ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – องค์กรภาคประชาชนในเชียงใหม่ขยับช่วยสางปมปัญหาประตูช้างเผือกที่กลายเป็นลานดินผสมโคลน ไม่สามารถจัดการต่อ อันเนื่องจากกลุ่มเสื้อแดงไปกดดันให้หยุดขุดค้นและเสนอทำลานสาธารณะ ขณะที่กรมศิลป์ไม่เร่งพิจารณาปล่อยให้คาราคาซัง 4 องค์กรเสวนาหาข้อเท็จจริงประตูสองชั้นมีจริงหรือ
ศ.เฉลิมพล แซมเพชร ประธานภาคีคนฮักเจียงใหม่ ในฐานะคณะทำงานจัดงานเสวนาวิชาการเรื่องฟื้นฟูประตูเมือง เล่าเรื่องเมืองเชียงใหม่ เปิดเผยว่า องค์กรภาคเอกชนในเมืองเชียงใหม่ประกอบด้วย คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ (กป.อพช.เหนือ) ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ ภาคีคนฮักเจียงใหม่ และกลุ่ม Lanna Watch เล็งเห็นว่า เขตโบราณสถานคูเมืองเชียงใหม่เป็นพื้นที่สำคัญต่อทั้งทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี การท่องเที่ยว และทั้งยังความเชื่อและเป็นจิตวิญญาณของชาวเมือง
ปัญหาในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ประตูช้างเผือก ซึ่งเป็นประตูหัวเวียงทางทิศเหนือที่กรมศิลปากรกำลังขุดค้นเพื่อหาหลักฐานสนับสนุนภาพถ่ายโบราณว่าเป็นกำแพงเมืองสองชั้นจะนำไปสู่การเสนอแผนบูรณะให้เป็นไปตามแบบโบราณ แต่ปรากฏมีกลุ่มประชาชนสวมเสื้อแดงไปกดดันให้เลิกการขุดค้น ต่อจากนั้นไปปลูกสร้างอาคารชั่วคราวครอบฆ้องขนาดใหญ่ และเสนอให้ทำเป็นลานสาธารณะ
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวจะต้องได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมศิลปากรเสียก่อนโดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณา ทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นลานดิน เมื่อฝนตกกลายเป็นโคลน และกลายเป็นที่จอดรถ ขาดทิศทางจะพัฒนา และกลายเป็นเสื่อมโทรมทั้ง ๆ ที่ประตูเมืองทิศเหนือเป็นพื้นที่สำคัญทั้งทางความเชื่อและเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วย
โดยได้กำหนดจัดงานเสวนาวิชาการเรื่อง “ฟื้นฟูประตูเมือง เล่าเรื่องเมืองเชียงใหม่” ในวันเสาร์ที่ 13 มิถุนายนนี้ที่คริสตจักรที่ 1 เชียงใหม่เชิงสะพานนวรัฐ โดยได้เชิญวิทยาการจากกรมศิลปากรมาบรรยายเรื่อง “หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ประตูช้างเผือก:ทำไมต้อง 2 ชั้น?” และมีการพูดคุยเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของประตูช้างเผือกโดย อ.เกริก อัครชิโนเรศ นักวิชาการล้านนาคดีนำพูดคุย
การเสวนานี้จะเป็นเวทีหนึ่งที่จะตอบคำถามเพื่อจะหาทางออกให้กับทิศทางพัฒนาประตูเมืองสำคัญต่อไป เช่น หาหลักฐานว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่ามีการตั้งฆ้องบริเวณปากประตูเมืองจริงหรือไม่ รวมถึงอาจจะมีการเปรียบเทียบแนวทางพัฒนาต่างๆ เช่น จะเป็นลานสาธารณะตามที่กลุ่มคนเสื้อแดงเสนอ หรือจะเป็นการก่อสร้างประตูเมืองสองชั้นตามแผนของกรมศิลปากร หรืออาจจะมีข้อเสนออื่นๆ เพื่อจะเสนอต่อหน่วยงานเกี่ยวข้องต่อไป
ศ.เฉลิมพล กล่าวว่า การจัดเวทีวิชาการไม่ได้เป็นขยายผลความขัดแย้ง แต่จะเป็นทางออกอย่างสันติใช้เหตุและผลเพื่อแก้ปัญหาที่คาราคาซังอยู่ เพราะหากไม่ทำอะไรเลยพื้นที่ตรงนั้นจะยังเป็นลานดิน หรือ ลานโคลน กลายเป็นที่จอดรถเสื่อมโทรมเพราะไม่สามารถหาข้อสรุปได้ จึงต้องเป็นเรื่องที่คนเชียงใหม่ทั้งหมดต้องร่วมกันหาคำตอบเพราะเป็นประเด็นของส่วนรวม