพราะถ้าไม่ชัดอาจจะมีคนบางคนอาศัยเรื่องนี้มาตีกิน-ตีขลุมโยงไปถึงฝ่ายก้าวหน้า-ฝ่ายอำนาจเก่าล้าหลัง พวกคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งที่ผมเห็นมาจึงเข้าใจอะไร ๆ มั่วเปรอะๆ แปลกๆ ชอบกล

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ป้าธิดาควงแขนกลุ่มนิติราษฏร์ แถลงเหตุผลหลักยึดคือรัฐธรรมนูญก่อนปี 2490 เพราะ “ไม่มีตำแหน่งองคมนตรี” และ”ความในหมวดพระมหากษัตริย์ที่ให้อำนาจกษัตริย์น้อยกว่ายุคปัจจุบัน”..ให้ชัดเจนรู้แล้วรู้รอดไปเลยไม่ต้องมานั่งเดากันทีละวงสองวง-จะดีไหม?

** ม.112 รอบลองไฟของแก้ รธน.

กระแส ม.112 กำลังมาจากกรณีอากงเป็นชนวนจุดประกายไฟ

มีคนที่พูดถึงเรื่องดังกล่าวหลายคนแต่ส่วนใหญ่อ้อมแอ้ม คนที่เรียกร้องไม่ชอบมาตรา 112 ยังไม่ชัดเจนเลยว่าตกลงไม่เอามาตรานี้ ให้ยกเลิกเลยหรือว่าให้แก้ไขปรับปรุง

คนที่ชูธงเรียกร้องส่วนใหญ่มองว่าตัวเองเป็นฝ่ายก้าวหน้าปัญญาชนทั้งนั้นแต่เอาเข้าจริงมีใครกี่คนที่ลงรายละเอียดว่า เรียกร้องอะไร ? แบบไหน ? ไม่เอาให้ยกเลิกเลย ? ถ้ามีการหมิ่นประมาทให้พระมหากษัตริย์แต่งตั้งทนายความฟ้องร้องเอง ? หรือให้มีอัยการแผ่นดินดำเนินการแทน? หรือว่าเรียกร้องให้ปรับปรุงแก้ไข? แล้วเนื้อหาให้ปรับปรุงแก้ไขชัดเจนคืออะไร?

ตามข่าวดูยังไม่เคยมีปรากฏในรายละเอียดนอกเสียจากการชูป้ายไม่เอา 112 (เพราะมันง่ายดี) !!!

การแก้กฏหมาย ม.112 แม้จะเป็นกระแสเดียวกันกับการแก้รัฐธรรมนูญตามข้อเสนอคณะนิติราษฏร์ แต่ลงลึกในรายละเอียดกลับเป็นคนละเรื่องกัน (กับการแก้รัฐธรรมนูญ) เพราะม.112 อยู่ในประมวลกฏหมายอาญา เอาเข้าจริงคนเสื้อแดงร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยเสนอแก้กฎหมายให้เสร็จภายในสมัยพระชุมนิติบัญญัติต้นปีนี้ได้ด้วยซ้ำ

อยากเห็นจริง ๆ ครับแต่กลัวจะไม่เห็นน่ะสิ !!?

คนที่ชูธงเรื่องม.112 ก่อนหน้านี้ก็คือคณะนิติราษฏร์ กลุ่มนักกิจการและนักวิชาการรวมไปถึงนักเขียนต่อมามีกระแสอากงก็เริ่มคึกคักขึ้นมา แถมด้วยป้าธิดาในฐานะรักษาการณ์ประธานนปช.ก็ประกาศให้คนเสื้อแดงหนุน

ก็ในเมื่อนปช. กับคนเสื้อแดงหนุนแล้วพรรคเพื่อไทยก็รีบเด้งรับสิครับลงชื่อกันเสนอเข้าสภา หรือให้กระทรวงยุติธรรมเป็นเจ้าภาพเสนอในนามรัฐบาลเลยก็ยังไหว อยากที่บอกเมื่อตอนต้นว่าคนเสื้อแดงแบ่งเป็นคนที่ยังกังขาทักษิณว่าเกี้ยเซียะ อีกกลุ่มมองว่าเป็นกลยุทธ์สู้ไปกราบไป ทักษิณก็ตัดสินใจให้ชัดเจนไปเลยว่าตกลงยังไงแน่ ถ้าไม่เกี้ยเซียะก็เดินหน้า ม.112 ตามด้วยแก้รัฐธรรมนูญย้อนไป 2475 ให้รู้แล้วรู้รอดไป มีเสียงมากเกินครึ่งมิใช่เรอะ

เอาให้ชัด ๆ กันไปรู้แล้วรู้รอดกันไป คิดเสียว่าการแก้กฏหมายอาญา มาตรา 112 เป็นสนามซ้อมก่อนแก้รัฐธรรมนูญหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์ที่เป็นรอบแข่งจริง

ท่าทีของทักษิณ ยุทธศาสตร์ใหม่ของป้าธิดา และกระแสม.112 เหมือนเป็นคนละเรื่องกันแต่ผูกโยงกันแยกไม่ขาด ถึงนาทีนี้ท่าทีที่ชัดเจนของทักษิณเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักมาก ตัดสินใจอะไรสักอย่างไปจะมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อกิจกรรมอื่น ๆ ตราบใดที่พรรคเพื่อไทยยังกุมเสียงข้างมากและเป็นรัฐบาลอยู่ยังไงทักษิณก็เลี่ยงยาก เพราะสุดท้ายทั้งเรื่อง ม.112 เรื่องแก้รัฐธรรมนูญย่อมถูกส่งเข้าไปในสภาฯ วันยังค่ำ

“ทักษิณ+ธิดา จึงจะเท่ากับแก้ ม.112” นี่เป็นสมการการเมืองที่รอคำตอบจากดูไบอยู่ เพราะหากทักษิณไม่เอาด้วยพรรคเพื่อไทยก็จะไม่ยกมือให้ นี่คือความเป็นจริงของการเมืองไทย

โดยสรุปแล้วอยากให้ขบวนการรณรงค์ ม.112 รีบกดดันให้แก้กฏหมายเร็ว ๆ...ขอสารภาพว่าทางหนึ่งเอาใจช่วยให้ดำเนินการเร็ว ๆ เพราะรอดูอยู่นานปัญญาชนกับปนยาชันจะเอายังไงกันแน่ก็ไม่รู้...ทางหนึ่งก็เอาใจแช่งให้แตกหักกันไปจะได้จบ ๆ (ตามประสาคนไม่ชอบดูหนังซีรี่ส์-เหอๆ ) .
กำลังโหลดความคิดเห็น