xs
xsm
sm
md
lg

2012 อาจเพ้อเจ้อ แต่โลกเอาคืนสิของจริง

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

ช่วงหลายวันมานี้ผมหมกมุ่นอยู่กับข้อมูล/หนังสือ/เว็บไซต์/ตำรับตำราว่าด้วยโลกร้อน/ธรรมชาติเอาคืน ไปจนถึงทฤษฎีวันสิ้นโลกมากขึ้นจนแทบจะทิ้งสิ่งที่เคยสนใจด้านอื่น ๆ ไปเสียสนิท

ด้วยความที่ไม่มีต้นทุนความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มากพอการทำความเข้าใจกับเรื่องบางเรื่องจึงดูยุ่งยากพอสมควรโดยเฉพาะเรื่องสนามแม่เหล็กตลอดถึงมุมและองศาทางดาราศาสตร์ ก็แปลกใจกับตัวเองอยู่เหมือนกันเพราะบางเรื่องบางประเด็นเคยผ่านตามาก่อนแต่ไม่ได้สนใจเพราะเข้าใจว่าเป็นจินตนาการ

อย่างเรื่องขั้วแม่เหล็กโลกพลิก (ขอวงเล็บภาษาอังกฤษเพราะจะได้เข้าใจตรงกันว่าหมายถึง Magnetic pole reversal ) ที่โลกกำลังหวาดกลัวว่ามันจะเกิดในปี 2012 แท้จริงแล้วผมเคยได้รับการอธิบายแบบง่าย ๆ ด้วยวิธีการละเมียดละไมมาก่อนแล้วจากการอ่านนิยายจีน (เกี่ยวกันด้วยหรือ-หือ?) ก็น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่มันมาเกี่ยวกันได้เนื่องจากว่าผมนิยมอ่านกำลังภายในของหวงอี้ ไล่ติดตามอ่านทุกเรื่องทุกชิ้นจนล่าสุดมีซีรี่ส์นิยายสั้นเชิงวิทยาศาสตร์แอ๊คชั่นที่ไม่เกี่ยวกับบู๊ลิ้มเลยเรื่อง “ผจญภัยข้ามขอบฟ้า” ตัวเอกชื่อว่า หลิงตู้หวี่ (ถ้านิยายเป็นจริงอีตานี่คงจะทำให้ประเทศจีนกลายเป็นมหาอำนาจเหนือตะวันตกเพราะเก่งกว่าเจมส์ บอนด์ บวกแรมโบ้เสียอีกเพราะมีกำลังภายในและญาณวิเศษแบบตะวันออก)

มีอยู่ตอนหนึ่งนิยายเรื่องนี้อธิบายเรื่องขั้วแม่เหล็กโลกพลิกโดยอ้างถึง การขุดพบช้างแมมมอธในไซบีเรียในท้องในปากยังมีหญ้าสดอยู่เลย นั่นแสดงว่าขณะที่แมมมอธตัวนี้ตายจะต้องเกิดขึ้นอย่างฉับพลันเพราะน้ำแข็งยังแช่ซากช้างอายุหมื่นปีไว้ได้สมบูรณ์มากและยืนยันว่าสาเหตุการตายน่าจะเกิดจากการเปลี่ยนอุณหภูมิฉับพลันจากร้อนเป็นหนาวจัดซึ่งนิยายบอกว่ามาจากการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลกฉับพลันพลิกด้านที่เป็นศูนย์สูตรขึ้นไปอยู่ทางเหนือ

(ตอนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ก็ผ่าน ๆ ไปจนลืม ๆ ไปแล้วแต่เมื่อมาตรวจสอบศึกษาเรื่องราวความวิตกกังวลเรื่องแกนโลกเปลี่ยนรอบล่าสุดจึงค่อยมาอุทานกับตัวเองว่า เอ้า !!! เรื่องเดียวกันนี่หว่าเหมือนกับอ่านดาร์วินชี่โค้ดและเรื่องอื่นๆ ของ แดน บราวน์ ตอนแรกนึกว่าเขาจินตนาการได้ดีที่ไหนได้มันมีผู้ศึกษาเรื่องราวเหล่านี้มาก่อนและนักเขียนหยิบไปผูกในนิยายภายหลัง)

คนในวงการวิทยาศาสตร์ที่สนใจเรื่องนี้เขายืนยันกันมานานแล้ว (แต่คนนอกวงการอย่างผมไม่รู้) ว่าโลกของเราใบนี้เคยมีการพลิกเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กมาก่อนแล้ว หลักฐานนอกจากกรณีช้างแมมมอธไซบีเรียแล้วยังมีการนำเอาแมกม่าหินหลอมเหลวมาตรวจสอบการเรียงของอนุภาคหินซึ่งถูกเหนี่ยวนำจากขั้วแม่เหล็กที่ไม่เหมือนขั้วปัจจุบัน ซึ่งหมายถึงว่าในโลกโบราณไม่ได้มีขั้วแม่เหล็กเหนือ-ใต้แบบปัจจุบัน

ความรู้เหล่านี้เมื่อมาประกอบกับการยืนยันว่าขั้วแม่เหล็กโลกเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ที่ญี่ปุ่นยิ่งจูงให้ต้องติดตามสนใจลึกลงไปอีก

ผมเคยโง่มานานเข้าใจว่าปัญหาโลกร้อนที่นำมาสู่ปรากฏการณ์โลกเอาคืนมาจากการตัดไม้ทำลายป่าและปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นไปทำลายเกราะป้องกันตัวเองบนท้องฟ้า แต่แท้จริงแล้วองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องของปัญหานี้มันซับซ้อนกว่าที่คิดเยอะเพราะที่สุดโลกของเรามันเป็นส่วนหนึ่งของสุริยจักรวาลดินน้ำลมไฟฤดูกาลและการดำรงอยู่ของมนุษย์ล้วนขึ้นกับดวงอาทิตย์ซึ่งคนโบราณยกเป็น “สุริยเทพ” ทั้งสิ้นดังนั้นการที่เกิดอาเพศฤดูกาลไม่ปกติในบ้านเราหากเอาเหตุเอาปัจจัยทั้งหลายมาวางแผ่กันยังไงเสียก็ต้องเกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์แทบทั้งสิ้น

เริ่มจากภายนอกสุดเรื่องโลกร้อนที่เรากำลังประสบอยู่ก็เกิดจากธรรมชาติได้จัดสมดุลระยะห่างที่เหมาะสมของโลกกับแหล่งพลังงานก็คือดวงอาทิตย์เอาไว้ดีแล้ว อะไรที่ใกล้เกินหรือห่างเกินย่อมไม่เหมาะทั้งสิ้นธรรมชาติท่านยังแถมยังมีเกราะป้องกันไม่ให้โลกร้อนเกินไปจนส่งผลต่อความสมดุลนั่นก็คือชั้นบรรยากาศ แต่เมื่อมนุษย์เราช่วยกันทำลายเกราะป้องกันตัวเอง ยิ่งปล่อยก๊าซไปทำลายชั้นบรรยากาศก็เหมือนกับทำลายเกราะป้องกันตัวเอง หรือภูมิคุ้มกันตนเองในที่สุด

กลับมาดูภายใน นักวิทยาศาสตร์เขาก็วิจัยพบมานานแล้วว่าเจ้าหินหลอมเหลวที่อยู่ภายในโลกแท้จริงมันก็คือห้องเครื่องควบคุมยานอวกาศที่เรียกว่าโลก ถ้าพระอาทิตย์เป็นพลังงานภายนอก เจ้าหินหลอมเหลวแมกม่าในใจกลางโลกก็เป็นแหล่งพลังงานภายใน เขาวิจัยพบว่าการหมุนรอบตัวเองของโลกเปรียบได้กับการหมุนของไดนาโมทำให้เกิดขั้วแม่เหล็กและแกนแม่เหล็กของโลกขึ้นมา หากมีมือยักษ์บังคับให้โลกหยุดหมุนแหล่งพลังงานที่ก่อให้เกิดแม่เหล็กดังกล่าวก็จะหยุดตามจะส่งผลถึงอะไรบ้างครับ ? ตอบว่ามากมายไปหมด เข็มทิศและอุปกรณ์ที่อาศัยขั้วแม่เหล็กโลกหยุดทำงาน แต่ยังไม่เท่ากับสัตว์โลกอย่างค้างคาว วาฬ ฯลฯที่จะสูญเสียความสามารถในการนำทางจำแนกทิศได้ และยังส่งผลต่อสสารต่าง ๆ ไม่ว่าไฮโดรคาร์บอนน้ำมันดิบที่อยู่ภายใต้ผิวโลก

และเอาเข้าจริงพลังงานแม่เหล็กก็เป็นเกราะคุ้มครองโลกเหมือนกับชั้นบรรยากาศนั่นแหละครับ ไม่ว่าอะไรหายไปมันก็คือจะทำให้ดุลความสัมพันธ์แบบไม่ห่างไป ไม่ใกล้ไประหว่างโลกกับดวงอาทิตย์สูญเสียไป..ไม่ต้องบอกต่อก็พอจะเข้าใจได้ว่ามันคือวันที่โลกถูกเผานั่นเอง !

ผมยอมรับว่าก่อนหน้านี้อ่านข่าวว่าด้วยโลกร้อนหรือการพยายามทำข้อตกลงลดการปล่อยสารทำลายเรือนกระจกของบรรดาชาติมหาอำนาจแบบผ่าน ๆ เหมือนเป็นเรื่องไกลตัวแต่พอเกิดอาเพศมาถึงเรือนชาน มองเห็นตัวอย่างปรากฏการณ์ที่บอกว่าประเทศของเราคงหนีไม่พ้นธรรมชาติเอาคืนเสียจริง ๆ ก็ยิ่งพบว่า ข่าวสารดังกล่าวที่เคยอ่านผ่าน ๆ แท้จริงมันช่างใกล้ตัวเสียเหลือเกิน

สิ่งที่ผมได้พยายามเรียนรู้ตลอดหลายวันมานี้บอกว่าเรื่องหลายเรื่องที่ดูเหมือนจะแยกจากกัน ไม่ว่า พายุสุริยะ ขั้วแม่เหล็กโลก การสูบเอาไฮโดรคาร์บอนออกจากใต้พิภพตลอดศตวรรษที่ผ่านมา บรรษัทยานยนต์และนโยบายของชาติผู้บริโภค การทำลายป่าไม้ การบริโภคแบบตะวันตก และแม้กระทั่งน้ำท่วมเดือนมีนาคม ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น

มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมยังลังเลไม่อาจจัดเข้าอยู่ในหมวดเรื่องเดียวกันได้นั่นก็คือคำพยากรณ์ว่าโลกจะถึงกาลพินาศในปี 2012 ซึ่งต้นตอของเรื่องมาจากฝรั่งนั่นแหละ

เพราะแม้จะเป็นการพยายามอธิบายวันสิ้นโลกจากคำทำนายชาวมายัน (หรือศาสดาพยากรณ์อื่น ๆ รวมถึงนอสตราดามุส) และผูกเอาการวิปริตผิดเพี้ยนของธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน เรื่องนี้จะต้องค้นคว้าเพิ่มเติมเพราะมันดูเหมือนจะเป็นวาระของโลกไปแล้วเหมือนกับ Y2K ตอนเปลี่ยนศักราชนั่นแหละ

อันที่จริงฝรั่งด้วยกันเขาก็ไม่ได้เชื่อเรื่องคำพยากรณ์ 2012 ทั้งหมดหรอกนะครับ มีการวิพากษ์วิจารณ์นาย Patrick Geryl นักเขียนชาวเบลเยี่ยมผู้ที่ประกาศคำพยากรณ์นี้ออกมามากมาย มีเว็บไซต์จับผิดเช่นบอกว่า Geryl ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์แต่เป็นนักเขียน (ที่มีศิลปะผูกโยงสืบค้นเรื่องราว) อยากจะให้ท่านไปลองหาอ่านดูเอาเองทั้งฝ่ายหนุนและค้านสนุกดี บางแห่งเขาบอกว่า 2012: Prophet of nonsense ด้วยซ้ำไป ในที่นี้ขอหยิบมาเป็นตัวอย่างให้ดูสัก 2-3 เว็บ (คลิก 1,คลิก 2,คลิก 3)

ที่ต้องยกเรื่องนี้มาพูดเพราะนับจากนี้กระแส 2012 คงจะมาแรงมากขึ้น ๆ ผมคาดเดาไม่ออกว่ามันจะส่งผลยังไงกับสังคมไทยของเราบ้างเพราะในแง่บวกมันอาจทำให้คนหันมาสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ๆ จนกลายเป็นจุดพลิกเปลี่ยนของกระแสสิ่งแวดล้อมครั้งที่ 2 (จากยุคเดิมที่เกิดประมาณปี 33-35) หรือไม่แน่ที่พอถึงปี 2012 ปุ๊บแล้วโลกไม่แตกจริงสังคมก็เลิกสนใจปัญหาดินฟ้าอาเพศไปเสีย

2012 อาจจะมีหรือไม่ ?? อย่าเพิ่งสนใจเลยเพราะที่แน่ ๆ วิปริตอาเพศมันเกิดแล้วเห็น ๆ ทั้งในบ้านเขาบ้านเราอย่าไปมัวรอเหตุโลกแตกหรือมาหาคือตอบว่าโลกจะแตกจริงหรือไม่ในปี 2012 กันอยู่เลย

“โลกแตก 2012” อาจจะพกลม...แต่ “2011 โลก (เริ่ม) เอาคืน” นี่สิครับของจริง!
กำลังโหลดความคิดเห็น