คนกรุงเทพฯและปริมณฑลกำลังเครียดเรื่องน้ำท่วม หลายคนกำลังเฝ้าดูว่าน้ำจะท่วมบ้านตัวเองไหม จะท่วมเมื่อไร วันไหน จะลึกแค่เข่าหรือท่วมหัวเหมือนพ่อแม่พี่น้องในหลายเขต
เป็นช่วงเวลาที่หลายคนนั่งเฝ้าหน้าจอทีวีอย่างทุกข์ใจ รอคอยติดตามข่าว เพื่อเตรียมรับมือกับน้ำที่กำลังมา บางคนก็ตั้งตาคอย เมื่อไหร่น้ำจะมาถึง เป็นภาวะที่อึดอัดใจเต็มทีครับ
เรื่องน้ำท่วมเป็นปัญหาหลักของชาติในขณะนี้ ชาวบ้านเฝ้ามองการแก้ไขปัญหาที่ไร้ระบบขาดประสิทธิภาพของรัฐบาล เสียงด่าขรมกันไปทั้งเมือง
ซ้ำร้ายในยามชาวบ้านเดือดร้อนทุกข์ยากแสนสาหัส ยังมีข่าววการแอบอ้างผลประโยชน์ด้วยวิธีการตลาดทางการเมือง เอาของบริจาคจากน้ำใจประชาชนทั่วประเทศ มาปิดป้ายชื่อพวกหน้าด้านฉวยโอกาส
รวมทั้งความไม่โปร่งใสในการจัดการการเงินและของบริจาค วิกฤตหนักหนา ยังไม่วายมีพวกเสือสิงห์กระทิงโหยคอยฮุบประโยชน์เข้าปากอย่างละโมบ
ภาพข้าวของที่ชาวบ้านบริจาค ถูกกองทิ้งเกลื่อนเป็นภูเขาอยู่ในศูนย์ของศปภ.ที่ขนของหนีน้ำจากดอนเมือง และกล่องส้วมฉุกเฉินที่ชาวบ้านอุตส่าห์อาสาช่วยกันทำไปบริจาคถูกทิ้งลอยฟ่อง เห็นภาพนี้แล้ว ต้องบอกว่า รัฐบาลนี้ทั้งเลว โง่ ชุ่ย อย่างทุเรศเหนือคำบรรยาย
ยิ่งชาวบ้านที่อพยพมาพักพิงอยู่กับศูนย์ศปภ.ที่ดอนเมืองถูกรัฐบาลทิ้งเอาไว้ในสภาพถูกตัดน้ำตัดไฟ ต้องใช้คำว่ารัฐบาลนี้สุดทุเรศจริงๆ
โลกในยุคข้อมูลข่าวสารที่แพร่หลายกว้างขวางฉับไวด้วยเครื่องเครื่องมือทันสมัยผ่านอินเทอร์เน็ต แพร่ข่าวและคลิปภาพประจานว่อนไปทั่วสังคมออนไลน์ นักการเมืองชั่วๆและสมุนบริวารอย่าย่ามใจนัก ความชั่วของพวกคุณปกปิดไม่มิดหรอก ชาวบ้านเขารู้เท่าทัน
รัฐบาลประกาศให้ปลายสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาฯ เป็นวันหยุดยาว หวังให้คนออกจากเมืองหลวง หลบภัยน้ำท่วมไปพักพิงบ้านญาติ หรือออกไปจ่ายเงินพักตามโรงแรม รีสอร์ทในต่างจังหวัด เพื่อลดการกินการใช้ในเมืองที่กำลังขาดแคลนอาหารน้ำและสิ่งของจำเป็นหนักขึ้นทุกวัน
อย่าว่าจะช่วยชาวบ้านเลย แม้แต่ศูนย์ศปภ.ที่ดอนเมืองของรัฐบาลยังเอาตัวไม่รอดเลย อย่างที่พี่หนูดีเขียนไว้ในทวิตเตอ์ของเธอเมื่อสองสามวันก่อน “ ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิต พูดแล้วจะร้องไห้….น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว…ผู้นำดง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”
ถ้าไม่ใช่เพราะความเสียสละทำงานช่วยเหลือชาวบ้านของประชาชน อาสาสมัคร หน่วยงานบางหน่วย และพี่ๆทหารทุกเหล่าทัพ ป่านนี้ชาวบ้านคงลอยคอรอความช่วยเหลือกันเป็นแพแล้วหละครับ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประชาชนชาวบ้านอย่างเรา ในวิกฤตยังมีโอกาส ช่วงนี้รายการวิทยุของผู้จัดการ ทางคลื่น fm97.75 ที่ผมร่วมจัดอยู่เป็นประจำในรายการชวนคิดชวนคุย
ทุกวันศุกร์จะเป็นการคุยกันเรื่องเกี่ยวกับภาพยนตร์แนะนำภาพยนตร์ ดีๆที่น่าไปดูในช่วงสุดสัปดาห์ วันนี้ขอเอาแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ มาเป็นข้อคิด เป็นกำลังใจ คลายเครียดในคอลัมน์นี้แทนก็แล้วกันนะครับ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสหลบความน่าเบื่อหน่ายของ ศปภ. ไปดูหนังเพื่อทำการบ้านสำหรับรายการวิทยุ ภาพยนตร์ที่ผมเลือกดูในสัปดาห์นี้ คือ เรื่องท็อปซีเคร็ท วัยรุ่นพันล้าน ชีวิตของเถ้าแก่น้อย อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ นำแสดงโดย พีช พชร จิราธิวัฒน์ ที่ประสบความสำเร็จ ดังจากเรื่อง ซัคซี๊ด ห่วยขั้นเทพ มาก่อนหน้านี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง สามารถทำธุรกิจจนร่ำรวยได้ ด้วยอายุแค่ยี่สิบปีเศษๆเท่านั้น ผมเชื่อว่าตอนผมและอีกหลายๆคนอายุเท่านี้ก็คงจะไม่คิดอะไรได้ขนาดนี้
การนำชีวิตของคนๆหนึ่งมาใส่ไว้ในหนังความยาวสองชั่วโมงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่หนังเรื่องนี้ทำได้ แถมทำได้ดีทีเดียวในสายตาของผม
ชีวิตจริงบนแผ่นฟิล์มของต๊อป หนุ่มเจ้าของสาหร่ายตราเถ้าแก่น้อย ที่เราเห็นมีวางขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก
หนังเริ่มต้นเล่าเรื่อง เด็กหนุ่มอายุ 19 คนหนึ่งเดินเข้าไปในธนาคาร แนะนำตัว แล้วเริ่มต้นเล่าถึงสิ่งที่เขาเคยทำมา เพื่อขอกู้เงินไปทำธุรกิจอะไรสักอย่าง แต่เขาถูกปฏิเสธ
ชีวิตของต๊อป เป็นชีวิตที่ไม่เคยท้อ ต๊อปเริ่มหาเงินได้จากการเล่นเกมส์ตั้ง แต่อยู่ชั้นมัธยม จนสามารถซื้อรถได้เลยทีเดียว
สำหรับคนที่เคยเล่นเกมส์ออนไลน์หลายๆคนเคยทำแบบต๊อปนะผมว่า แต่จะมีสักกี่คนที่ใช้เกมส์เป็นเครื่องมือหาเงิน ส่วนใหญ่เล่นเกมส์แล้วเสียเงิน วัยรุ่นจำนวนมากตกเป็นเหยื่อการเล่นเกมส์ เรื่องนี้ผู้ใหญ่บางคนอาจจะมองเห็นแต่ในแง่ลบที่ลูกหลานเอาแต่เล่นเกมส์ไปวันๆ
เมื่อที่บ้านต๊อปเริ่มมีปัญหาด้านการเงิน ต๊อปตัดสินใจหาเงินด้วยการลองของ เขาซื้อเครื่องดีวีดีสินค้าของจีนมาขาย แต่สุดท้ายก็เจอคนขายหลอก เพราะบางเครื่องก็เจ๊งตั้งแต่ในกล่อง
ทำให้ต๊อปเครียด จนวันนึงต๊อปขับรถไปเจอป้ายมหกรรมอาหาร เขาลองเลี้ยวรถเข้าไปดู และตัดสินใจซื้อเครื่องคั่วเกาลัคอัตโนมัติ มาลองขายเกาลัคคั่ว
ก่อนจะขาย ต๊อปเก็บข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งหลอกถามข้อมูลจากคนขาย ทั้งแอบชิม และถามคนขายตรงๆ ก่อนจะลองคั่วเอง ลองคั่วจนทุกคนที่บ้านบอกว่าอร่อย จึงตัดสินใจขายตามห้าง ด้วยการตั้งชื่อแฟรนไชน์ของตัวเองว่า เถ้าแก่น้อย เกาลัดคั่ว
ช่วงแรกๆก็ขายไม่ดี เขาอดทนสู้ต่อไป จนขายดีขึ้นเรื่อยๆ ขยายได้ถึงสิบสาขาเลยทีเดียว ทำท่าจะไปได้สวย แต่แล้วก็มีปัญหาบางอย่างกับทางห้าง จนในที่สุดต้องเลิกขายไป ส่วนปัญหานั้นคืออะไร ต้องไปชมในโรงภาพยนตร์นะครับ
เจอปัญหาแบบนี้ก็เครียดละซีครับ ระหว่างที่ต๊อปกำลังเครียดๆ ก็ได้ชิมสาหร่ายทอดจากแฟนสาว เขาเกิดปิ๊งไอเดียว่าจะขายสาหร่ายทอด ก่อนจะขาย ต๊อปก็หาข้อมูลเกี่ยวกับสาหร่ายเยอะมาก และลองทอดเสียเงินไปเป็นแสนๆ จนได้สูตรสาหร่ายทอดที่อร่อย
ก่อนจะตัดสินใจนำไปเสนอขายที่ เซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งตอนแรกก็ถูกปฏิเสธ ด้วยรูปลักษ์ของหีบห่อและขนาดของสินค้า รวมไปถึงราคาขาย
ทำให้ต๊อปต้องกลับไปปรับขนาดถุง ลดราคาลง และออกแบบถุงใหม่ ก่อนนำไปเสนออีกครั้ง แต่ก็รอจนท้อ จึงตัดสินใจเอาสินค้าที่จะนำเสนอไปให้พี่ยามเฝ้าหน้าลิฟท์ ทำให้มีหลายคนในเซเว่นสำนักงานใหญ่ได้ลองชิม
สุดท้ายสาหร่ายเถ้าแก่น้อยก็ได้ขายในเซเว่นอีเลฟเว่น เล่ามาถึงตรงนี้ธนาคารก็ยังคงปฎิเสธการกู้เงินของต๊อปในครั้งแรกเพื่อไปทำโรงงาน เพราะที่บ้านมีหนี้ก้อนใหญ่ แต่พี่เจ้าหน้าที่ธนาคารก็ได้พูดถึงบ้านและสินทรัพย์ของครอบครัวต๊อปที่กำลังจะถูกยึด ทำให้ต๊อปรู้ว่าที่บ้านยังมีห้องแถวอยู่
ต๊อปตัดสินใจดัดแปลงห้องแถวนี้ให้กลายเป็นโรงงานทำสาหร่ายทอด เพื่อส่งของล็อตแรกให้เซเว่น และเพื่อรอรับการตรวจสอบคุณภาพโรงงานจากเซเว่น ในอีกสองเดือนข้างหน้า
ในที่สุด ชายหนุ่มคนนี้ก็ทำได้สำเร็จ ตอนนี้เขาทำฟาร์มสาหร่ายเองที่ประเทศเกาหลี รวมถึงสามารถปลดหนี้ให้กับทางบ้านได้จนหมด
ชีวิตของต๊อป เด็กหนุ่มวัยยังไม่ถึงยี่สิบ กล้าคิด กล้าทำ กล้าสู้ ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรค ศึกษาหาข้อมูลหาความรู้ในสิ่งที่จะทำอย่างละเอียด ทดลองทำซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อพัฒนาให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด
หลังวิกฤตน้ำท่วม มหาวิบัติภัยสำหรับประเทศไทยครั้งนี้ ชีวิตผู้คนจำนวนมากล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัว ตกงานกันนับล้าน บัณฑิตจบใหม่คนหนุ่มสาวนับแสนหางานทำไม่ได้
ผมอยากเห็นคนรุ่นใหม่มีแรงบันดาลใจอย่างเถ้าแก่น้อย อยากส่งกำลังใจไปถึงพ่อแม่พี่น้องที่ประสบภัยทุกคน อยากเห็นการแปรวิกฤตเป็นโอกาส กล้าคิด กล้าทำ กล้าเริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างอาชีพใหม่ ด้วยความอดทนมานะพยายาม มีกำลังใจ ไม่ย่อท้อ แล้วเดินไปสู่ความสำเร็จด้วยหนึ่งสมอง สองมือ กับพลังใจที่เกินร้อย
ไม่แน่ว่า บางท่านอาจมาถึงช่วงเวลาของชีวิต ที่จะสามารถพลิกฟื้น ประสพความสำเร็จอย่างเถ้าแก่น้อย แม้จะไม่ถึงขั้นเศรษฐี แต่ก็พอเงยหน้าอ้าปากได้ หรือมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้
น้ำมาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป รักษาชีวิตรอดมาได้ ก็นับว่าดีแล้ว ชีวิตเรายังคงอยู่และต้องดำเนินต่อไป สู้ต่อไป...สู้ สู้ นะครับพ่อแม่พี่น้อง
เป็นช่วงเวลาที่หลายคนนั่งเฝ้าหน้าจอทีวีอย่างทุกข์ใจ รอคอยติดตามข่าว เพื่อเตรียมรับมือกับน้ำที่กำลังมา บางคนก็ตั้งตาคอย เมื่อไหร่น้ำจะมาถึง เป็นภาวะที่อึดอัดใจเต็มทีครับ
เรื่องน้ำท่วมเป็นปัญหาหลักของชาติในขณะนี้ ชาวบ้านเฝ้ามองการแก้ไขปัญหาที่ไร้ระบบขาดประสิทธิภาพของรัฐบาล เสียงด่าขรมกันไปทั้งเมือง
ซ้ำร้ายในยามชาวบ้านเดือดร้อนทุกข์ยากแสนสาหัส ยังมีข่าววการแอบอ้างผลประโยชน์ด้วยวิธีการตลาดทางการเมือง เอาของบริจาคจากน้ำใจประชาชนทั่วประเทศ มาปิดป้ายชื่อพวกหน้าด้านฉวยโอกาส
รวมทั้งความไม่โปร่งใสในการจัดการการเงินและของบริจาค วิกฤตหนักหนา ยังไม่วายมีพวกเสือสิงห์กระทิงโหยคอยฮุบประโยชน์เข้าปากอย่างละโมบ
ภาพข้าวของที่ชาวบ้านบริจาค ถูกกองทิ้งเกลื่อนเป็นภูเขาอยู่ในศูนย์ของศปภ.ที่ขนของหนีน้ำจากดอนเมือง และกล่องส้วมฉุกเฉินที่ชาวบ้านอุตส่าห์อาสาช่วยกันทำไปบริจาคถูกทิ้งลอยฟ่อง เห็นภาพนี้แล้ว ต้องบอกว่า รัฐบาลนี้ทั้งเลว โง่ ชุ่ย อย่างทุเรศเหนือคำบรรยาย
ยิ่งชาวบ้านที่อพยพมาพักพิงอยู่กับศูนย์ศปภ.ที่ดอนเมืองถูกรัฐบาลทิ้งเอาไว้ในสภาพถูกตัดน้ำตัดไฟ ต้องใช้คำว่ารัฐบาลนี้สุดทุเรศจริงๆ
โลกในยุคข้อมูลข่าวสารที่แพร่หลายกว้างขวางฉับไวด้วยเครื่องเครื่องมือทันสมัยผ่านอินเทอร์เน็ต แพร่ข่าวและคลิปภาพประจานว่อนไปทั่วสังคมออนไลน์ นักการเมืองชั่วๆและสมุนบริวารอย่าย่ามใจนัก ความชั่วของพวกคุณปกปิดไม่มิดหรอก ชาวบ้านเขารู้เท่าทัน
รัฐบาลประกาศให้ปลายสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาฯ เป็นวันหยุดยาว หวังให้คนออกจากเมืองหลวง หลบภัยน้ำท่วมไปพักพิงบ้านญาติ หรือออกไปจ่ายเงินพักตามโรงแรม รีสอร์ทในต่างจังหวัด เพื่อลดการกินการใช้ในเมืองที่กำลังขาดแคลนอาหารน้ำและสิ่งของจำเป็นหนักขึ้นทุกวัน
อย่าว่าจะช่วยชาวบ้านเลย แม้แต่ศูนย์ศปภ.ที่ดอนเมืองของรัฐบาลยังเอาตัวไม่รอดเลย อย่างที่พี่หนูดีเขียนไว้ในทวิตเตอ์ของเธอเมื่อสองสามวันก่อน “ ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิต พูดแล้วจะร้องไห้….น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว…ผู้นำดง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”
ถ้าไม่ใช่เพราะความเสียสละทำงานช่วยเหลือชาวบ้านของประชาชน อาสาสมัคร หน่วยงานบางหน่วย และพี่ๆทหารทุกเหล่าทัพ ป่านนี้ชาวบ้านคงลอยคอรอความช่วยเหลือกันเป็นแพแล้วหละครับ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประชาชนชาวบ้านอย่างเรา ในวิกฤตยังมีโอกาส ช่วงนี้รายการวิทยุของผู้จัดการ ทางคลื่น fm97.75 ที่ผมร่วมจัดอยู่เป็นประจำในรายการชวนคิดชวนคุย
ทุกวันศุกร์จะเป็นการคุยกันเรื่องเกี่ยวกับภาพยนตร์แนะนำภาพยนตร์ ดีๆที่น่าไปดูในช่วงสุดสัปดาห์ วันนี้ขอเอาแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ มาเป็นข้อคิด เป็นกำลังใจ คลายเครียดในคอลัมน์นี้แทนก็แล้วกันนะครับ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสหลบความน่าเบื่อหน่ายของ ศปภ. ไปดูหนังเพื่อทำการบ้านสำหรับรายการวิทยุ ภาพยนตร์ที่ผมเลือกดูในสัปดาห์นี้ คือ เรื่องท็อปซีเคร็ท วัยรุ่นพันล้าน ชีวิตของเถ้าแก่น้อย อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ นำแสดงโดย พีช พชร จิราธิวัฒน์ ที่ประสบความสำเร็จ ดังจากเรื่อง ซัคซี๊ด ห่วยขั้นเทพ มาก่อนหน้านี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง สามารถทำธุรกิจจนร่ำรวยได้ ด้วยอายุแค่ยี่สิบปีเศษๆเท่านั้น ผมเชื่อว่าตอนผมและอีกหลายๆคนอายุเท่านี้ก็คงจะไม่คิดอะไรได้ขนาดนี้
การนำชีวิตของคนๆหนึ่งมาใส่ไว้ในหนังความยาวสองชั่วโมงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่หนังเรื่องนี้ทำได้ แถมทำได้ดีทีเดียวในสายตาของผม
ชีวิตจริงบนแผ่นฟิล์มของต๊อป หนุ่มเจ้าของสาหร่ายตราเถ้าแก่น้อย ที่เราเห็นมีวางขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก
หนังเริ่มต้นเล่าเรื่อง เด็กหนุ่มอายุ 19 คนหนึ่งเดินเข้าไปในธนาคาร แนะนำตัว แล้วเริ่มต้นเล่าถึงสิ่งที่เขาเคยทำมา เพื่อขอกู้เงินไปทำธุรกิจอะไรสักอย่าง แต่เขาถูกปฏิเสธ
ชีวิตของต๊อป เป็นชีวิตที่ไม่เคยท้อ ต๊อปเริ่มหาเงินได้จากการเล่นเกมส์ตั้ง แต่อยู่ชั้นมัธยม จนสามารถซื้อรถได้เลยทีเดียว
สำหรับคนที่เคยเล่นเกมส์ออนไลน์หลายๆคนเคยทำแบบต๊อปนะผมว่า แต่จะมีสักกี่คนที่ใช้เกมส์เป็นเครื่องมือหาเงิน ส่วนใหญ่เล่นเกมส์แล้วเสียเงิน วัยรุ่นจำนวนมากตกเป็นเหยื่อการเล่นเกมส์ เรื่องนี้ผู้ใหญ่บางคนอาจจะมองเห็นแต่ในแง่ลบที่ลูกหลานเอาแต่เล่นเกมส์ไปวันๆ
เมื่อที่บ้านต๊อปเริ่มมีปัญหาด้านการเงิน ต๊อปตัดสินใจหาเงินด้วยการลองของ เขาซื้อเครื่องดีวีดีสินค้าของจีนมาขาย แต่สุดท้ายก็เจอคนขายหลอก เพราะบางเครื่องก็เจ๊งตั้งแต่ในกล่อง
ทำให้ต๊อปเครียด จนวันนึงต๊อปขับรถไปเจอป้ายมหกรรมอาหาร เขาลองเลี้ยวรถเข้าไปดู และตัดสินใจซื้อเครื่องคั่วเกาลัคอัตโนมัติ มาลองขายเกาลัคคั่ว
ก่อนจะขาย ต๊อปเก็บข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งหลอกถามข้อมูลจากคนขาย ทั้งแอบชิม และถามคนขายตรงๆ ก่อนจะลองคั่วเอง ลองคั่วจนทุกคนที่บ้านบอกว่าอร่อย จึงตัดสินใจขายตามห้าง ด้วยการตั้งชื่อแฟรนไชน์ของตัวเองว่า เถ้าแก่น้อย เกาลัดคั่ว
ช่วงแรกๆก็ขายไม่ดี เขาอดทนสู้ต่อไป จนขายดีขึ้นเรื่อยๆ ขยายได้ถึงสิบสาขาเลยทีเดียว ทำท่าจะไปได้สวย แต่แล้วก็มีปัญหาบางอย่างกับทางห้าง จนในที่สุดต้องเลิกขายไป ส่วนปัญหานั้นคืออะไร ต้องไปชมในโรงภาพยนตร์นะครับ
เจอปัญหาแบบนี้ก็เครียดละซีครับ ระหว่างที่ต๊อปกำลังเครียดๆ ก็ได้ชิมสาหร่ายทอดจากแฟนสาว เขาเกิดปิ๊งไอเดียว่าจะขายสาหร่ายทอด ก่อนจะขาย ต๊อปก็หาข้อมูลเกี่ยวกับสาหร่ายเยอะมาก และลองทอดเสียเงินไปเป็นแสนๆ จนได้สูตรสาหร่ายทอดที่อร่อย
ก่อนจะตัดสินใจนำไปเสนอขายที่ เซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งตอนแรกก็ถูกปฏิเสธ ด้วยรูปลักษ์ของหีบห่อและขนาดของสินค้า รวมไปถึงราคาขาย
ทำให้ต๊อปต้องกลับไปปรับขนาดถุง ลดราคาลง และออกแบบถุงใหม่ ก่อนนำไปเสนออีกครั้ง แต่ก็รอจนท้อ จึงตัดสินใจเอาสินค้าที่จะนำเสนอไปให้พี่ยามเฝ้าหน้าลิฟท์ ทำให้มีหลายคนในเซเว่นสำนักงานใหญ่ได้ลองชิม
สุดท้ายสาหร่ายเถ้าแก่น้อยก็ได้ขายในเซเว่นอีเลฟเว่น เล่ามาถึงตรงนี้ธนาคารก็ยังคงปฎิเสธการกู้เงินของต๊อปในครั้งแรกเพื่อไปทำโรงงาน เพราะที่บ้านมีหนี้ก้อนใหญ่ แต่พี่เจ้าหน้าที่ธนาคารก็ได้พูดถึงบ้านและสินทรัพย์ของครอบครัวต๊อปที่กำลังจะถูกยึด ทำให้ต๊อปรู้ว่าที่บ้านยังมีห้องแถวอยู่
ต๊อปตัดสินใจดัดแปลงห้องแถวนี้ให้กลายเป็นโรงงานทำสาหร่ายทอด เพื่อส่งของล็อตแรกให้เซเว่น และเพื่อรอรับการตรวจสอบคุณภาพโรงงานจากเซเว่น ในอีกสองเดือนข้างหน้า
ในที่สุด ชายหนุ่มคนนี้ก็ทำได้สำเร็จ ตอนนี้เขาทำฟาร์มสาหร่ายเองที่ประเทศเกาหลี รวมถึงสามารถปลดหนี้ให้กับทางบ้านได้จนหมด
ชีวิตของต๊อป เด็กหนุ่มวัยยังไม่ถึงยี่สิบ กล้าคิด กล้าทำ กล้าสู้ ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรค ศึกษาหาข้อมูลหาความรู้ในสิ่งที่จะทำอย่างละเอียด ทดลองทำซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อพัฒนาให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด
หลังวิกฤตน้ำท่วม มหาวิบัติภัยสำหรับประเทศไทยครั้งนี้ ชีวิตผู้คนจำนวนมากล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัว ตกงานกันนับล้าน บัณฑิตจบใหม่คนหนุ่มสาวนับแสนหางานทำไม่ได้
ผมอยากเห็นคนรุ่นใหม่มีแรงบันดาลใจอย่างเถ้าแก่น้อย อยากส่งกำลังใจไปถึงพ่อแม่พี่น้องที่ประสบภัยทุกคน อยากเห็นการแปรวิกฤตเป็นโอกาส กล้าคิด กล้าทำ กล้าเริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างอาชีพใหม่ ด้วยความอดทนมานะพยายาม มีกำลังใจ ไม่ย่อท้อ แล้วเดินไปสู่ความสำเร็จด้วยหนึ่งสมอง สองมือ กับพลังใจที่เกินร้อย
ไม่แน่ว่า บางท่านอาจมาถึงช่วงเวลาของชีวิต ที่จะสามารถพลิกฟื้น ประสพความสำเร็จอย่างเถ้าแก่น้อย แม้จะไม่ถึงขั้นเศรษฐี แต่ก็พอเงยหน้าอ้าปากได้ หรือมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้
น้ำมาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป รักษาชีวิตรอดมาได้ ก็นับว่าดีแล้ว ชีวิตเรายังคงอยู่และต้องดำเนินต่อไป สู้ต่อไป...สู้ สู้ นะครับพ่อแม่พี่น้อง