xs
xsm
sm
md
lg

ปัญหาฮิญาบ

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

ด้วยความเป็นคนปักษ์ใต้แม้จะนับถือพุทธแต่ก็อยู่ท่ามกลางสังคมแวดล้อมเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องอิสลามมาตั้งแต่เด็กบ้านนี้พุทธเลยไปหน่อยเป็นบ้านบังขายไก่ย่าง วันดีคืนดีญาติข้างแม่มาอาศัยด้วยเพราะต้องเรียนต่อในเมืองสมัยนั้นเขาไม่มีอพาร์ทเมนท์ห้องเช่าเหมือนปัจจุบันที่บ้านก็เลยต้องมีครัว 2 ชุด ๆ นึงของญาติอิสลามที่มาอาศัยอีกชุดทำกินกันเองไม่แบ่งเขาแบ่งเรา

พอโตขึ้นมาไปเรียนที่หาดใหญ่เพื่อนในห้องในหอพักมีทั้งพุทธอิสลามคบหากันโดยปราศจากเส้นแบ่งใด ๆ แบบที่สนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนชาวพุทธด้วยกันประเภทที่ตามไปนอนบ้านของเขาที่ต่างจังหวัดก็มี ส่วนเพื่อนผู้หญิงอิสลามในห้องนี่แปลกหน่อยเพราะโดยวัฒนธรรมจะไม่จัดจ้านโฉบเฉี่ยวเป็นตัวเอกเหมือนเพื่อนสาวศาสนาอื่นแต่นั่นก็เป็นเพราะวิถีวัฒนธรรมที่กำหนดให้ผู้หญิงมุสลิมสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเรามักจะเห็นเพื่อนผู้หญิงคบหาคุยกันหนุงหนิงกันภายในกลุ่มเท่าที่จำได้บางคนสวมฮิญาบคลุมหน้าตลอดเวลาแต่บางคนก็คลุมบ้างไม่คลุมบ้าง ไม่แน่ใจว่าแล้วแต่ละความเข้มงวดของท้องถิ่นหรือไม่? ไม่แน่ใจ ! แต่ที่แน่ ๆ พอเวลาผ่านไป 20 กว่าปี แต่ละคนแต่งงานมีลูกมีเต้ากันมาเจอกันอีกทีในเฟซบุ้คเพื่อนสาวอิสลามคุยเก่งชะมัดยาด

ด้วยความที่เรียนอยู่ที่นั่นดังนั้นจึงยังพอมีเพื่อนฝูงที่ทำงานทำการในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างหลายคนทราบข่าวคราวในพื้นที่อยู่พอสมควรและพอจะทราบว่ากระแสการปฏิวัติดอกมะลิในประเทศอาหรับนั้นแรงมาก เพื่อนฝูงที่ทำงานด้านการข่าวถึงกับตามดูทีวี.อารบิค ทีวีอัลจาซีเราะห์ ทีวีมาเลเซีย ฯลฯ สังคมที่นั่นบางพื้นที่แทบไม่ได้ตามข่าวคราวในกรุงเทพฯด้วยซ้ำไป ผมจึงนำมาเขียนเป็นบทความเมื่อสัปหาห์ที่แล้วเพื่อจะบอกว่าอย่าได้มองข้ามกระแสนี้ในประเทศไทย ไม่ทันเท่าไหร่เลยพอปลายสัปดาห์ได้เกิดเหตุความไม่พอใจต่อมติมหาเถรสมาคมที่ไม่อนุญาตให้นักเรียนมุสลิมสวมผ้าคลุมหรือฮิญาบในโรงเรียนวัดหนองจอก

ที่เรียกว่ากระแสก็เพราะแม้มันจะเป็นเรื่องต่อเนื่องยืดยาวมาก่อนแต่เพิ่งจะกลายเป็นประเด็นจุดประกายการเคลื่อนไหวทางสังคมโดยเฉพาะการรวมกลุ่มกันในโซเชี่ยลมีเดีย มีการก่อตั้งกลุ่ม Open-group “เชื่อมั่นว่ามุสลิมไทยเกิน 1 ล้านคนต้องการให้อนุญาตคลุมฮิญาบในรร.ทั่วประเทศ” และหน้าแฟนเพจขึ้นในเฟซบุ้คระหว่างวันที่ 3-4 มีนาคมที่ผ่านมา และมียอดการเติบโตมีสมาชิกเกินหมื่นในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง

ผมสนใจปรากฏการณ์นี้มากเพราะพื้นฐานชีวิตใกล้ชิดกับสังคมพี่น้องอิสลามอยู่พอสมควรโดยไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาพวกเราเพราะอันที่จริงถ้าย้อนสาแหรกไปบรรพบุรุษฝ่ายย่าก็เชื้อแขกอิสลามแท้ ๆ เลยแหละครับตลอดวันศุกร์ที่ 4 มีนาคมจึงเฝ้าติดตามเหตุการณ์และไปค้นคว้าหารายละเอียดของเรื่องราวที่เกิด จึงพอประมวลเรื่องได้ 2 ระดับคือ

ระดับเหตุการณ์เฉพาะโรงเรียนหนองจอก ที่มีปัญหามาก่อนหน้า สมมติถ้าเรื่องมันเกิดเฉพาะคณะกรรมการระดับโรงเรียนหรือระดับเขตมันก็ยังพอจะแก้กันได้ง่ายแต่เมื่อดันมีมีมติของมหาเถรสมาคมออกมาออกมาเมื่อเดือนที่แล้วมันเลยกลายเป็นปัญหาอีกระดับหนึ่งที่ไปไกลว่าโรงเรียนหรือชุมชนหนองจอกแล้ว

เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องของระเบียบโรงเรียนแต่เป็นมติขององค์กรศาสนาอีกศาสนาหนึ่งที่ไปกระทบกับอีกศาสนาและเท่าที่ดูจากรายละเอียด มติมส.มีปัญหาแน่ ๆ ครับเพราะอาศัยพรบ.คณะสงฆ์มาอ้างอิงที่ยังไงๆ ก็ต้องต่ำกว่าสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองวันยังค่ำ

เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สามารถจะลุกลามบานปลายได้ อย่ามองแค่ว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวในเฟซบุ้คตอนนี้มีสมาชิกแค่หลักหมื่นเพราะว่าที่เห็นน่ะเป็นกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหมหรือเป็นวัยทำงาน ยังไม่ใช่ระดับเครือข่ายที่มีมัสยิดเป็นศูนย์กลาง ล่าสุดกระแสนี้จุดติดในรั้วมหาวิทยาลัยแล้วนะครับ ขอเอาลิงก์การเคลื่อนไหวบนบอร์ดของนักศึกษา ม.อ.หาดใหญ่มาให้ดู

ผมตามข่าวดูเห็นว่าเมื่อวันเสาร์ส.ส.สมัย เจริญช่างของปชป.ก็ออกมาประสานกับแกนนำกลุ่มเคลื่อนไหว ทราบว่ามีการต่อสายกันในระดับจุฬาราชมนตรีและผู้บริหารประเทศ ต่อจากนั้นวันจันทร์(ระหว่างที่กำลังเขียนเรื่องนี้อยู่) ทราบว่ามีการส่งตัวแทนไปพูดคุยกับรัฐบาลและเห็นมีรมว.วัฒนธรรม นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติอยู่ด้วยก็ขอให้เจรจาแก้กันให้ลุล่วงในระดับนโยบายกล่าวคือต้องไปให้ไกลว่าประเด็นโรงเรียนวัดหนองจอกแต่ควรจะเกิดมาตรฐานการยอมรับสิทธิพื้นฐานด้านการนับถือศาสนาอย่างแท้จริงที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ต่อจากนี้หากนักเรียนประสงค์จะใช้เครื่องแต่งกายฮิญาบก็ควรจะแต่งได้โดยไม่ต้องมาขออนุญาตเป็นรายกรณี หรือรายโรงเรียนไป

มีที่ขอติงอยู่หน่อยอ่านข่าวที่ส.ส.สมัยพูดกับตัวแทนพี่น้องมุสลิมทำนองว่า เรื่องนี้ไม่ควรทำให้บานปลาย (เป็นการเมือง) โดยเฉพาะมีคนนำเรื่องไปให้เวทีเสื้อเหลืองและคุณสนธิ ลิ้มทองกุลรู้ อ่านความระหว่างบรรทัดเหมือนส.ส.สมัยจะมองว่า เรื่องนี้ลุกลามเพราะมีผู้ต้องการทำให้เป็นการเมือง สำหรับผมแล้วผมกลับมองว่านี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ใหญ่การปัญหาการเมืองเสียอีก ต่อให้ไม่มีเสื้อเหลืองแดงมันก็ใหญ่และละเอียดอ่อนในตัวของมันเองอยู่แล้วโดยเฉพาะผลต่อเนื่องที่จะเกิดเป็นเงื่อนไขในพื้นที่ภาคใต้ที่มีกระแสรองรับอยู่เดิมแล้ว นักการเมืองอย่ามองทุกเรื่องเป็นการเมืองไปหมด

ทั้งนี้ท่านที่สนใจติดตามรายละเอียดของปัญหาเรื่องนี้ขอให้เข้าไปดูโดยตรงที่

กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ http://www.muslim4peace.net/dp6

หรือที่ หนังสือพิมพ์ไทยแลนด์นิวส์ http://thailandnewsdarussalam.com

โดยหวังว่า เรื่องนี้น่าจะจบแบบเบ็ดเสร็จไม่มีข้อคาใจกันในเร็ววัน เพราะนอกจากอำนาจฝ่ายอาณาจักรที่มีรัฐบาลและกระทรวงวัฒนธรรมทราบแล้ว ประเด็นนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงอำนาจของพุทธจักรอีกทางหนึ่งด้วย.
กำลังโหลดความคิดเห็น