ผมอยู่ในเหตุการณ์วันที่คนเสื้อแดงหลักร้อยไปปิดปากประตูคริสตจักรที่ 1 อ้างโน่นนี่กว่าจะเปิดทางจนนำไปสู่การแจ้งความข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวในเวลานี้
คนเสื้อแดงเชียงใหม่ไปอาละวาดตามที่ต่าง ๆ เป็นมาโดยตลอด มีวันหนึ่งที่ไปปิดล้อมงานเลี้ยงแต่งงานซึ่งมีผู้ใหญ่มากมายอยู่ภายในเช่น ม.จ.ภีศเดช รัชนี เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ฯลฯ รถใครเข้าออกก็ไปทุบเขา หรือยกไปขับไล่คนงานกรมศิลปากรที่ขุดค้นโบราณสถานหน้าประตูช้างเผือก จนทำให้บัดนี้ปากประตูเมืองอันดับหนึ่งที่เรียกว่า “ประตูหัวเวียง” กลายเป็นลานดินพอฝนตกก็เป็นเลนโคลนไม่สามารถจะจัดการใด ๆ
ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมากว่า 5 เดือนแล้ว นี่เป็นความผิดปกติของกลไกของสังคมเมืองเชียงใหม่อย่างยิ่ง ทั้งภาครัฐเอกชนจำนวนมากยังวางเฉย ทั้ง ๆ ที่ปากประตูบ้านซึ่งเป็นประตูหลักอันดับหนึ่งใกล้เป็นสลัมประจานตัวเอง- - แล้วก็ยังเฉยกันอยู่
ลองตอบตัวเองดูเถิดครับสมมติปากประตูหน้าบ้านของท่านที่เคยสวยงามเป็นเกียรติเป็นหน้าตาจู่ ๆ เป็นลานดินเละเทะ คนที่อยู่ในบ้านจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วใช่ไหม... แต่ที่เชียงใหม่ไม่ใช่
ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่นคนของเขาคงไม่เอามือซุกหีบเงียบเป็นเป่าสากอย่างนี้หรอก อย่างน้อยสื่อมวลชนในท้องถิ่นจะต้องตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น...ต้องเอาไมค์ไปจ่อปากถามผู้รับผิดชอบว่าผิดปกติตรงไหน ? จะต้องนำเสนอเรื่องราวว่าปัญหาเกิดจากอะไร ติดขัดตรงไหนทำไมปากประตูบ้านยังเละเทะเป็นลานดินลานโคลนที่จอดรถเกะกะอยู่ ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ตามปกติของสื่อมวลชน
ขอโทษเพื่อนสื่อด้วย สื่อท้องถิ่นเชียงใหม่แทบไม่มีใครทำหน้าที่นี้เลย !
กลไกราชการก็เช่นกัน กรมศิลปากรแย่ที่สุดเพราะเป็นผู้รับผิดชอบเขตโบราณสถานโดยตรง เอาล่ะพอจะเข้าใจได้ว่ากระแสการเมืองมันแรงเมื่อมีมวลชนไปกดดันให้หยุดการขุดค้นก็ใช้หลักรัฐศาสตร์ยอมระงับให้ ... แต่ก็ไม่ได้หมายถึงพอหยุดขุดค้นแล้วกรมศิลป์ก็ปล่อยให้คาราคาซังเป็นเวลานานกว่า 5 เดือนไม่รู้จะตัดสินใจยังไงต่อ
-มีผู้เสนอให้ทำเป็นลานสาธารณะ ทำหนังสือยื่นต่ออธิบดีกรมศิลปากร เรื่องผ่านไป 3 เดือนยังไม่มีคำตอบต่อสาธารณะ
-กรมศิลปากรเคยมีแผนจะบูรณะประตูเมืองให้เป็น 2 ชั้นตามหลักฐานภาพถ่ายสมัย ร.5 - ร.7 และตามการขุดค้นเบื้องต้น... ตกลงจะเอาตามแนวนี้หรือไม่ ถ้าจะเอากรมศิลปากรก็ต้องรีบเป็นเจ้าภาพเสนอความคิดนี้ต่อคนเชียงใหม่ได้ถกเถียงกัน ... จนบัดนี้ก็ยังเงียบเป็นเป่าสาก
-สมมติว่ามีการถกเถียงว่าไม่ควรทั้งสองแนวทาง แล้วแนวทางที่ดีกว่าคืออะไร ?
-แล้วต่อจากนี้ไป ควรกำหนดให้ปิดประตูเมืองไม่ให้ใครเข้าออก หรือ จะให้เป็นแค่ทางคนเดินผ่าน หรือให้เป็นแค่ทางยูเทิร์น ฯลฯ
-รวมไปถึงข้อมูลเรื่องที่ชาวเสื้อแดงนำฆ้องไปติดตั้งว่าถูกต้องเหมาะสมดีหรือไม่ ถ้าพบว่ามีหลักฐานที่น่าเชื่อก็ควรสนับสนุนทำฆ้องขนาดใหญ่ประดับเมือง สร้างอาคารใหม่มาครอบไม่ใช่กรงเหล็กแคบ ๆ เหมือนคุกแบบที่เป็นอยู่ แต่ถ้ายังมีข้อขัดแย้งในทางวิชาการก็น่าจะเอาผู้รู้มาร่วมกันถกหาข้อสรุป
หากเป็นสังคมที่มีคุณภาพเรื่องราวเหล่านี้จะต้องปรากฏให้สาธารณะรับรู้ สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมเปิด ใช้ข้อมูล เหตุผลและข้อกฎหมายเป็นหลัก
ขอโทษสังคมเมืองเชียงใหม่ด้วยเถอะครับ หน่วยราชการทุกระดับลงมา ภาคเอกชนทั้งหอการค้า สภาอุตฯ สภาวัฒนธรรม หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวซึ่งจะได้รับประโยชน์จากสภาพภูมิทัศน์ของเมือง ล้วนแต่เอาซุกหีบ
สถาบันการศึกษาซึ่งเป็นศูนย์รวมความรู้ และเป็นที่พึ่งของสังคมในทางวิชาการ ภาคประวัติศาสตร์ – โบราณคดี – ล้านนาคดี ของ ม.ช. ราชภัฎ ม.พายัพ ฯลฯ หายไปไหน
ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่า การเมืองที่เชียงใหม่มันแรงเพราะเป็นฐานของคนเสื้อแดง
คนเสื้อแดงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสังคมเมืองเชียงใหม่ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาลานดินโคลนที่หน้าปากประตูเมืองโดยตรง ก็ต้องเปิดให้เข้ามาร่วมถก ร่วมคิด
พอมีภาคประชาชนอย่างภาคีคนฮักเจียงใหม่ ชมรมจักรยาน ฯลฯ มาจัดงานเสวนาเรื่องนี้ และประกาศเชิญชาวเชียงใหม่ทุกสีมาพูดคุยกันอย่างที่ผู้เจริญเขาทำ แทนที่ภาคราชการและหน่วยงานเอกชนจะร่วมสนับสนุนแนวทางเปิดเวทีให้คุยกันอย่างอารยะ แลกความคิดต่างมุมมองภายใต้จุดมุ่งหมายทำให้สังคมดีขึ้น
แทนที่จะหนุนเชื่อไหมครับเขายังพูดกันว่า จัดไปทำไม ไปหาเหาใส่หัว แกว่งเท้าหาเสี้ยนทำไม ?
การเสวนาในวันนั้นนอกจากได้เชิญท่านผู้ว่าราชการจังหวัดมาเป็นประธานแล้ว ยังมีชาวเสื้อแดงหลายคนที่นั่งฟังตั้งแต่ต้นจนจบ มีหลายคนที่ลุกขึ้นอภิปราย ซักถามได้อย่างสุภาพ และก็มีเสื้อเหลือง เสื้อขาว อยู่ภายในงานด้วย คนที่อยู่ในงานไม่มีอะไรหรอกยกเว้นพวกที่ถูกปลุกออกมาจากข้างนอก
ผมนั่งอยู่ด้วยจึงกล้าท้าทุกคนว่า เนื้อหาที่คุยกัน 4 ชั่วโมงเป็นสาระความรู้ 100 % ไม่มีใครไปตั้งป้อมให้อีกฝ่ายเป็นผู้ร้าย หรือเอาประเด็นมาเข่นฆ่าอีกฝ่าย ที่กล้าท้าเพราะมีการบันทึกเทปตลอดงาน เริ่มแรกก็ว่าด้วยความรู้เรื่องกำแพงเมือง เอาภาพถ่ายเก่าแก่มาดูกันว่าประตูเมืองเก่านั้นไม่ได้มีสภาพเช่นปัจจุบัน ส่วนประเด็นฆ้อง วิทยากรท่านพูดว่ายังไม่เห็นหลักฐานที่ทางคนเสื้อแดงเอามาสนับสนุน สำหรับท่านยังไม่เคยผ่านตาบันทึกที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
เรื่องไม่เป็นเรื่องเกิดจากมีการปล่อยข่าวว่างานนี้จะไปแจ้งความเอาผิดคนเสื้อแดงเสร็จแล้วจะยกไปรื้อฆ้อง จนมีการตั้งป้อมเตรียมมวลชนมาเอาเรื่องกันตั้งแต่หัววัน แล้วก็ยกมาอาละวาดในเขตคริสตจักร แสดงฤทธิ์เดชกันใหญ่
ประเด็นอยู่ทำไมสังคมเมืองเชียงใหม่ผิดเพี้ยนไปถึงขนาดนี้ ? เมื่อมีความแตกต่างทางการเมืองและความคิด แทนที่พลังทางสังคมทั้งรัฐเอกชนและสื่อจะช่วยกันเสริมสร้างบรรยากาศพูดคุยแบบสมานฉันท์ เปิดเวทีกลางเชิญทุกฝ่ายพูดคุยอย่างคนต่อคนทำกัน จะช่วยส่งเสริมให้บรรยากาศของบ้านเมืองที่ดีกลับคืนมาบ้าง
ธุระไม่ใช่-หลายคนปลอบใจตัวเองว่าการเงียบเฉยเป็นหนทางที่ดีที่สุด
แม้แต่ปากประตูบ้านกำลังกลายเป็นสลัม คาราคาซังมาครึ่งปีคนเชียงใหม่ยังนิ่งเฉยกันอยู่
ก็สมควรแล้วล่ะครับที่เศรษฐกิจซบ ร้านอาหารเตรียมเจ๊งระนาว สงกรานต์ที่ผ่านมาหงอยสุดในรอบ 20 ปี
คนเสื้อแดงเชียงใหม่ไปอาละวาดตามที่ต่าง ๆ เป็นมาโดยตลอด มีวันหนึ่งที่ไปปิดล้อมงานเลี้ยงแต่งงานซึ่งมีผู้ใหญ่มากมายอยู่ภายในเช่น ม.จ.ภีศเดช รัชนี เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ฯลฯ รถใครเข้าออกก็ไปทุบเขา หรือยกไปขับไล่คนงานกรมศิลปากรที่ขุดค้นโบราณสถานหน้าประตูช้างเผือก จนทำให้บัดนี้ปากประตูเมืองอันดับหนึ่งที่เรียกว่า “ประตูหัวเวียง” กลายเป็นลานดินพอฝนตกก็เป็นเลนโคลนไม่สามารถจะจัดการใด ๆ
ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมากว่า 5 เดือนแล้ว นี่เป็นความผิดปกติของกลไกของสังคมเมืองเชียงใหม่อย่างยิ่ง ทั้งภาครัฐเอกชนจำนวนมากยังวางเฉย ทั้ง ๆ ที่ปากประตูบ้านซึ่งเป็นประตูหลักอันดับหนึ่งใกล้เป็นสลัมประจานตัวเอง- - แล้วก็ยังเฉยกันอยู่
ลองตอบตัวเองดูเถิดครับสมมติปากประตูหน้าบ้านของท่านที่เคยสวยงามเป็นเกียรติเป็นหน้าตาจู่ ๆ เป็นลานดินเละเทะ คนที่อยู่ในบ้านจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วใช่ไหม... แต่ที่เชียงใหม่ไม่ใช่
ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่นคนของเขาคงไม่เอามือซุกหีบเงียบเป็นเป่าสากอย่างนี้หรอก อย่างน้อยสื่อมวลชนในท้องถิ่นจะต้องตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น...ต้องเอาไมค์ไปจ่อปากถามผู้รับผิดชอบว่าผิดปกติตรงไหน ? จะต้องนำเสนอเรื่องราวว่าปัญหาเกิดจากอะไร ติดขัดตรงไหนทำไมปากประตูบ้านยังเละเทะเป็นลานดินลานโคลนที่จอดรถเกะกะอยู่ ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ตามปกติของสื่อมวลชน
ขอโทษเพื่อนสื่อด้วย สื่อท้องถิ่นเชียงใหม่แทบไม่มีใครทำหน้าที่นี้เลย !
กลไกราชการก็เช่นกัน กรมศิลปากรแย่ที่สุดเพราะเป็นผู้รับผิดชอบเขตโบราณสถานโดยตรง เอาล่ะพอจะเข้าใจได้ว่ากระแสการเมืองมันแรงเมื่อมีมวลชนไปกดดันให้หยุดการขุดค้นก็ใช้หลักรัฐศาสตร์ยอมระงับให้ ... แต่ก็ไม่ได้หมายถึงพอหยุดขุดค้นแล้วกรมศิลป์ก็ปล่อยให้คาราคาซังเป็นเวลานานกว่า 5 เดือนไม่รู้จะตัดสินใจยังไงต่อ
-มีผู้เสนอให้ทำเป็นลานสาธารณะ ทำหนังสือยื่นต่ออธิบดีกรมศิลปากร เรื่องผ่านไป 3 เดือนยังไม่มีคำตอบต่อสาธารณะ
-กรมศิลปากรเคยมีแผนจะบูรณะประตูเมืองให้เป็น 2 ชั้นตามหลักฐานภาพถ่ายสมัย ร.5 - ร.7 และตามการขุดค้นเบื้องต้น... ตกลงจะเอาตามแนวนี้หรือไม่ ถ้าจะเอากรมศิลปากรก็ต้องรีบเป็นเจ้าภาพเสนอความคิดนี้ต่อคนเชียงใหม่ได้ถกเถียงกัน ... จนบัดนี้ก็ยังเงียบเป็นเป่าสาก
-สมมติว่ามีการถกเถียงว่าไม่ควรทั้งสองแนวทาง แล้วแนวทางที่ดีกว่าคืออะไร ?
-แล้วต่อจากนี้ไป ควรกำหนดให้ปิดประตูเมืองไม่ให้ใครเข้าออก หรือ จะให้เป็นแค่ทางคนเดินผ่าน หรือให้เป็นแค่ทางยูเทิร์น ฯลฯ
-รวมไปถึงข้อมูลเรื่องที่ชาวเสื้อแดงนำฆ้องไปติดตั้งว่าถูกต้องเหมาะสมดีหรือไม่ ถ้าพบว่ามีหลักฐานที่น่าเชื่อก็ควรสนับสนุนทำฆ้องขนาดใหญ่ประดับเมือง สร้างอาคารใหม่มาครอบไม่ใช่กรงเหล็กแคบ ๆ เหมือนคุกแบบที่เป็นอยู่ แต่ถ้ายังมีข้อขัดแย้งในทางวิชาการก็น่าจะเอาผู้รู้มาร่วมกันถกหาข้อสรุป
หากเป็นสังคมที่มีคุณภาพเรื่องราวเหล่านี้จะต้องปรากฏให้สาธารณะรับรู้ สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมเปิด ใช้ข้อมูล เหตุผลและข้อกฎหมายเป็นหลัก
ขอโทษสังคมเมืองเชียงใหม่ด้วยเถอะครับ หน่วยราชการทุกระดับลงมา ภาคเอกชนทั้งหอการค้า สภาอุตฯ สภาวัฒนธรรม หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวซึ่งจะได้รับประโยชน์จากสภาพภูมิทัศน์ของเมือง ล้วนแต่เอาซุกหีบ
สถาบันการศึกษาซึ่งเป็นศูนย์รวมความรู้ และเป็นที่พึ่งของสังคมในทางวิชาการ ภาคประวัติศาสตร์ – โบราณคดี – ล้านนาคดี ของ ม.ช. ราชภัฎ ม.พายัพ ฯลฯ หายไปไหน
ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่า การเมืองที่เชียงใหม่มันแรงเพราะเป็นฐานของคนเสื้อแดง
คนเสื้อแดงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสังคมเมืองเชียงใหม่ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาลานดินโคลนที่หน้าปากประตูเมืองโดยตรง ก็ต้องเปิดให้เข้ามาร่วมถก ร่วมคิด
พอมีภาคประชาชนอย่างภาคีคนฮักเจียงใหม่ ชมรมจักรยาน ฯลฯ มาจัดงานเสวนาเรื่องนี้ และประกาศเชิญชาวเชียงใหม่ทุกสีมาพูดคุยกันอย่างที่ผู้เจริญเขาทำ แทนที่ภาคราชการและหน่วยงานเอกชนจะร่วมสนับสนุนแนวทางเปิดเวทีให้คุยกันอย่างอารยะ แลกความคิดต่างมุมมองภายใต้จุดมุ่งหมายทำให้สังคมดีขึ้น
แทนที่จะหนุนเชื่อไหมครับเขายังพูดกันว่า จัดไปทำไม ไปหาเหาใส่หัว แกว่งเท้าหาเสี้ยนทำไม ?
การเสวนาในวันนั้นนอกจากได้เชิญท่านผู้ว่าราชการจังหวัดมาเป็นประธานแล้ว ยังมีชาวเสื้อแดงหลายคนที่นั่งฟังตั้งแต่ต้นจนจบ มีหลายคนที่ลุกขึ้นอภิปราย ซักถามได้อย่างสุภาพ และก็มีเสื้อเหลือง เสื้อขาว อยู่ภายในงานด้วย คนที่อยู่ในงานไม่มีอะไรหรอกยกเว้นพวกที่ถูกปลุกออกมาจากข้างนอก
ผมนั่งอยู่ด้วยจึงกล้าท้าทุกคนว่า เนื้อหาที่คุยกัน 4 ชั่วโมงเป็นสาระความรู้ 100 % ไม่มีใครไปตั้งป้อมให้อีกฝ่ายเป็นผู้ร้าย หรือเอาประเด็นมาเข่นฆ่าอีกฝ่าย ที่กล้าท้าเพราะมีการบันทึกเทปตลอดงาน เริ่มแรกก็ว่าด้วยความรู้เรื่องกำแพงเมือง เอาภาพถ่ายเก่าแก่มาดูกันว่าประตูเมืองเก่านั้นไม่ได้มีสภาพเช่นปัจจุบัน ส่วนประเด็นฆ้อง วิทยากรท่านพูดว่ายังไม่เห็นหลักฐานที่ทางคนเสื้อแดงเอามาสนับสนุน สำหรับท่านยังไม่เคยผ่านตาบันทึกที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
เรื่องไม่เป็นเรื่องเกิดจากมีการปล่อยข่าวว่างานนี้จะไปแจ้งความเอาผิดคนเสื้อแดงเสร็จแล้วจะยกไปรื้อฆ้อง จนมีการตั้งป้อมเตรียมมวลชนมาเอาเรื่องกันตั้งแต่หัววัน แล้วก็ยกมาอาละวาดในเขตคริสตจักร แสดงฤทธิ์เดชกันใหญ่
ประเด็นอยู่ทำไมสังคมเมืองเชียงใหม่ผิดเพี้ยนไปถึงขนาดนี้ ? เมื่อมีความแตกต่างทางการเมืองและความคิด แทนที่พลังทางสังคมทั้งรัฐเอกชนและสื่อจะช่วยกันเสริมสร้างบรรยากาศพูดคุยแบบสมานฉันท์ เปิดเวทีกลางเชิญทุกฝ่ายพูดคุยอย่างคนต่อคนทำกัน จะช่วยส่งเสริมให้บรรยากาศของบ้านเมืองที่ดีกลับคืนมาบ้าง
ธุระไม่ใช่-หลายคนปลอบใจตัวเองว่าการเงียบเฉยเป็นหนทางที่ดีที่สุด
แม้แต่ปากประตูบ้านกำลังกลายเป็นสลัม คาราคาซังมาครึ่งปีคนเชียงใหม่ยังนิ่งเฉยกันอยู่
ก็สมควรแล้วล่ะครับที่เศรษฐกิจซบ ร้านอาหารเตรียมเจ๊งระนาว สงกรานต์ที่ผ่านมาหงอยสุดในรอบ 20 ปี