xs
xsm
sm
md
lg

จากอากง ถึงคำ ผกา cc: นิติราษฎร์

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

คำ ผกาเปลือยอก เรียกร้องให้ปล่อยอากง
1.จากอากง.....

ผมเป็นคนหนึ่งที่ “มีความรู้สึก”ว่าคดีอากงมันมีความทะแม่ง ๆ มีช่องโหว่และความพิกลหลายประการจนยากจะเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าอากงเป็นผู้กด SMS ข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และราชวงศ์

อ่านรายละเอียดการพิจารณาคดี – คำเบิกความพยานโจทย์จำเลยในเว็บไซต์ ilaw - http://ilaw.or.th/node/1229 และกระทู้ในพันทิปมาตั้งแต่ปลายเดือนก่อนในแบบที่ต้องปะติปะต่อรู้มั่งไม่รู้มั่งเนื่องเพราะนี่เป็นประเด็นว่าด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่ต่อให้เข้าใจสาระที่สองฝ่ายนำเสนอแต่หากไม่มีฐานความรู้เฉพาะทางที่แท้จริงมากพอก็จะยังไม่สามารถสรุปตัดสินว่าคำพูดของฝ่ายใดถูกกว่ากัน

นึกถึงตัวเองเคยรับโทรศัพท์ไม่แสดงที่มาของปลายทางเพื่อหลอกล่อให้เราโอนเงินแม้เราจะรู้ทันแต่แก๊งบ้านี่ก็ยังโทรมาหลอกคนได้อยู่ทุกวัน กรณีดังกล่าวทำให้เราหวั่นเกรงเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่อยู่พอสมควร

นึกถึงภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ตัวร้ายปลอมเลขหมายไอพีต้นทางเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตามไปจับกุมแฮกเกอร์ผิดคน นึกถึงตอนที่ตัวเองไปต่างประเทศซื้อซิมการ์ดอินเทอร์เน็ตมาใช้แค่ 3-4 วัน ร้านค้าดังกล่าวยังเรียกพาสปอร์ตมาบันทึกเพื่อจะรู้ว่าเลขหมายดังกล่าวเป็นผู้ใดใช้งานและนึกย้อนกลับมาที่เมืองไทยเห็นใครต่อใครสามารถซื้อซิมการ์ดในเซเว่นอิเลฟเว่นอย่างเสรี ขนาดลงจากเครื่องบินมายังมีบริษัทมือถือประกาศแจกจ่ายซิมไปให้ใช้งานด้วยซ้ำไป

อ่านข่าวต่างประเทศชิ้นหนึ่งเขาบอกว่าโปรแกรมบางตัวในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเป็นสปายรายงานพฤติกรรมและรายละเอียดของตัวเราออกไป...ผมเชื่อ !!

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เป็น End User ทั่วไปแบบมีอะไรมาให้ใช้ก็ใช้ไป...มีมือถือ-คอมพิวเตอร์ออนไลน์แบบไหนก็ใช้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบบแผนการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ต/ออนไลน์ที่ลึกไปกว่าแอนตี้ไวรัส+พาสเวิร์ดมีอะไรบ้าง ยังมีความรู้สึกแบบคนดูหนังฮอลลีวูดว่าข้อมูลความลับ ไฟล์งาน รูปภาพต่าง ๆ ในอีเมล์หรือ FB ของเราเองก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรดอก ทุกอย่างสามารถถูกเรียกดึงมาใช้ประโยชน์ได้หาก “เขา” ต้องการนี่จึงเป็นเหตุให้ระบบราชการค่อนโลกไม่ให้คนของเขาใช้อีเมล์ชื่อดัง และจีนไม่ใช้เฟซบุ๊ก (เขาไม่แยแสกับสาวกปรัชญาเสรีนิยมไซเบอร์สุดโต่งใด ๆ เพราะประวัติศาสตร์ 4 พันปีของจีนเป็นอุทาหรณ์ย้ำเตือนเรื่องความมั่นคงแห่งชาติและภัยคุกคามนานาชนิดจากทั้งภายนอกภายใน)

ด้วยเหตุนานัปการที่อ้างมาผมจึงรู้สึกทะแม่ง ๆ กับคดีอากง โดยเฉพาะกระบวนการจากทั้งฝ่ายโจทย์และฝ่ายจำเลย ที่ล้วนแต่มีช่องว่างระหว่างบรรทัดทำให้คดีนี้ “ไม่ชัด-ไม่สุด”แบบหมดจดสิ้นกระแสความ

เหตุหลัก- เรื่องนี้เป็นประเด็นว่าด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงมาพิสูจน์ ทั้งตำรวจและทั้งทนายจำเลยล้วนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง อ่านบันทึกคำให้การของพยานโจทย์จำเลยก็ยิ่งสงสัยขึ้น ฝ่ายตำรวจกอดเฉพาะหลักฐานอีมี่ (ที่วงการเทคโนโลยีก็ยังเถียงกันพอดู) ขณะที่การต่อสู้ของฝ่ายจำเลยมีพยานแค่ 3 ปากคือทนายจำเลย ตัวผู้ต้องหาและหลานสาวผู้ต้องหา แม้จะอ้างว่าไม่มีใครมาเป็นพยานให้ก็น่าสงสัยอยู่ดี ทำไมไม่ขอหมายศาลเรียกเจ้าหน้าที่รัฐ หรือ กสทช. หรือนักวิชาการด้านนี้มาให้การ แม้กระทั่งเอกสารวิชาการยังแค่พรินต์เอาต์ข้อมูลจากวิกิพีเดียไปยืนยัน ไม่สามารถหาเอกสารวิชาการจากแหล่งที่น่าเชื่อถือกว่านี้แล้วหรือ

ผมนั้นยังไม่สรุปดอกนะครับว่าอากงผิดหรือไม่ผิดจริงตามฟ้อง...ด้วยเหตุที่ทั้งฝ่ายโจทย์และจำเลยยังไม่ได้ร่วมกันแสดงข้อมูลหลักฐานทำให้ผู้ติดตามอย่างผมหายแคลงใจ.... ที่เคยไปถวายพระพรที่ รพ.ศิริราช วันไหน-ช่วงไหน มีหลักฐานในสมุดถวายพระพรหรือไม่ ? ในบ้านมีพระบรมฉายาลักษณ์เหมือนทุกบ้านหรือเปล่า ? ที่บอกว่าอากงส่ง SMS ไม่เป็น ทนายทำไมไม่ขอหมายศาลเรียกขอข้อมูลจากบริษัทโทรศัพท์มายืนยันว่าเบอร์ที่อากงใช้ไม่เคยมีการส่ง SMS มาก่อนเลย (แม้แต่ครั้งเดียว) ? แล้วย่านสำโรงน่ะใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นแหล่งเสื้อแดงตัวพ่อ ก็ยอมรับไปสิว่าอากงเป็นขบวนเสื้อแดงไปร่วมกิจกรรมและไปรู้จักคนเสื้อแดงที่ไปประท้วงเมษาปีกลาย ทนายจำเลยจะเล่นลิ้น(ทางทีวี)ทำไมว่าอากงไปร่วมชุมนุมทุกสี ไปร่วมชุมนุมเสื้อแดงก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน เพราะในความเป็นจริงอาจจะมีคนยืมคนหยิบเครื่องอากงมาใช้เป็นการอำพรางด้วยซ้ำ...แล้วที่ทนายจำเลยบอกสื่อว่าในช่วงนั้นมีข้อความหมิ่น SMS ส่งไปจำนวนมาก มีผู้รับจำนวนมากและผู้ส่งจำนวนมาก..ไม่ลองขอใช้อำนาจศาลขอข้อมูลจากบริษัทมือถือเพื่อแสดงว่า การส่ง SMS แบบนี้เขาทำกันเป็นขบวนการ อากงเป็นแค่เหยื่อ ฯลฯ

แว่บหนึ่งยังอดคิดในเชิง Conspiracy Theory ไม่ได้.. เอ๊ะ ! ทีมทนายความจำเลยตั้งใจไม่สู้เพื่อหวังผลแพ้หรือเปล่า ?

ขณะที่ฝ่ายโจทย์ที่สุดแล้วตำรวจมีเพียงหลักฐานอีมี่และสัญญาณการส่งผ่านเซลไซค์ละแวกบ้านอากงเท่านั้น ไม่ได้มีหลักฐานมัดว่าอากงเป็นผู้กดโทรศัพท์ หรือว่ามีเสื้อแดงตัวจริงแถว ๆ นั้นมาหยิบมือถืออากงไปใช้อำพรางตัว ฯลฯ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้อถกเถียงที่สำคัญที่สุดที่กลายเป็นจุดอ่อนของคดีเนื่องจากเรื่องนี้เป็นประเด็นเทคโนโลยีที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาทุบโต๊ะ ในเมื่อคนในวงการนี้ยังเถียงกันเลยว่าปลอมได้ปลอมไม่ได้เรื่องราวก็ลุกลามขยายวง

โดยสรุปแล้ว ผมมีความรู้สึกคล้าย ๆ กับคนอีก “จำนวนหนึ่ง”ที่เห็นว่าคดีนี้มีข้อกังขาให้ชวนสงสัยและอยากจะเห็นพยานหลักฐานที่แน่นหนาในระดับที่เชื่อได้ว่าผิดหรือไม่ผิดจริง อย่างไรก็ตามความเห็นของผมอาจจะไม่เหมือนกับคน “จำนวนมาก” ที่เชื่อไปแล้วว่าอากงผิด และ ไม่ผิด...เห็นผ่านตาในเว็บบอร์ดในโซเชียลมีเดียคนที่เชื่อว่าผิดต่างก็นำเสนอข้อมูลที่ตนเห็นว่าผิด ขณะที่อีกฝ่ายแสดงความไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้นที่มีข่าวคือประมาณปลาย ๆ เดือนพฤศจิกายนว่า อากงเป็นแพะ อากงไม่ผิด !

คดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์แล้วครับ ไม่ใช่แค่คดีหมิ่นเบื้องสูงเท่านั้น แต่เป็นคดีที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่ที่พัฒนาเร็วมาก ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ หากหลักของขบวนการยุติธรรมเราไม่แม่น ไม่แน่ว่าต่อไปคนไทยที่ถือโทรศัพท์มือถือก็อาจต้องเป็นผู้ต้องหาหมิ่นประมาทได้หมดหากบังเอิญมีใครปลอมแปลง IP/ID/IMEI / Smart card / หรืออะไรก็ตามที่บ่งบอกว่าเราเป็นผู้ครอบครองเจ้าเครื่องมือดังกล่าวนั้น ถือโอกาสที่คดีนี้โด่งดังขึ้นมาผู้เกี่ยวข้องในวงการนี้ควรจะหารือหามาตรฐานแนวทางการกำกับควบคุมป้องกันเสียแต่เนิ่น ๆ กันได้แล้ว ผมชอบความเห็นของ น.พ.ประวิทย์ สถาพรวงศ์ จาก กสทช. ที่มองจากมุมผู้รู้ที่เป็นกลาง ๆ มองไปข้างหน้าถึงแนวทางแก้ปัญหาในอนาคต

มิติการวางมาตรฐานและการป้องกันผู้บริโภคจากเทคโนโลยีการสื่อสารทันสมัยจึงมีความสำคัญต่อคนไทยอีก 70 ล้านคนที่เหลือ เอาหละหักเด็กน้อยใช้โทรศัพท์ใช้เน็ตไม่เป็นก็ร่วม 50 ล้านคน รวมทั้งเด็กมัธยมที่ใช้มือถือได้แล้ว ต่อไปเราทุกคนสามารถจะถูกแอบอ้างกลายเป็นจำเลยได้ทุกเมื่อหากไม่มีการสร้างบรรทัดฐานที่รอบคอบชัดเจนขึ้นมา แต่มิตินี้ถูกมองข้ามไป

กลายเป็นว่าปัจจัยแวดล้อมทางการเมืองที่ปูพื้นอยู่ก่อนทำให้คดีอากงกลายเป็นคดีการเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ

แม้คดีอากงถูกลากให้เป็นหัวรถจักรของขบวนรถไฟการเมืองค่อนข้างชัดแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเราหรือใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับขบวนการผลักดันทางการเมืองที่ให้เรื่องลามไปไกลกว่าเรื่องของอากง...เราก็ยังต้องยึดหลักการนิติรัฐ ยึดหลักคนไม่ผิดไม่ควรถูกลงโทษ หากยังมีช่องโหว่ข้อสงสัยใด ๆ ก็ควรจะพิสูจน์ให้สิ้นกระแสความเอาไว้ให้มั่น

ผมมีความเชื่อว่าหากเราเทิดทูนองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เรายิ่งต้องทำคดีที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ท่านให้ชัดเจนถูกต้องปราศจากข้อกังขาที่สุด

เรื่องอากงมีหลายมิติที่สังคมยังควรจะให้ความสนใจอีก ทั้งมิติเทคโนโลยีสื่อสาร มิติการคุ้มครองผู้บริโภค มิติของขบวนการยุติธรรม ฯลฯ ส่วนใครขบวนการใดพยายามลากเรื่องอากงให้เป็นกระแสผลักดันประเด็นทางการเมืองในเพียงมิติเดียวของเขา ก็ต้องแยกไปพิจารณาว่ากล่าวกันในอีกเรื่องหนึ่ง(แม้จำแนกแยกแยะค่อนข้างยากก็ตามที)

2. ถึงคำ ผกา........

ยอมรับครับว่าที่ผ่านมาผมหลีกเลี่ยงจะปะทะกับคำ ผกา ไม่ว่าด้วยถ้อยคำหรือตัวหนังสือทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดการแสดงออกของเธอหลายต่อหลายครั้ง เช่นครั้งที่ไปขึ้นเวทีอภิปรายว่าด้วยสลิ่มแล้วจับผู้หลักผู้ใหญ่ใครต่อใครยัดเยียดให้เป็นสลิ่มไปเสียหมด ข้อเขียนในมติชนนี่ก็แยงตาอยู่หลายชิ้นเช่นกัน (ขณะที่เธอคงไม่อยากจะประหมัดกับมวยนอกสายตาอย่างผมเช่นกัน...เพราะดูเหมือนเธอมุ่งจะปะทะกับมวยเฮฟวี่เวตระดับจอมยุทธ์เจ้าสำนัก เซเลบริตี้ทั้งนั้น )

ผมกับ คำ ผกา นี่เป็นคนละแวกเดียวกันครับ มีบ้านอยู่บนถนนชนบทเส้นเดียวกัน วันไหนอากาศดีก็ปั่นจักรยานผ่านไปเห็นหลังคาบ้านเธอละแวกสันคะยอมบ่อย ๆ หนำซ้ำยังเคยไปเมาเหล้าแกล้มอาหารฝีมือเธอด้วยซ้ำไป...เพิ่งมาร้าง ๆ กันตอนกีฬาสีนี่แหละ....

จะว่าไป การที่หยิบเธอมากล่าวถึงครั้งนี้ก็น่าหวาดเสียวอยู่ไม่น้อยเหมือนกันว่าจะมีถ้วยถังกะลังหม้ออะไรบ้างที่จะถูกประเคนกลับคืนมา (ฮา) สารภาพว่าบางประเด็นผมก็ไม่รู้จะไปเถียงอะไรกับเธอ เช่น จู่ ๆ จะให้เถียงว่าสลิ่มคืออะไร มันหน่อมแน้มอ่ะ...จะไปเถียงอภิปรายเป็นวักเป็นเวรทำไม-แม้จะไม่เห็นด้วยก็เหอะ หากจะมีวิวาทะกันจริง ๆ ขอเป็นเรื่องประมาณว่าการปฏิรูปการเมืองหรืออะไรที่พอเป็นเนื้อหนังให้เปิดตำราอ้างอิงได้บ้าง โดยสรุปก็คือรอบนี้ขอกล่าวถึง คำ ผกา ผู้เป็นหัวหอกรักอากงพอเป็นสังเขป ยังไม่ถึงขั้นโต้แย้งในเชิงทฤษฎีหรือความคิดใด ๆ ในประเด็นอื่นให้ยุ่งยิ่งเป็นฝอยขัดหม้อเข้าไปใหญ่ ขอว่าเฉพาะเรื่องอากงเป็นหลักไปก่อน

กรณี คำ ผกา เปลือยอกประท้วงไม่ได้เป็นความผิดปกติเกินคาดหมายของผมหรือคนที่รู้จักเธอเลยดอกนะครับคิดอยู่แล้วสักวัน คำ ผกา ต้องแก้ผ้าประท้วงเรื่องอะไรต่อมิอะไรสักเรื่อง เพราะหากศึกษาความคิดของเธอมันก็ชัดเจนว่าการเปิดเผย นม จิ๋ม หรือการตด (ตดที่แปลว่าผายลมกรุณาอย่าสะกดผิด) เป็นเรื่องปกติธรรมชาติสังคมดัดจริตต่างหากที่ทำให้นม จิ๋ม ตด ผิดแผกไป..แล้วนี่ก็ไม่ใช่การแก้ผ้าต่อสาธารณะครั้งแรกของเธอซะที่ไหน ถ้าตีความจากความคิดที่ปรากฏในข้อเขียนและที่ต่าง ๆ สามารถบอกว่าเธอจัดอยู่ในกลุ่ม Nudism แต่บางคนตีความไปถึงว่าเป็น Exhibitionism ซึ่งผมคิดว่าคงไม่ขนาดนั้น ส่วนใครอยากรู้จริง ๆ ควรไปถามเธอเอาเองเพราะผมก็ไม่กล้าถาม-ฮา!

การประท้วงกรณีอากง เกิดขึ้นในโลกอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ปลายพฤศจิกา คนที่รู้จักจำนวนหนึ่งก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับการตัดสินจำคุกอากง 20 ปีผ่าน FB อย่างชัดเจน จนกระทั่งมีผู้เสนอวิธีการประท้วงเงียบโดยการเขียนชื่ออากงในมือโพสต์ใน FB ในเว็บบอร์ด วิธีการประท้วงดังกล่าวก็เริ่มแพร่หลายขึ้นแต่ก็ไม่ดึงดูดมีน้ำหนักเท่ากับ คำ ผกา เปลือยอกที่ทำให้สื่อหลักอย่างมติชนต้องหยิบมานำเสนอตามหลังเว็บไซต์ประชาไทไม่นาน

คำ ผกาเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง ดังนั้นการแสดงออกของเธอมีน้ำหนักมากกว่าปัจเจกชนคนธรรมดาอื่น ๆ อย่างแน่นอน ที่น่าพิจารณากว่า คือภาพลักษณ์ของเธอพ่วงความเป็นผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวแก้ไข ม.112 และกลุ่มนิติราษฏร์ เข้าไปด้วย

ภาพลักษณ์ดังกล่าวจึงเป็นความพิเศษกว่าธรรมดา จะว่าไปการเปลือยอกครั้งนี้เปรียบเสมือนกับการเติมไฟบนหัวรถจักรอากงที่พร้อมอยู่ก่อนแล้วให้แล่นฉิวไปตามทิศทางที่วางรางกำหนดไว้ !

ถ้าไม่มีกระแส ม.112 ไม่มีกระแสแก้รัฐธรรมนูญใหม่โดยอิงความคิดยุคปฏิวัติ 2475 เพื่อกำหนดนิยามความหมายและวิธีคิดของระบอบ Constitutional monarchy ในแบบที่คณะนิติราษฎร์กำลังคิดทำ การแสดงออกไม่เห็นด้วยต่อคดีอากงจะบริสุทธิ์น่ารักปราศจากข้อเคลือบแคลง ปัญหาก็คือคนที่รักอากงมีทั้งคนแค่สงสาร กับทั้งยังมีคนที่มีวาระแฝงเร้นร่วมกระโดดเข้ามาใช้อากงเป็นกระดานหกด้วยเช่นกัน

ป้ายฝ่ามืออากงอาจจะพัฒนาเป็นขบวนการผลักดันรณรงค์ทางสังคม (Social Movement) และสามารถจะขยับขึ้นมาเป็นขบวนการรณรงค์ (โหนกระแส) ออกกฎหมายนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองทั้งหมดรวมไปถึงดา ตอร์ปิโด สมยศ สุรชัย ฯลฯ พร้อมกันไปด้วย ซึ่งผมคิดว่านี่ออกจะเป็นการฉวยโอกาสเยี่ยวปนฝนที่ออกจะโฉ่งฉ่างพอสมควร แต่ก็ไม่แน่เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองอยู่แล้ว การที่แดงซีกซ้ายจะโหนกระแสอากงผลักดันบรรจุนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเข้าไปด้วยก็เป็นไปได้อยู่พอสมควร

บางคนวิจารณ์ว่าลำพังการเปลือยอกชู 2 เต้าเป็นหัวหอกขบวนการรักอากงของ คำ ผกา จะไม่มีผลใด ๆ ต่อคดีอากงอย่างที่บางคนวิจารณ์ว่าเปลือยฟรี ผมกลับมองว่าถูกแค่ครึ่งเดียว การเปลือยสองเต้าอาจจะไม่มีผลต่อคดีอากงแต่กลับจะมีผลต่อกระแสอื่นที่ใหญ่กว่า

เพราะหาก คำ ผกา และผองเพื่อนอยากจะช่วยอากงเป็นผลจริงควรจะระดมความคิดช่วยทีมทนายหาข้อมูลหลักฐาน ผลักดันให้คนน้ำหนักทางสังคม เช่น ส.ส.เพื่อไทยมาร่วมประกันตัว ศาลท่านก็คงสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศอยู่แล้ว มันคือการช่วยอากงที่เป็นเนื้อหนังกว่าถ่ายรูประบายอารมณ์บนเฟซบุ๊ก ในทางกลับกันการเปลือยเต้าของ คำ ผกา กลับมีผลอยู่พอสมควรต่อกระแสการเมืองเรื่องการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมช่วยนักโทษการเมืองคนอื่น ๆ พ่วงผู้ต้องหามาตรา 112 และยังมีผลต่อการตั้ง สสร. 3 ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ผลักดันแนวคิดกลุ่มนิติราษฎร์ที่ประกาศไว้ล่วงหน้า

ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ให้น้ำหนักการผลักดันเรื่อง ม.112 และข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ว่าด้วยยึดแนวทางรัฐธรรมนูญก่อนปี 2490 มากนักเพราะเชื่อว่า นักการเมืองอาชีพและกลุ่มทุนในพรรคเพื่อไทยคงไม่เอาด้วย แต่หากมีกรณีอากง มีกระแสเปลือยเต้าประท้วงที่ดูเท่กลายเป็นแฟชั่นของพวกที่มีแนวคิดก้าวหน้า(และอยากก้าวหน้า) ขึ้นมา ความเป็นไปได้ของนิรโทษพ่วงคดีหมิ่น และร่างรัฐธรรมนูญแบบนิติราษฎร์ก็มีน้ำหนักขึ้นมา อย่าทำเล่นไปนะครับตอนนี้การเปิดนมประกาศรักอากงก็มีให้เห็นบนเน็ตมากขึ้น.. หาใช่นม คำ ผกา แค่สองเต้าซะที่ไหนนมอื่น ๆ ก็มีแล้ว

คนที่รักเอ็นดูอากงมีหลายแบบ แบบที่สงสารและไม่เชื่อว่าทำผิด แบบที่คิดว่ามันน่าจะมีปัญหาในกระบวนการพิจารณาตัดสินแต่ก็เชื่อในกฏหมายหมิ่นฯ แบบที่ไม่เชื่อกฎหมายหมิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว และแบบที่อยากจะขยายความให้ครอบคลุมไปถึงนักโทษหมิ่นเสื้อแดงรวมถึงการร่างรัฐธรรมนูญใหม่

โดยเฉพาะคนที่อยากให้เรื่องนี้ลุกลามเป็นขบวนการรณรงค์ทางการเมืองสมควรจะส่งคำขอบคุณไปสองเต้าของ คำ ผกา โดยพลัน !

3.CC: นิติราษฏร์....

ผมเห็นด้วยกับกลุ่มนิติราษฎร์ในเรื่องปฏิเสธรัฐประหารครับ แต่เอาเข้าจริงข้อเสนอของกลุ่มนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องต่อต้านรัฐประหาร เคยคุยสั้น ๆ กับคุณชำนาญ จันทร์เรือง (ผู้มีบทความสนับสนุนนิติราษฎร์ ) ว่าผมคิดว่าข้อเสนอของนิติราษฎร์ในครั้งครบรอบ 19 ก.ย.ว่าเหมือนกับ “วาดงูเติมขา” เสียดายไม่ได้อธิบายความต่อเพราะไปคุยกันเรื่องอาหารการกินอย่างอื่นเสีย

คำ “วาดงูเติมขา” หมายความว่าเห็นด้วยกับนิติราษฎร์ในหลักการสำคัญ ๆ แค่ส่วนเดียว แต่เมื่อนิติราษฎร์แปลงหลักการมาสู่ข้อเสนอในทางปฏิบัติแล้ว มันก็ตรงกับภาษิตจีนที่ว่า วาดงูเติมขา... รูปภาพบางรูปสมบูรณ์สวยงามในจุดหนึ่งแต่หากศิลปินไม่พอใจเติมโน่นแต่งนี่ภาพดังกล่าวก็จะกลายเป็นอัปลักษณ์พิสดารไป ข้อเสนอของนิติราษฎร์ก็เข้าข่ายดังกล่าวโดยเฉพาะในเรื่องการพยายามแก้รัฐธรรมนูญโดยยึดรัฐธรรมนูญก่อนปี 2490 ซึ่งต้องนำคำแถลงของนิติราษฎร์ที่ถูกบันทึกเสียงมาฟังซ้ำว่าใช้เหตุผลใดมาอ้างอิง เขาบอกในทำนองว่า เพราะปี 2490 มีการรัฐประหารเป็นต้นทางรัฐประหารมาจนปัจจุบัน อ้าวแล้วก่อนปี 2490 ไม่มีรัฐประหารดอกเรอะ !!?

หากกลุ่มนิติราษฎร์ไม่มีวาระ(Agenda) อื่นแอบแฝง ในตอนนั้นมุ่งนำเสนอแค่เรื่องวาระครบรอบ 19 กันยาเพื่อปฏิเสธการรัฐประหารมันก็จบไปแล้ว.. แล้วก็อย่างสวยงามเสียด้วยซ้ำ

แต่ข้อเสนอของนิติราษฎร์ในครั้งนั้นกลับพิสูจน์ด้วยตัวของมันเองว่ามีวาระซ่อนอยู่จริง ๆ โดยเฉพาะเรื่องแก้รัฐธรรมนูญที่ย้อนไปถึงกรอบคิด 2475 กาลเวลาก็พิสูจน์ชัดว่ากลุ่มนิติราษฎร์มี Agenda ข้ามช็อตมาถึงการแก้รัฐธรรมนูญใหม่หรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่อย่างชัดเจน

ผมเชื่อตามที่ อ.วรเจตน์ กล่าวในรายการตอบโจทย์วันที่คุยกับคุณคำนูณ อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ว่ากลุ่มนิติราษฎร์ไม่ได้ล้มเจ้า ไม่ได้เสนอแนวทางสาธารณรัฐ ปมของเรื่องคือสังคมไทยเราฝ่ายที่รักเจ้าจำนวนหนึ่งมักจะเหมาโหลว่าพวกไม่เอาเจ้าคือพวกล้มล้างเหมือนบอลเชวิก-ปฏิวัติฝรั่งเศส อันที่จริงประเด็นทางการเมืองที่กำลังเกิดและเป็นกระแสอยู่คือการผลักดันปฏิรูประบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข Constitutional Monarchy (เสียใหม่) – ใช่ไหมครับนิติราษฎร์ ?

ผมมองว่ากรณีคดีอากงตลอดถึง คำ ผกา เปลือยอก แม้จะเป็นคนละเรื่อง(เดียว)กันแต่ที่สุดมันก็คือประเด็นการเมืองที่ขมวดปมมาสู่กระแสธารเดียวกับสิ่งที่กลุ่มนิติราษฎร์กำลังผลักดันและนำเสนอความคิดอยู่

ผมสำเนาบทความ โดย cc: นิติราษฎร์ ครั้งนี้ก็เผื่อหาก อ.วรเจตน์ หรือท่านใดออกทีวีรอบหน้า แทนที่จะตอบกว้าง ๆ ว่าไม่ใช่พวกล้มเจ้า ไม่เอาระบอบอื่น ไม่เอาสาธารณรัฐ ก็เอาให้เต็มปากไปเลยว่าคำตอบคือ ผลักดันการปฏิรูป Constitutional Monarchy ใช่หรือไม่? เพื่อที่สังคมจะได้ชัดเจนกันไป แล้วก็จะได้ถกเถียงกันในเชิงวิชาการและในคณะ สสร.3 ได้เต็มปาก ไม่ต้องแอบ ๆ ซ่อน ๆ ซุก ๆ อยู่

การผลักดันปฏิรูป Constitutional Monarchy ไม่ได้เป็นเรื่องผิดนะครับ มองในเชิงวิชาการก็มีคำอธิบายเชิงหลักการและความเป็นไปได้ของมันเองอยู่ แต่ไหน ๆ จะผลักดันทั้งทีก็ประกาศให้ชัด สังคมสื่อมวลชนจะได้ไปถามรัฐบาล ไปถามพรรคการเมือง ไปถามทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ปชป.นักวิชาการฝ่ายโน้นนี้ ฝ่ายไหนเอาไม่เอาหนุนไม่หนุนยังไงดีกว่าปล่อยให้คลุมเครือกันอยู่

มีแค่นี้แหละครับวัตถุประสงค์ที่ cc: ถึงกลุ่มนิติราษฎร์... ด้วยความสมานฉันท์หาได้ส่งสารเพื่อท้าทายหรือเป็นปฏิปักษ์แต่อย่างใด.
ภาพการเรียกร้องให้ปล่อยอากง ที่ขยายผลไปถึงการต่อต้่านมาตรา 112 ซึ่งมีการเผยแพร่กันทางโซเชียลมีเดีย
กำลังโหลดความคิดเห็น