xs
xsm
sm
md
lg

วงจรอุบาทว์เลือกตั้ง (๒)

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

ในการบริหารเลือกตั้ง หัวใจสำคัญของเป้าหมายคือต้องเอาชนะคู่แข่งขันให้ได้

นั่นหมายความว่าจะต้องใช้เงินและดำเนินการทุกวิถีทางที่จะให้ได้คะแนนเหนือกว่าผู้สมัครที่เป็นคู่แข่งทุกคน

การบริหารเลือกตั้งซึ่งนำไปสู่การซื้อเสียงอย่างเป็นระบบ จึงมักจะเริ่มต้นด้วยการบริหารพื้นที่เขตเลือกตั้งของผู้สมัคร

ซึ่งแบ่งง่ายๆ เป็นพื้นที่แข่งขันกันในระดับสูงมาก สูงปานกลาง และสูงน้อย

แต่ละระดับใช้เงินมากน้อยเรียงกันลงมา

เมื่อรู้พื้นที่แล้วก็จัดแบ่งหมู่บ้าน แยกจำแนกประชากรในหมู่บ้าน ตำบลอำเภอออกมาให้ชัดเจน

จัดหาบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ครบ

จัดระบบหัวคะแนนให้ครบในแต่ละพื้นที่

วางระบบสื่อสาร การขนส่ง จัดระบบรถยนต์หาเสียง หน่วยเคลื่อนที่ติดโปสเตอร์ ระดมคนช่วยในกิจการต่างๆ เฉพาะกิจฯลฯ

จัดตั้งสำนักงานกลางและสำนักงานสาขาในการหาเสียง

ให้มีห้องวอร์รูมหรือห้องวางยุทธศาสตร์การเลือกตั้งซึ่งข้างในห้องจะมีเจ้าหน้าที่ประจำ

มีแผนที่เขตเลือกตั้ง

มีบัญชีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของแต่ละหน่วยเลือกตั้ง

มีหน่วยตรวจสอบการทำโพลล์รวมอยู่ด้วย

นี่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนเคยเห็นมาในการหาเสียงของผู้สมัครบางคนเมื่อหลายปีมาแล้วในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน

ผู้สมัครท่านนี้จบปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ

เคยเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐมาก่อน และมีเงินมากพอที่จะเล่นการเมือง

แต่ต้องมาใช้เงินสู้กับส.ส.ในพื้นที่ที่ซื้อเสียง (ไม่ได้ซื้อทุกพื้นที่)

ผลคือเขาชนะอย่างท่วมท้นและมาเป็นที่หนึ่งด้วยระบบแมนเนจเม้นท์ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า

กลับมาพิจารณาเรื่องการซื้อเสียงในระบบ Vote Management กันอีกที

หัวใจของระบบนี้คือบริหารบัญชีรายชื่อครับ

เรียกว่าการใช้เงินเพื่อซื้อคะแนนให้ได้ประสิทธิภาพ

สมัยก่อนยี่สิบบาทต่อคะแนนก็ได้แล้วครับ

ต่อมาก็เพิ่มเป็นสี่สิบบาทและแปดสิบบาทในเขตเมืองก็ร้อยบาท

มีคนบอกผมว่าชานเมืองในกทม.หัวละ ๕๐๐ บาท หรือ ๑,๐๐๐ บาท ต่อครัวเรือนก็มี

ในการแบ่งเงินเพื่อบริหารคะแนนตามบัญชีรายชื่อนี้จะทำกันเป็นสายงานโดยให้หัวคะแนนรับผิดชอบเป็นสายๆ ไป

และให้ไปแจกกันสองรอบ

รอบแรกจ่ายกันไปแล้วก็ต้องซ้ำเพื่อดูว่าเข้าเป้าหรือเปล่า

เหตุที่ต้องจ่ายกันสองรอบเพราะว่าคู่แข่งขันอาจจะมาทีหลังแล้วจ่ายมากกว่าทำให้เราต้องเสียคะแนนไปดังนั้นจึงต้องซ้ำทำให้เงินฝ่ายเรามากกว่า หลังการจ่ายรอบแรกไปแล้ว

หน่วยสุ่มวิจัยก็จะออกไปสำรวจละครับ

การสำรวจก็เพื่อดูว่าคะแนนนิยมของเราเป็นอย่างไรบ้าง

จะได้รู้กันแจ่มแจ้งไปว่า หมู่บ้านไหนเป็นอย่างไร

ทีมนักวิจัยมีไว้ไม่ใช่แค่ทำวิจัยเป็นรอบๆ

แต่ยังมีหน้าที่ไปสังเกตการณ์ขณะผู้สมัครเดินหาเสียงด้วย

ตัวอย่างเช่นถ้าเดินไปหาเสียงพบว่าหมู่บ้านไหนชาวบ้านมาฟังการอภิปรายโดยยืนกันไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย

แสดงว่าหัวคะนนจัดตั้งลูกบ้านไม่มีวินัย

และการแจกเงินอาจจะไม่มีประสิทธิภาพได้

แม้ว่าการบริหารคะแนนและการบริหารการเลือกตั้งจะมีประสิทธิภาพแค่ไหนแต่บางครั้งก็อาจจะเกิดช่องโหว่ได้เสมอ หากเงินไม่ถึงหรือคู่แข่งมีความชำนาญมากกว่าก็อาจจะชนะได้ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้วิธีบริหารการเลือกตั้งที่ทันสมัย

ระบบการซื้อเสียงนี้ทางราชการพยายามที่จะป้องกันมาทุกสมัยและใช้วิธีการต่างๆ นานา แต่ก็ไม่อาจจะสำเร็จ

ที่ฮือฮาที่สุดเห็นจะเป็นการจัดตั้งองค์กรกลางเพื่อการเลือกตั้ง ซึ่งองค์กรกลางประกอบด้วยเอ็นจีโอ นักวิชาการและบุคคลากรในภาครัฐและเอกชนที่มีชื่อเสียง องค์กรกลางยังมีหน่วยแจ้งเหตุ ทีมนักกฎหมาย ฝ่ายรณรงค์ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ และมีเครือข่ายเชื่อมโยงกับโรงเรียน มหาวิทยาลัยในภูมิภาค

องค์กรกลางจึงทำงานในระดับชาติและทำงานเชิงลึกด้วย

เชิงลึกคือลงไปถึงหมู่บ้าน และลงไปดูการซื้อขายเสียง

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งๆ ที่เห็นกันตำตา ไปแจ้งใครก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อคนซื้อเสียงขายเสียงคือพวกเจ้าหน้าที่กำนันผู้ใหญ่บ้านเสียเอง แม้แต่ในหน่วยเลือกตั้งการทุจริตก็ยังเกิดขึ้นได้เสมอ

ด้วยเหตุนี้ การซื้อขายเสียง จึงเป็นเสมือนวงจรอุบาทว์ในระดับล่างสุดของสังคมไทยที่สุดจะเยียวยาและได้กลายมาเป็นประเพณีที่ประพฤติปฏิบัติทุกครั้งเมื่อมีการเลือกตั้ง

เราจึงได้ส.ส.หน้าเก่า

ที่ขึ้นไปเป็นรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลหน้าเก่าๆ

บริหารบ้านเมืองแบบไม่เอาไหนกันนี่แหละครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น