ไหนๆ ไม่นานก็จะมีการเลือกตั้งกันแล้ว
คอลัมน์พระบาทก็จะใช้พื้นที่มากหน่อยพูดถึงเรื่องนี้
และหวังว่าจะเป็นความรู้สำหรับผู้อ่านไม่มากก็น้อย
ขอเริ่มจากปัญหาเรื่องการเลือกตั้งแล้วกัน
เรารู้ๆ กันอยู่ว่า เลือกตั้งในบ้านเรามีปัญหาที่เป็นวงจรอุบาทว์อยู่ตรงที่เราเลือกส.ส.ทีไรได้ส.ส.ที่มาจากการซื้อขายเสียงทุกที และเมื่อเลือกตั้งใหม่คนพวกนี้ก็ใช้วิธีซื้อขายเสียงกลับเข้ามานั่งในสภา
วงจรอุบาทว์นี้ เราจึงได้ส.ส.เดิม คุณภาพเดิม
พยายามแก้กัน แต่ก็แก้กันไม่หาย
วงจรอุบาทว์ในที่นี้ก็คือ ระบบการซื้อขายเสียงที่เราควรวิเคราะห์
และต้องทำความเข้าใจว่า ส.ส.ซื้อขายกันอย่างไร
เพราะหากเราเข้าใจ จะได้ช่วยกันคิดว่าจะแก้กันได้อย่างไร
จึงจะยุติการซื้อขายเสียงนี้ได้เสียที เพราะมันผิดกฎหมายและเป็นการได้ส.ส.มาอย่างไม่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม
แต่เราจะต้องดูว่าในบริบทของสังคมไทยนั้น มีช่องโหว่อยู่มาก
อย่างน้อยค่านิยมไทยเรื่องบุญคุณและการตอบแทนคุณคนเป็นเรื่องสำคัญ
การจ่ายเงินซื้อเสียง โดยผู้ให้เงินกับผู้รับเงินเป็นการแลกเปลี่ยนที่กลายเป็นว่า การให้กับการรับที่มีบุญคุณต่อกัน ไม่ใช่แลกกันเฉยๆ
สังคมไทยมีขนบธรรมเนียม ประเพณีดังเดิมที่การตอบแทนระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ผู้ใหญ่กับผู้น้อย คนมีอำนาจกับผู้ด้อยอำนาจ นายกับบ่าว ฯลฯ อิทธิพลความเชื่อเหล่านี้
เมื่อปรับกับการเมือง
ทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องที่ต้องตอบแทนกัน
ผู้สมัครส.ส.ในต่างจังหวัดนั้น ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า มักจะเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นผู้มีอิทธิพลในจังหวัด
ดังนั้นจึงเป็นที่เคารพของชาวบ้านโดยนัยยะอยู่แล้ว
เมื่อหันมาลงสมัครรับเลือกตั้งและเริ่มแจกเงินเพื่อแลกกับคะแนนเสียง
ชาวบ้านเห็นว่า เป็นเรื่องที่ต้องตอบแทน เพราะผู้สมัครเป็นคนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รักใคร่
หรือเคยทำความเจริญมาให้พื้นที่ของตนมาก่อน
ดังนั้นการลงคะแนนจากเงินที่ให้มาจึงเป็นเรื่องมากกว่าตอบแทนค่าของเงิน
แต่เป็นเรื่องของบุญคุณกันเลยทีเดียว
สำหรับส.ส.ที่แม้จะไม่ใช่ผู้มีบารมีแต่มีอำนาจเงินเพียงอย่างเดียว เงินก็ถูกจัดการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
ผ่านทางหัวคะแนนครับ
หัวคะแนนอาจเป็นผู้มีอิทธิพล
บ้างก็เป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านที่ประชาชนนับถืออยู่แล้ว
การซื้อเสียงก็จะง่ายเข้า การควบคุมเงินและคะแนนก็ง่าย
ส.ส.ก็ใช้เงินแบบเหมารวมและไม่ต้องออกพื้นที่ให้เหนื่อยยากทุกวัน แค่ปราศรัยเป็นบางจุดใหญ่ๆ ก็พอ
การซื้อขายเสียงนี่ ไม่ใช่แค่จะมีแต่ในต่างจังหวัดเท่านั้นนะครับ
ชานเมืองกทม.บางเขตก็มีเหมือนกัน
ไม่ใช่ไม่มีและจ่ายกันหัวละพันบาทครับ
นอกเหนือจากการซื้อๆ ขายๆ แล้ว ยังมีรายการแจกจ่ายสิ่งของอีกมากมาย รวมทั้งพวกให้สัญญาว่าจะสร้างโน่นสร้างนี่ต่างหาก ที่นิยมกันมาก แม้ในกทม.ก็คือที่พักป้ายรถเมล์ สะพานในสลัม ถนนสายต่างๆ ฯลฯ การให้สัญญาแบบนี้ความจริงผิดกฎหมาย แต่นิยมทำกันเกือบทุกพรรคแหละครับ
เรื่องการซื้อขายเสียง แก้อย่างไรก็แก้ได้ยาก
แถมยังมีการพัฒนาให้ทันสมัยไปอีกมาก เทคนิคการซื้อเสียงได้ก้าวหน้าทันสมัยไปเยอะจนจำไม่หวาดไม่ไหว
มีการพัฒนาไปเป็นศาสตร์และกลายเป็นหลักวิชาสำหรับการเลือกตั้งเพื่อให้การโกงสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แนบเนียนยิ่งขึ้น
ส.ส.ที่มีความรู้ เรียนหนังสือมาเยอะ เป็นกลุ่มที่ใช้หลักวิชาเข้ามาจัดการเลือกตั้งให้รัดกุมขึ้น
เรียกว่าให้ซื้อเสียงอย่างละเอียดมากขึ้น
มีวิชาการทันสมัย มีเครือข่ายก้าวหน้า ทั้งอุปกรณ์อื่นๆ ทีวี ระบบงานและกลยุทธหรือเล่ห์กลอีกมากมาย
เราอาจจะกล่าวมาบ้างในตอนแรกนี้พอให้เข้าใจได้บ้าง
สำหรับคอลัมน์พระบาท อาทิตย์นี้เราพอจะสรุปสั้นๆ ว่าวิชาการเพื่อการซื้อเสียงนี้ทำกันมาร่วมสิบกว่าปีแล้ว
และใช้กันแพร่หลายแบบประกันสอบได้แน่ๆ เสียด้วย
จะขอเกริ่นพอเป็นสังเขปดังนี้ เพื่ออธิบายอีกทีในครั้งหน้านะครับ
วิธีบริหารเลือกตั้ง เรียกว่า อีเล็กชั่น แมนเนจเม้นท์ หรือ Electioneering เป็นกระบวนการให้ได้มาซึ่งการเลือกตั้งที่ผู้สมัครจะชนะการเลือกตั้ง (ในที่นี้ด้วยการซื้อเสียง)
การซื้อเสียงทำได้ด้วยการบริหารคะแนน หรือ ที่เรียกว่าโหวตแมนเนจเม้นท์ (Vote Management) ซึ่งผู้สมัครจัดการซื้อเสียงด้วยวิธีเข้าไปจัดการกับการซื้อคะแนนเสียงครับ
นอกจากสองสามอย่างที่กล่าวมานี้ยังมีอีกสองสามอย่างที่จะกล่าวถึงโดยละเอียดในตอนหน้าครับ
คอลัมน์พระบาทก็จะใช้พื้นที่มากหน่อยพูดถึงเรื่องนี้
และหวังว่าจะเป็นความรู้สำหรับผู้อ่านไม่มากก็น้อย
ขอเริ่มจากปัญหาเรื่องการเลือกตั้งแล้วกัน
เรารู้ๆ กันอยู่ว่า เลือกตั้งในบ้านเรามีปัญหาที่เป็นวงจรอุบาทว์อยู่ตรงที่เราเลือกส.ส.ทีไรได้ส.ส.ที่มาจากการซื้อขายเสียงทุกที และเมื่อเลือกตั้งใหม่คนพวกนี้ก็ใช้วิธีซื้อขายเสียงกลับเข้ามานั่งในสภา
วงจรอุบาทว์นี้ เราจึงได้ส.ส.เดิม คุณภาพเดิม
พยายามแก้กัน แต่ก็แก้กันไม่หาย
วงจรอุบาทว์ในที่นี้ก็คือ ระบบการซื้อขายเสียงที่เราควรวิเคราะห์
และต้องทำความเข้าใจว่า ส.ส.ซื้อขายกันอย่างไร
เพราะหากเราเข้าใจ จะได้ช่วยกันคิดว่าจะแก้กันได้อย่างไร
จึงจะยุติการซื้อขายเสียงนี้ได้เสียที เพราะมันผิดกฎหมายและเป็นการได้ส.ส.มาอย่างไม่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม
แต่เราจะต้องดูว่าในบริบทของสังคมไทยนั้น มีช่องโหว่อยู่มาก
อย่างน้อยค่านิยมไทยเรื่องบุญคุณและการตอบแทนคุณคนเป็นเรื่องสำคัญ
การจ่ายเงินซื้อเสียง โดยผู้ให้เงินกับผู้รับเงินเป็นการแลกเปลี่ยนที่กลายเป็นว่า การให้กับการรับที่มีบุญคุณต่อกัน ไม่ใช่แลกกันเฉยๆ
สังคมไทยมีขนบธรรมเนียม ประเพณีดังเดิมที่การตอบแทนระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ผู้ใหญ่กับผู้น้อย คนมีอำนาจกับผู้ด้อยอำนาจ นายกับบ่าว ฯลฯ อิทธิพลความเชื่อเหล่านี้
เมื่อปรับกับการเมือง
ทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องที่ต้องตอบแทนกัน
ผู้สมัครส.ส.ในต่างจังหวัดนั้น ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า มักจะเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นผู้มีอิทธิพลในจังหวัด
ดังนั้นจึงเป็นที่เคารพของชาวบ้านโดยนัยยะอยู่แล้ว
เมื่อหันมาลงสมัครรับเลือกตั้งและเริ่มแจกเงินเพื่อแลกกับคะแนนเสียง
ชาวบ้านเห็นว่า เป็นเรื่องที่ต้องตอบแทน เพราะผู้สมัครเป็นคนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รักใคร่
หรือเคยทำความเจริญมาให้พื้นที่ของตนมาก่อน
ดังนั้นการลงคะแนนจากเงินที่ให้มาจึงเป็นเรื่องมากกว่าตอบแทนค่าของเงิน
แต่เป็นเรื่องของบุญคุณกันเลยทีเดียว
สำหรับส.ส.ที่แม้จะไม่ใช่ผู้มีบารมีแต่มีอำนาจเงินเพียงอย่างเดียว เงินก็ถูกจัดการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
ผ่านทางหัวคะแนนครับ
หัวคะแนนอาจเป็นผู้มีอิทธิพล
บ้างก็เป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านที่ประชาชนนับถืออยู่แล้ว
การซื้อเสียงก็จะง่ายเข้า การควบคุมเงินและคะแนนก็ง่าย
ส.ส.ก็ใช้เงินแบบเหมารวมและไม่ต้องออกพื้นที่ให้เหนื่อยยากทุกวัน แค่ปราศรัยเป็นบางจุดใหญ่ๆ ก็พอ
การซื้อขายเสียงนี่ ไม่ใช่แค่จะมีแต่ในต่างจังหวัดเท่านั้นนะครับ
ชานเมืองกทม.บางเขตก็มีเหมือนกัน
ไม่ใช่ไม่มีและจ่ายกันหัวละพันบาทครับ
นอกเหนือจากการซื้อๆ ขายๆ แล้ว ยังมีรายการแจกจ่ายสิ่งของอีกมากมาย รวมทั้งพวกให้สัญญาว่าจะสร้างโน่นสร้างนี่ต่างหาก ที่นิยมกันมาก แม้ในกทม.ก็คือที่พักป้ายรถเมล์ สะพานในสลัม ถนนสายต่างๆ ฯลฯ การให้สัญญาแบบนี้ความจริงผิดกฎหมาย แต่นิยมทำกันเกือบทุกพรรคแหละครับ
เรื่องการซื้อขายเสียง แก้อย่างไรก็แก้ได้ยาก
แถมยังมีการพัฒนาให้ทันสมัยไปอีกมาก เทคนิคการซื้อเสียงได้ก้าวหน้าทันสมัยไปเยอะจนจำไม่หวาดไม่ไหว
มีการพัฒนาไปเป็นศาสตร์และกลายเป็นหลักวิชาสำหรับการเลือกตั้งเพื่อให้การโกงสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แนบเนียนยิ่งขึ้น
ส.ส.ที่มีความรู้ เรียนหนังสือมาเยอะ เป็นกลุ่มที่ใช้หลักวิชาเข้ามาจัดการเลือกตั้งให้รัดกุมขึ้น
เรียกว่าให้ซื้อเสียงอย่างละเอียดมากขึ้น
มีวิชาการทันสมัย มีเครือข่ายก้าวหน้า ทั้งอุปกรณ์อื่นๆ ทีวี ระบบงานและกลยุทธหรือเล่ห์กลอีกมากมาย
เราอาจจะกล่าวมาบ้างในตอนแรกนี้พอให้เข้าใจได้บ้าง
สำหรับคอลัมน์พระบาท อาทิตย์นี้เราพอจะสรุปสั้นๆ ว่าวิชาการเพื่อการซื้อเสียงนี้ทำกันมาร่วมสิบกว่าปีแล้ว
และใช้กันแพร่หลายแบบประกันสอบได้แน่ๆ เสียด้วย
จะขอเกริ่นพอเป็นสังเขปดังนี้ เพื่ออธิบายอีกทีในครั้งหน้านะครับ
วิธีบริหารเลือกตั้ง เรียกว่า อีเล็กชั่น แมนเนจเม้นท์ หรือ Electioneering เป็นกระบวนการให้ได้มาซึ่งการเลือกตั้งที่ผู้สมัครจะชนะการเลือกตั้ง (ในที่นี้ด้วยการซื้อเสียง)
การซื้อเสียงทำได้ด้วยการบริหารคะแนน หรือ ที่เรียกว่าโหวตแมนเนจเม้นท์ (Vote Management) ซึ่งผู้สมัครจัดการซื้อเสียงด้วยวิธีเข้าไปจัดการกับการซื้อคะแนนเสียงครับ
นอกจากสองสามอย่างที่กล่าวมานี้ยังมีอีกสองสามอย่างที่จะกล่าวถึงโดยละเอียดในตอนหน้าครับ