สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับมติจากสภาผู้แทนราษฎรเป็นนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 26 ด้วยคะแนน 298 เสียงตามครรลองการเมืองแบบจัดสรรปันส่วน
ไม่มีใครแปลกใจกับข่าวส.ส.ทะเลาะกันหม้อขี้คว่ำในช่วงสองวันที่ผ่านมาเพราะรู้ ๆ กันอยู่ว่าการต่อรองผลประโยชน์ของนักการเมืองเป็นฉะนี้เอง ด้านหนึ่งออกมาขู่ยุบสภา อีกด้านทำเป็นต่อสายฝ่ายตรงกันข้ามเพิ่มอำนาจต่อรอง
ที่สุดมันก็เข้าอีหรอบเดิมของการเมืองประชาธิปไตยของนายทุนการเมือง โดยนักเลือกตั้ง เพื่อกลุ่มนักเลือกตั้ง แบ่งเค้กลงตัวพร้อมสวาปามกันรอบใหม่
ปัจจัยสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของการเมืองไทยยุค สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มี 4 ประการ
ประการแรก - สมชาย วงศ์สวัสดิ์ แม้จะอาวุโสในราชการแต่ก็เป็นละอ่อนทางการเมือง นี่เป็นทั้งด้านดีและด้อย บุคลิกนุ่มนิ่มยิ้มละมัยแบบนี้หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมทางการเมืองปกติอาจจะเดินไปได้ดี.. แต่สำหรับการเมืองไทยระยะนี้มันไม่ปกติ ละอ่อนการเมืองจะต้องนั่งหัวโต๊ะท่ามกลางเหล่าเสือหิวที่รู้ว่าเวลามีน้อย หนำซ้ำยังมีศึกภายนอกเผชิญกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกทางหนึ่ง
ลำพัง คนชื่อสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตผู้พิพากษาและปลัดกระทรวงย่อมไม่สามารถทนแรงเสียดทานภาวะดังกล่าวได้เลย จะมีก็แต่คนชื่อ สมชาย ที่เป็นน้องเขยอดีตนายกฯ และเป็นสามีของ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เท่านั้นที่ทำได้
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ จำเป็นจะต้องอาศัยพลังหนุนที่อยู่ด้านหลัง ทั้งแบบเปิดเผยตัวและอยู่หลังม่าน
คล้ายกับ พลังซูสีไทเฮา อยู่หลังม่านจักรพรรดิที่โลกลืมในครั้งกระโน้น
เมื่อครั้งสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สังคมไทยเคยได้เห็นคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีผู้ถูกส่งมาจากคุณหญิงบ้านจันทร์ส่องหล้า ในครั้งนี้สังคมไทยก็จะได้เห็นบุคคลที่หลังบ้านส่งมาประกบนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน
“สมชาย หน้าม่าน” ต้องอาศัยพลังของ “หลังม่าน” เติมเต็มสิ่งที่ตนขาด !
ประการที่สอง - รัฐบาลนี้เริ่มต้นภายใต้เงื่อนไขนับถอยหลังรอฟังคำพิพากษายุบพรรคซึ่งคาดว่าอีกไม่เกิน 2 เดือนนับจากนี้
นี่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่กำหนดรูปแบบ กระบวนท่า ของรัฐบาลสมชายที่ทุกคนรู้ว่าเวลานับถอยหลัง แค่สองเดือน อะไรที่เร่งได้จะต้องเร่งทำ
จะมัวละเลียดดินเนอร์ หรือแม้แต่บุฟเฟ่ต์เดินตักชิมไปเรื่อยไม่ได้..มีท่าเดียวเท่านั้นคือต้องฟาสต์ฟู้ดเพื่อให้ทันเวลา
ดินเนอร์ต้องมากมารยาท แต่สำหรับ ฟาสต์ฟู้ด เป็นข้อยกเว้น !
ประการที่สาม –พรรคพลังประชาชนผูกรวมกันได้รอบนี้เพราะผลประโยชน์เท่านั้น การต่อรองโควตาตำแหน่งที่เกิดเมื่อสองวันก่อนจะปรากฏเป็นรูปธรรมเมื่อจัดตั้งครม.ใหม่ เปิดห้องเรียนให้สังคมได้เห็นว่าการเมืองแบบสามานย์นั้นเขาตกลงขีดเส้นสัมปทานผลประโยชน์แดกด่วนประเทศไทยกันอย่างไร
อย่างไรก็ดี นี่เป็นอำนาจเฮือกสุดท้ายที่มีเวลาแค่สองเดือน ต่อจากนี้จะได้เห็นผลจากผู้พลาดหวัง ตกขบวนไม่ได้รับจัดสรรอำนาจและตำแหน่ง อย่าลืมว่า ตำแหน่งแห่งที่มีน้อย กรรมาธิการก็จัดกันไปแล้วเหลือแค่เลขารัฐมนตรี-ที่ปรึกษาหรือไม่ก็ตำแหน่งประจำสำนักนายกฯ เท่านั้น
ด้วยเงื่อนเวลานับถอยหลังและการจัดสัมปทานแดกด่วน รัฐบาลนี้ไม่มีทางที่จะเป็นเอกภาพไปได้เลย แม้ว่ากลุ่มภาคเหนือจะเตรียมพรรคใหม่รอรับไว้เป็นเครื่องปรามว่าอย่าได้คิดกระเพื่อมมิฉะนั้นจะไม่ได้อยู่พรรคใหม่ก็เหอะ
ภาวะหม้อขี้คว่ำเกิดครั้งแรกแล้ว คิดหรือจะไม่มีครั้งสอง-สาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกคนรู้ว่ากำลังเดินไปสู่การเลือกตั้งรอบใหม่ !
ประการที่สี่ – สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ตำแหน่งอย่างไม่คาดฝันเป็นผลพวงจากพลังตรวจสอบ และ พลังต่อต้านนอกสภา ที่รุกไล่สมัคร สุนทรเวช และพรรคพลังประชาชนพ่ายแพ้สมรภูมิแล้วสมรภูมิเล่า
แม้แต่ตัวเองก็อย่าคิดว่าจะรอดหากมีคำพิพากษายุบพรรคจริง !
นี่จึงเป็นการขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งรักษาป้อมค่ายที่มั่นสุดท้าย ประคองตนรอพลิกเกมให้กับพวกพ้องจนกว่าจะมีการเลือกตั้งรอบใหม่เท่านั้น
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ตำแหน่งเพราะผลพวงความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ของสังคมไทย และเป็นความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ ที่หยั่งลึกลงไปถึงรากปรัชญาและแนวทางการเมือง
สังคมไทยอยู่ในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในรอบ 75 ปี
ไม่มีทางเลยที่นั่งเก้าอี้แล้วจะบันดาลให้สามารถสลายความขัดแย้งที่หยั่งลึก มีแต่ต้องเดินหน้าสู้เพื่อรักษาอำนาจและแนวทางการเมืองแบบที่พวกตนต้องการ หากแต่กระบวนท่า ยุทธวิธี อาจแตกต่างไปจากยุคของสมัคร สุนทรเวช
น่าสนใจที่สุดว่า สมชายหน้าม่าน จะ “สู้” แบบไหน !!?
………..
บทเริ่มต้นการเมืองยุคสมชาย - สมชาย วงศ์สวัสดิ์ โชคดีและโชคร้ายพร้อมกัน ที่โชคร้ายเพราะมานั่งเก้าอี้แบบที่นับถอยหลังให้กับตัวเอง เข้ามาในภาวะที่พรรคระส่ำระสาย ศัตรูรอบด้าน เป็นทุกขลาภที่ได้เลือกแล้ว
ในส่วนที่โชคดี ต้องยอมรับว่า ปรอทการเมืองปลายยุคสมัคร สุนทรเวช ถึงจุดเดือดสูงสุดพร้อมแตกได้ทุกขณะ แต่เมื่อสมัคร สุนทรเวช ลงจากตำแหน่ง อุณหภูมิดังกล่าวลดลงมาในระดับสำคัญ
ถึงกับมีกระแสบางกระแสเรียกร้องให้พันธมิตรฯ หาสถานีจอด เพื่อรอจังหวะเหมาะ !
จังหวะของการต่อสู้ทางการเมืองเปลี่ยนไป ยอดฝีมือต่อสู้กัน..อีกฝ่ายปรับกระบวนท่า ก็เหมือนเปลี่ยนยุทธวิธี นี่เป็นห้วงเวลาของจุดเปลี่ยนสถานะรุก-รับอาจเกิดขึ้นเพียงพลิกฝ่ามือ
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพันธมิตรฯ หรือ รัฐบาลสมชายหน้าม่าน ต่างอยู่ในจุดเปลี่ยนดังกล่าว หากจังหวะเหมาะสมฝ่ายรับสามารถพลิกเป็นรุก...รุกกลายเป็นรับได้เช่นกัน
ระยะสองสามวันนี้ ก่อนที่รัฐบาลใหม่จะเผยโฉมคณะรัฐมนตรี พันธมิตรฯจะยังต้องเผชิญกับกระแสถูกตั้งคำถามเรื่องยุทธวิธี สังเกตได้ว่า เหล่าแกนนำตระหนักรู้ถึงสภาวะดังกล่าวเป็นอย่างดีด้วยการพยายามตอกย้ำรายละเอียดของจุดยืนและอุดมการณ์การเมืองใหม่
การต่อสู้เชิงอุดมการณ์ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการตอกย้ำให้ความชัดเจนรายละเอียดของอุดมการณ์ ปลูกลงไปถึงมวลชนรากฐาน เพื่อให้เป็นป้อมปราการมหาชนที่หนักแน่นมั่นคงถาวรสืบไป
การเมืองช่วงนี้เหมือนการพักรบระยะสั้น ๆ
ฝ่ายหนึ่งจัดทัพใหม่ อีกฝ่ายปรับเกมรอเวลา
ให้ครม. ใหม่เผยโฉมก่อนแล้วจะได้เห็นว่ารัฐบาลเหล้าเก่าในขวดใหม่จะเอายังไงกับประเทศไทยต่อ
สงครามครั้งสุดท้ายยังไม่จบ แต่ไม่ถึงกับยาวนานข้ามปีหรอก !
ไม่มีใครแปลกใจกับข่าวส.ส.ทะเลาะกันหม้อขี้คว่ำในช่วงสองวันที่ผ่านมาเพราะรู้ ๆ กันอยู่ว่าการต่อรองผลประโยชน์ของนักการเมืองเป็นฉะนี้เอง ด้านหนึ่งออกมาขู่ยุบสภา อีกด้านทำเป็นต่อสายฝ่ายตรงกันข้ามเพิ่มอำนาจต่อรอง
ที่สุดมันก็เข้าอีหรอบเดิมของการเมืองประชาธิปไตยของนายทุนการเมือง โดยนักเลือกตั้ง เพื่อกลุ่มนักเลือกตั้ง แบ่งเค้กลงตัวพร้อมสวาปามกันรอบใหม่
ปัจจัยสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของการเมืองไทยยุค สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มี 4 ประการ
ประการแรก - สมชาย วงศ์สวัสดิ์ แม้จะอาวุโสในราชการแต่ก็เป็นละอ่อนทางการเมือง นี่เป็นทั้งด้านดีและด้อย บุคลิกนุ่มนิ่มยิ้มละมัยแบบนี้หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมทางการเมืองปกติอาจจะเดินไปได้ดี.. แต่สำหรับการเมืองไทยระยะนี้มันไม่ปกติ ละอ่อนการเมืองจะต้องนั่งหัวโต๊ะท่ามกลางเหล่าเสือหิวที่รู้ว่าเวลามีน้อย หนำซ้ำยังมีศึกภายนอกเผชิญกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกทางหนึ่ง
ลำพัง คนชื่อสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตผู้พิพากษาและปลัดกระทรวงย่อมไม่สามารถทนแรงเสียดทานภาวะดังกล่าวได้เลย จะมีก็แต่คนชื่อ สมชาย ที่เป็นน้องเขยอดีตนายกฯ และเป็นสามีของ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เท่านั้นที่ทำได้
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ จำเป็นจะต้องอาศัยพลังหนุนที่อยู่ด้านหลัง ทั้งแบบเปิดเผยตัวและอยู่หลังม่าน
คล้ายกับ พลังซูสีไทเฮา อยู่หลังม่านจักรพรรดิที่โลกลืมในครั้งกระโน้น
เมื่อครั้งสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สังคมไทยเคยได้เห็นคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีผู้ถูกส่งมาจากคุณหญิงบ้านจันทร์ส่องหล้า ในครั้งนี้สังคมไทยก็จะได้เห็นบุคคลที่หลังบ้านส่งมาประกบนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน
“สมชาย หน้าม่าน” ต้องอาศัยพลังของ “หลังม่าน” เติมเต็มสิ่งที่ตนขาด !
ประการที่สอง - รัฐบาลนี้เริ่มต้นภายใต้เงื่อนไขนับถอยหลังรอฟังคำพิพากษายุบพรรคซึ่งคาดว่าอีกไม่เกิน 2 เดือนนับจากนี้
นี่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่กำหนดรูปแบบ กระบวนท่า ของรัฐบาลสมชายที่ทุกคนรู้ว่าเวลานับถอยหลัง แค่สองเดือน อะไรที่เร่งได้จะต้องเร่งทำ
จะมัวละเลียดดินเนอร์ หรือแม้แต่บุฟเฟ่ต์เดินตักชิมไปเรื่อยไม่ได้..มีท่าเดียวเท่านั้นคือต้องฟาสต์ฟู้ดเพื่อให้ทันเวลา
ดินเนอร์ต้องมากมารยาท แต่สำหรับ ฟาสต์ฟู้ด เป็นข้อยกเว้น !
ประการที่สาม –พรรคพลังประชาชนผูกรวมกันได้รอบนี้เพราะผลประโยชน์เท่านั้น การต่อรองโควตาตำแหน่งที่เกิดเมื่อสองวันก่อนจะปรากฏเป็นรูปธรรมเมื่อจัดตั้งครม.ใหม่ เปิดห้องเรียนให้สังคมได้เห็นว่าการเมืองแบบสามานย์นั้นเขาตกลงขีดเส้นสัมปทานผลประโยชน์แดกด่วนประเทศไทยกันอย่างไร
อย่างไรก็ดี นี่เป็นอำนาจเฮือกสุดท้ายที่มีเวลาแค่สองเดือน ต่อจากนี้จะได้เห็นผลจากผู้พลาดหวัง ตกขบวนไม่ได้รับจัดสรรอำนาจและตำแหน่ง อย่าลืมว่า ตำแหน่งแห่งที่มีน้อย กรรมาธิการก็จัดกันไปแล้วเหลือแค่เลขารัฐมนตรี-ที่ปรึกษาหรือไม่ก็ตำแหน่งประจำสำนักนายกฯ เท่านั้น
ด้วยเงื่อนเวลานับถอยหลังและการจัดสัมปทานแดกด่วน รัฐบาลนี้ไม่มีทางที่จะเป็นเอกภาพไปได้เลย แม้ว่ากลุ่มภาคเหนือจะเตรียมพรรคใหม่รอรับไว้เป็นเครื่องปรามว่าอย่าได้คิดกระเพื่อมมิฉะนั้นจะไม่ได้อยู่พรรคใหม่ก็เหอะ
ภาวะหม้อขี้คว่ำเกิดครั้งแรกแล้ว คิดหรือจะไม่มีครั้งสอง-สาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกคนรู้ว่ากำลังเดินไปสู่การเลือกตั้งรอบใหม่ !
ประการที่สี่ – สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ตำแหน่งอย่างไม่คาดฝันเป็นผลพวงจากพลังตรวจสอบ และ พลังต่อต้านนอกสภา ที่รุกไล่สมัคร สุนทรเวช และพรรคพลังประชาชนพ่ายแพ้สมรภูมิแล้วสมรภูมิเล่า
แม้แต่ตัวเองก็อย่าคิดว่าจะรอดหากมีคำพิพากษายุบพรรคจริง !
นี่จึงเป็นการขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งรักษาป้อมค่ายที่มั่นสุดท้าย ประคองตนรอพลิกเกมให้กับพวกพ้องจนกว่าจะมีการเลือกตั้งรอบใหม่เท่านั้น
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ตำแหน่งเพราะผลพวงความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ของสังคมไทย และเป็นความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ ที่หยั่งลึกลงไปถึงรากปรัชญาและแนวทางการเมือง
สังคมไทยอยู่ในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในรอบ 75 ปี
ไม่มีทางเลยที่นั่งเก้าอี้แล้วจะบันดาลให้สามารถสลายความขัดแย้งที่หยั่งลึก มีแต่ต้องเดินหน้าสู้เพื่อรักษาอำนาจและแนวทางการเมืองแบบที่พวกตนต้องการ หากแต่กระบวนท่า ยุทธวิธี อาจแตกต่างไปจากยุคของสมัคร สุนทรเวช
น่าสนใจที่สุดว่า สมชายหน้าม่าน จะ “สู้” แบบไหน !!?
………..
บทเริ่มต้นการเมืองยุคสมชาย - สมชาย วงศ์สวัสดิ์ โชคดีและโชคร้ายพร้อมกัน ที่โชคร้ายเพราะมานั่งเก้าอี้แบบที่นับถอยหลังให้กับตัวเอง เข้ามาในภาวะที่พรรคระส่ำระสาย ศัตรูรอบด้าน เป็นทุกขลาภที่ได้เลือกแล้ว
ในส่วนที่โชคดี ต้องยอมรับว่า ปรอทการเมืองปลายยุคสมัคร สุนทรเวช ถึงจุดเดือดสูงสุดพร้อมแตกได้ทุกขณะ แต่เมื่อสมัคร สุนทรเวช ลงจากตำแหน่ง อุณหภูมิดังกล่าวลดลงมาในระดับสำคัญ
ถึงกับมีกระแสบางกระแสเรียกร้องให้พันธมิตรฯ หาสถานีจอด เพื่อรอจังหวะเหมาะ !
จังหวะของการต่อสู้ทางการเมืองเปลี่ยนไป ยอดฝีมือต่อสู้กัน..อีกฝ่ายปรับกระบวนท่า ก็เหมือนเปลี่ยนยุทธวิธี นี่เป็นห้วงเวลาของจุดเปลี่ยนสถานะรุก-รับอาจเกิดขึ้นเพียงพลิกฝ่ามือ
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพันธมิตรฯ หรือ รัฐบาลสมชายหน้าม่าน ต่างอยู่ในจุดเปลี่ยนดังกล่าว หากจังหวะเหมาะสมฝ่ายรับสามารถพลิกเป็นรุก...รุกกลายเป็นรับได้เช่นกัน
ระยะสองสามวันนี้ ก่อนที่รัฐบาลใหม่จะเผยโฉมคณะรัฐมนตรี พันธมิตรฯจะยังต้องเผชิญกับกระแสถูกตั้งคำถามเรื่องยุทธวิธี สังเกตได้ว่า เหล่าแกนนำตระหนักรู้ถึงสภาวะดังกล่าวเป็นอย่างดีด้วยการพยายามตอกย้ำรายละเอียดของจุดยืนและอุดมการณ์การเมืองใหม่
การต่อสู้เชิงอุดมการณ์ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการตอกย้ำให้ความชัดเจนรายละเอียดของอุดมการณ์ ปลูกลงไปถึงมวลชนรากฐาน เพื่อให้เป็นป้อมปราการมหาชนที่หนักแน่นมั่นคงถาวรสืบไป
การเมืองช่วงนี้เหมือนการพักรบระยะสั้น ๆ
ฝ่ายหนึ่งจัดทัพใหม่ อีกฝ่ายปรับเกมรอเวลา
ให้ครม. ใหม่เผยโฉมก่อนแล้วจะได้เห็นว่ารัฐบาลเหล้าเก่าในขวดใหม่จะเอายังไงกับประเทศไทยต่อ
สงครามครั้งสุดท้ายยังไม่จบ แต่ไม่ถึงกับยาวนานข้ามปีหรอก !