คนของรัฐบาลเริ่มเจอเสื้อแดงและตีนตบประท้วงระหว่างเดินทางไปต่างจังหวัดแล้วประปราย สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่อุบลราชธานี , สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เจอที่ลำปาง ส่วนที่เชียงใหม่ยกไปปิดล้อมโรงแรมของพ่อเลี้ยงคะแนน สุภา เพื่อตรวจหา รมว.ไพบูลย์ แก้วทอง ฯลฯ
ข่าวและคอลัมนิสต์ส่วนใหญ่ใช้คำว่า ดาบนั้นคืนสนอง บ้างก็ว่าโดนย้อนเกล็ด
บ้างก็วิเคราะห์ว่า รัฐบาลจะไปรอดได้ยังไงไปเหนือ-อีสานไม่ได้ เพราะจะโดนตีนตบขับไล่
อันที่จริงรัฐบาลรอดไม่รอดไม่ใช่เพราะขบวนเสื้อแดงถือตีนตบไปไล่ทุกที่ในอีสานและเหนือหรอกครับ
รอดไม่รอด ... ขึ้นอยู่กับสังคมไทย ที่หมายถึง รัฐบาล สื่อ สังคมไทย ประชาชนส่วนใหญ่ เข้าใจธรรมเนียมการประท้วงดีพอแค่ไหน
ถ้าดักดานอยู่ตรงที่ติดใจว่ามีคนประท้วงอยู่ริมถนนก็เป็นอันจบ ไม่ต้องไปไหนแล้วครับประเทศไทย จมอยู่ในบัญชีเดียวกับเพื่อนบ้านอินโดจีนแถวๆ นี้แหละอย่าได้โงหัวออกไปสู่ระดับสากลเลย
ก่อนหน้านี้สังคมไทยในยุคเจ้าขุนมูลนาย ที่หมายถึงยุคประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ /ข้าราชการ / หรือผู้มีตำแหน่งทางการเมืองเท่ากับเป็นผู้มีศักดิ์มักจะได้รับสิทธิ์ของการให้ความเกรงใจเป็นพิเศษจากชาวบ้านร้านถิ่นทั่วไป
ไม่ใคร่มีใครหรือคนกลุ่มใดกล้าแสดงตนปฏิเสธแบบ..กูไม่ชอบมึงซึ่งหน้า
เพิ่งจะมายุคทักษิณนี่แหละที่เกิดกระแสดังกล่าวชาวบ้านร้านถิ่นแสดงตัวไม่ชอบหน้า บ้างก็รวมตัวกันไปแสดงตนประกาศไม่ชอบหน้า บ้างก็ไปถือป้ายให้ออกจากตำแหน่ง
ผมยังจำได้ถึงสีหน้าแววตาของข้าราชการทั้งตำรวจ ฝ่ายปกครอง รวมถึงคนมีตำแหน่งแห่งที่ในวันที่มีคนหยิบมือเดียวไปยกป้าย 1 แผ่นขับไล่ทักษิณออกจากตำแหน่งที่สนามบินเชียงใหม่เมื่อปลายปี 2548
นั่นเป็นแววตาของขุนนาง-อำมาตย์ที่พลัดหลงมาในระบอบประชาธิปไตยชัด ๆ !!
คนที่คิดว่าประชาชนประท้วงโดยสงบ-ปราศจากอาวุธไม่ได้ ก็คือ พวกซากเดนศักดินาเท่านั้น ... ในครั้งนั้นข้าราชการ-ตำรวจ-นักการเมืองที่เข้าใจว่าพวกตนคือผู้อยู่ในวิถีประชาธิปไตย กลับไม่เข้าใจเรื่องพื้นฐานของการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน
ขอยืนยัน ! ประชาชนมีสิทธิ์ประท้วง – แสดงออกซึ่งความรู้สึกทางการเมืองของตนต่อนักการเมืองที่เป็นบุคคลสาธารณะอย่างเปิดเผย
จะเสื้อแดง เสื้อเหลือง ถือมือตบ ตีนตบ ล้วนกระทำได้ทั้งสิ้น
หากแต่ต้องอยู่ในกรอบกติกาข้อกฎหมาย-เท่านั้น !!
ปัญหาของสังคมไทยวันนี้ไม่ใช่เรื่องไปตื่นตูมว่า มีคนถือตีนตบไปดักรอที่โน่นที่นี่
แต่อยู่ที่ความเข้าใจพื้นฐานร่วมกันว่าประท้วงแบบไหนที่อยู่ในกรอบ และแบบไหนที่เลยเถิดกระทำมิได้ ถ้ายังดื้อดึงก็ต้องเอาตัวไปลงโทษตามกฎที่กำหนดร่วมกัน
จะเป็นไรมี ถ้าอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไปที่ลำปาง หรือ เชียงใหม่ อีกครั้งแล้วมีประชาชนที่ไม่พอใจบทบาทของอาจารย์ออกมายืนถือป้ายประท้วงที่ฟุตบาทด้านหน้าโรงแรมที่พัก
นี่เป็นเรื่องปกติมากของสังคมประชาธิปไตย ต้องยอมรับการแสดงออกต่อสาธารณะของประชาชนจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็ตาม
ปัญหาก็คือกลไกรัฐและนักการเมืองไทยในยุคก่อนหน้านี้เห็นว่าเป็นสิ่งแสลงตาแสลงใจ และอาจจะนำมาสู่การถูกสั่งย้าย ก็เลยพยายามใช้อำนาจบางชนิดไประงับ ‘สิทธิ’ ตามกฎหมายดังกล่าวปัญหาก็จะเกิดต่อไป
ในทางกลับกันสมมติว่ากลุ่มเสื้อแดงที่ไปยืนประท้วงอาจารย์สมเกียรติหน้าโรงแรมไม่เข้าใจว่าสิทธิ์ของตนมีแค่ไหน แส่ไปปิดประตูทางเข้าโรงแรม หรือล้ำเข้ามาบนถนนมีคนบีบแตรก็ใส่เกือกไปไล่ทุบรถเขา หรือไม่ก็บ้าเลือดไปขว้างปาใส่
อีแบบนี้จับทันทีครับ ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นธรรมเนียมการประท้วงแบบอารยะในวิถีประชาธิปไตยก็จะกลายเป็นประชาสถุล-ประชาถ่อยซึ่งรังแต่จะทำให้บ้านเมืองนี้ถอยหลัง
นี่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของสังคมไทย จำได้ว่าเด็ก ๆ เคยอ่านประวัติของ ยู.เอส.แกรนท์ ( Ulysses S. Grant) นายพลผู้ชนะสงครามกลางเมืองและกลายเป็นประธานาธิบดีต่อจากอับราฮัม ลิงคอล์น คือเมื่อประมาณ 150-170 ปีก่อน อเมริกายุคนั้นขัดแย้งทั้งเรื่องเศรษฐกิจกับอุดมการณ์สิทธิเสรีภาพจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองอย่างที่รู้กัน อีกทางหนึ่งอเมริกาก็กำลังพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่เริ่มสร้างขึ้น
ประชาชนของเขาในยุคเพิ่งเข้าใจเรื่องสิทธิ และเสรีภาพเลือกตั้งกันทีก็แบ่งฝ่ายแบ่งขั้วเหมือนบ้านเรานี่แหละ เด็ก ๆ ที่พ่อแม่สนับสนุนพรรคตรงกันข้ามก็แบ่งข้างกันด่า
Whigs! Whigs! you are a pig ! ส่วนอีกพรรค ในความทรงจำลางเลือนเข้าใจว่าเป็น Democratic Party ต้นธารของเดโมแครตปัจจุบันก็ถูกเด็กอีกฝ่ายด่าว่าเป็นลา
(หมายเหตุ - พรรค Whig เป็นพรรคการเมืองยุคแรก ๆ ของอเมริกาและถูก Republican ยุคหลังสงครามกลางเมืองพัฒนาขึ้นมาแซงหน้าจนต้องจมหายไปในประวัติศาสตร์)
เสร็จแล้วก็ขว้างปาก้อนหินใส่กันหัวร้างข้างแตก !
กว่าที่อเมริกาพัฒนาประชาธิปไตยของเขามาได้ถึงปัจจุบันได้ต้องผ่านเรื่องราวหัวร้างข้างแตกไปจนถึงการจับปืนทำสงครามมาก่อนแล้วจึงค่อยนำมาสู่วิถีประชาธิปไตยแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ของเรานี่ที่เจ็บ-ตายไปแล้วยังไม่มากพออีกหรือ-หือสังคมไทย !!?
ขัดแย้งได้ แสดงออกได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบไม่รุนแรง ไม่ใช้อาวุธ
แสดงออกในความเห็นต่างได้ อีกฝ่ายไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายหรือยับยั้ง
เสื้อแดงถือตีนตบจะไปประท้วงใครที่ไหน – เชิญเถิด !!
ถ้าอยู่ในกรอบ ก็อย่าได้ไปทำอะไรเขาโดยเฉพาะแฟน ปชป. ก็อย่าได้ไปขัดขวางไล่ตีไล่ทุบเพราะจะกลายเป็นพวกถ่อยอันธพาลกับเขาไปด้วย
แต่ถ้ายกไปปิดประตูโรงแรม ถือถุงขี้เยี่ยวมาก็ต้องกันไว้ หรือบ้าขึ้นมาไปไล่ทุบทำร้าย .. ฝ่ายที่รักษาความสงบของบ้านเมืองก็ต้องดำเนินการให้เฉียบขาดถึงที่สุด
ตีนตบ-เสื้อแดง ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
ดีเสียอีกที่สังคมไทยจะช่วยกันทำให้ธรรมเนียมการประท้วงของประชาชนกลายเป็นบรรทัดฐานที่ ถูกต้องอยู่ในกรอบขึ้นมา.. ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านสู่การเมืองใหม่ !
ข่าวและคอลัมนิสต์ส่วนใหญ่ใช้คำว่า ดาบนั้นคืนสนอง บ้างก็ว่าโดนย้อนเกล็ด
บ้างก็วิเคราะห์ว่า รัฐบาลจะไปรอดได้ยังไงไปเหนือ-อีสานไม่ได้ เพราะจะโดนตีนตบขับไล่
อันที่จริงรัฐบาลรอดไม่รอดไม่ใช่เพราะขบวนเสื้อแดงถือตีนตบไปไล่ทุกที่ในอีสานและเหนือหรอกครับ
รอดไม่รอด ... ขึ้นอยู่กับสังคมไทย ที่หมายถึง รัฐบาล สื่อ สังคมไทย ประชาชนส่วนใหญ่ เข้าใจธรรมเนียมการประท้วงดีพอแค่ไหน
ถ้าดักดานอยู่ตรงที่ติดใจว่ามีคนประท้วงอยู่ริมถนนก็เป็นอันจบ ไม่ต้องไปไหนแล้วครับประเทศไทย จมอยู่ในบัญชีเดียวกับเพื่อนบ้านอินโดจีนแถวๆ นี้แหละอย่าได้โงหัวออกไปสู่ระดับสากลเลย
ก่อนหน้านี้สังคมไทยในยุคเจ้าขุนมูลนาย ที่หมายถึงยุคประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ /ข้าราชการ / หรือผู้มีตำแหน่งทางการเมืองเท่ากับเป็นผู้มีศักดิ์มักจะได้รับสิทธิ์ของการให้ความเกรงใจเป็นพิเศษจากชาวบ้านร้านถิ่นทั่วไป
ไม่ใคร่มีใครหรือคนกลุ่มใดกล้าแสดงตนปฏิเสธแบบ..กูไม่ชอบมึงซึ่งหน้า
เพิ่งจะมายุคทักษิณนี่แหละที่เกิดกระแสดังกล่าวชาวบ้านร้านถิ่นแสดงตัวไม่ชอบหน้า บ้างก็รวมตัวกันไปแสดงตนประกาศไม่ชอบหน้า บ้างก็ไปถือป้ายให้ออกจากตำแหน่ง
ผมยังจำได้ถึงสีหน้าแววตาของข้าราชการทั้งตำรวจ ฝ่ายปกครอง รวมถึงคนมีตำแหน่งแห่งที่ในวันที่มีคนหยิบมือเดียวไปยกป้าย 1 แผ่นขับไล่ทักษิณออกจากตำแหน่งที่สนามบินเชียงใหม่เมื่อปลายปี 2548
นั่นเป็นแววตาของขุนนาง-อำมาตย์ที่พลัดหลงมาในระบอบประชาธิปไตยชัด ๆ !!
คนที่คิดว่าประชาชนประท้วงโดยสงบ-ปราศจากอาวุธไม่ได้ ก็คือ พวกซากเดนศักดินาเท่านั้น ... ในครั้งนั้นข้าราชการ-ตำรวจ-นักการเมืองที่เข้าใจว่าพวกตนคือผู้อยู่ในวิถีประชาธิปไตย กลับไม่เข้าใจเรื่องพื้นฐานของการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน
ขอยืนยัน ! ประชาชนมีสิทธิ์ประท้วง – แสดงออกซึ่งความรู้สึกทางการเมืองของตนต่อนักการเมืองที่เป็นบุคคลสาธารณะอย่างเปิดเผย
จะเสื้อแดง เสื้อเหลือง ถือมือตบ ตีนตบ ล้วนกระทำได้ทั้งสิ้น
หากแต่ต้องอยู่ในกรอบกติกาข้อกฎหมาย-เท่านั้น !!
ปัญหาของสังคมไทยวันนี้ไม่ใช่เรื่องไปตื่นตูมว่า มีคนถือตีนตบไปดักรอที่โน่นที่นี่
แต่อยู่ที่ความเข้าใจพื้นฐานร่วมกันว่าประท้วงแบบไหนที่อยู่ในกรอบ และแบบไหนที่เลยเถิดกระทำมิได้ ถ้ายังดื้อดึงก็ต้องเอาตัวไปลงโทษตามกฎที่กำหนดร่วมกัน
จะเป็นไรมี ถ้าอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไปที่ลำปาง หรือ เชียงใหม่ อีกครั้งแล้วมีประชาชนที่ไม่พอใจบทบาทของอาจารย์ออกมายืนถือป้ายประท้วงที่ฟุตบาทด้านหน้าโรงแรมที่พัก
นี่เป็นเรื่องปกติมากของสังคมประชาธิปไตย ต้องยอมรับการแสดงออกต่อสาธารณะของประชาชนจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็ตาม
ปัญหาก็คือกลไกรัฐและนักการเมืองไทยในยุคก่อนหน้านี้เห็นว่าเป็นสิ่งแสลงตาแสลงใจ และอาจจะนำมาสู่การถูกสั่งย้าย ก็เลยพยายามใช้อำนาจบางชนิดไประงับ ‘สิทธิ’ ตามกฎหมายดังกล่าวปัญหาก็จะเกิดต่อไป
ในทางกลับกันสมมติว่ากลุ่มเสื้อแดงที่ไปยืนประท้วงอาจารย์สมเกียรติหน้าโรงแรมไม่เข้าใจว่าสิทธิ์ของตนมีแค่ไหน แส่ไปปิดประตูทางเข้าโรงแรม หรือล้ำเข้ามาบนถนนมีคนบีบแตรก็ใส่เกือกไปไล่ทุบรถเขา หรือไม่ก็บ้าเลือดไปขว้างปาใส่
อีแบบนี้จับทันทีครับ ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นธรรมเนียมการประท้วงแบบอารยะในวิถีประชาธิปไตยก็จะกลายเป็นประชาสถุล-ประชาถ่อยซึ่งรังแต่จะทำให้บ้านเมืองนี้ถอยหลัง
นี่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของสังคมไทย จำได้ว่าเด็ก ๆ เคยอ่านประวัติของ ยู.เอส.แกรนท์ ( Ulysses S. Grant) นายพลผู้ชนะสงครามกลางเมืองและกลายเป็นประธานาธิบดีต่อจากอับราฮัม ลิงคอล์น คือเมื่อประมาณ 150-170 ปีก่อน อเมริกายุคนั้นขัดแย้งทั้งเรื่องเศรษฐกิจกับอุดมการณ์สิทธิเสรีภาพจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองอย่างที่รู้กัน อีกทางหนึ่งอเมริกาก็กำลังพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่เริ่มสร้างขึ้น
ประชาชนของเขาในยุคเพิ่งเข้าใจเรื่องสิทธิ และเสรีภาพเลือกตั้งกันทีก็แบ่งฝ่ายแบ่งขั้วเหมือนบ้านเรานี่แหละ เด็ก ๆ ที่พ่อแม่สนับสนุนพรรคตรงกันข้ามก็แบ่งข้างกันด่า
Whigs! Whigs! you are a pig ! ส่วนอีกพรรค ในความทรงจำลางเลือนเข้าใจว่าเป็น Democratic Party ต้นธารของเดโมแครตปัจจุบันก็ถูกเด็กอีกฝ่ายด่าว่าเป็นลา
(หมายเหตุ - พรรค Whig เป็นพรรคการเมืองยุคแรก ๆ ของอเมริกาและถูก Republican ยุคหลังสงครามกลางเมืองพัฒนาขึ้นมาแซงหน้าจนต้องจมหายไปในประวัติศาสตร์)
เสร็จแล้วก็ขว้างปาก้อนหินใส่กันหัวร้างข้างแตก !
กว่าที่อเมริกาพัฒนาประชาธิปไตยของเขามาได้ถึงปัจจุบันได้ต้องผ่านเรื่องราวหัวร้างข้างแตกไปจนถึงการจับปืนทำสงครามมาก่อนแล้วจึงค่อยนำมาสู่วิถีประชาธิปไตยแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ของเรานี่ที่เจ็บ-ตายไปแล้วยังไม่มากพออีกหรือ-หือสังคมไทย !!?
ขัดแย้งได้ แสดงออกได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบไม่รุนแรง ไม่ใช้อาวุธ
แสดงออกในความเห็นต่างได้ อีกฝ่ายไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายหรือยับยั้ง
เสื้อแดงถือตีนตบจะไปประท้วงใครที่ไหน – เชิญเถิด !!
ถ้าอยู่ในกรอบ ก็อย่าได้ไปทำอะไรเขาโดยเฉพาะแฟน ปชป. ก็อย่าได้ไปขัดขวางไล่ตีไล่ทุบเพราะจะกลายเป็นพวกถ่อยอันธพาลกับเขาไปด้วย
แต่ถ้ายกไปปิดประตูโรงแรม ถือถุงขี้เยี่ยวมาก็ต้องกันไว้ หรือบ้าขึ้นมาไปไล่ทุบทำร้าย .. ฝ่ายที่รักษาความสงบของบ้านเมืองก็ต้องดำเนินการให้เฉียบขาดถึงที่สุด
ตีนตบ-เสื้อแดง ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
ดีเสียอีกที่สังคมไทยจะช่วยกันทำให้ธรรมเนียมการประท้วงของประชาชนกลายเป็นบรรทัดฐานที่ ถูกต้องอยู่ในกรอบขึ้นมา.. ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านสู่การเมืองใหม่ !