ในฐานะที่เคยสอนวิชาด้านสื่อสารมวลชนที่นิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ร่วม 5 ปี พระบาทขอปรบมือดังๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่าง, ฝ่ายเทคนิค
และฝ่ายข่าวส่วนหนึ่งครับที่ทนต่อไปไม่ไหว
พวกเขาได้ระลึกถึงวิญญาณของความเป็นมืออาชีพและมีสำนึกของการเป็นนักสื่อสารที่แท้จริง ไม่ต้องการเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด พวกเขารู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน เมื่อ NBT ถูกประชาชนเข้ายึด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกทำร้าย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งเขาเข้าใจได้แล้วก็คือเหตุผลว่าทำไมสถานีโทรทัศน์ของเขาจึงถูกประชาชนเกลียดชังถึงเพียงนี้
แน่นอนเพราะว่าสถานีของเขามันไม่ใช่สื่อที่ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่อประชาชน แต่มันกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองอยู่ในเงื้อมมือของรัฐบาลจนเรียกได้ว่าเกินขอบเขต ที่เลวร้ายก็คือ เอาสื่อของรัฐไปโจมตีฝ่ายที่คัดค้านรัฐบาล มิหนำซ้ำยังบังอาจเอาคนของรัฐบาลบางคนที่เคยหมิ่นสถาบันมาออกอากาศ 2-3 คน เพื่อโจมตีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่าพันธมิตรอีกก็หลายครั้ง
เมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็น่าสลดใจ ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปก็จะเกิดขาดความชอบธรรม
ผมเองไม่แน่ใจว่ามันเริ่มอย่างใด ใครเป็นผู้นำ แต่ผมขอยกย่องจิตใจและความกล้าหาญที่พนักงานของสถานีโทรทัศน์ของรัฐได้กระทำ พวกเขารวมกันสิ่งที่บัดนี้จะเป็นบันทึกในประวัติศาสตร์ และจะยิ่งใหญ่มากเป็นครั้งแรกของประเทศนี้ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกและขอบอกว่า นี่ยิ่งกว่าการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของสื่อ แต่เป็นการสู้เพื่อปลดพันธการของการได้มาซึ่ง “ความเป็นอิสระ” ของระบบสื่อสาร ที่ใหญ่กว่าเสรีภาพอีกนะ
ผมกล่าวเช่นนี้เพราะ “ระบบ” คือโครงสร้างขององค์รวมที่ครอบทั้งเสรีภาพ, ความรับผิดชอบ และการทำงานของบุคลากรทั้งหมด
เสรีภาพนั้นเป็นเงื่อนไขซึ่งผูกโยงกับเศรษฐกิจ, สังคม วัฒนธรรมที่มีทั้งจารีตประเพณี ความเชื่อ ตลอดจนศาสนากำกับหรือครอบงำอยู่
เสรีภาพเข้ามาสมทบส่วนกับความรับผิดชอบ เพราะหากไร้ซึ่งความรับผิดชอบแล้ว ก็อาจใช้เสรีภาพไปละเมิดต่อผู้อื่นต่อองค์กรหรือสถาบันต่างๆ ได้
ทั้งเสรีภาพและความรับผิดชอบนั้นมีผลอย่างยิ่งต่อพนักงานและบุคลากรในช่อง 11 (ผมจะไม่เรียก NBT อีกแล้ว)
สมัยหนึ่งช่อง 11นั้นดูจะเชย แต่ความจริงไม่ใช่เลยแท้แล้วฝ่ายช่าง, ฝ่ายเทคนิคของที่นี่เป็นครู และผู้เชี่ยวชาญโดนดึงตัวออกไปอยู่กับช่องอื่นๆ ก็มาก
หลายคนที่ผมเคยทราบไปอยู่กับ T.V. ต่างประเทศกับพวกอเมริกัน, อังกฤษ และทีวีญี่ปุ่นก็มีมากนะครับ
ปัจจุบันคนที่อยู่ก็ไม่ต่างอะไรจากคนเก่า ระบบของช่อง 11 ก็ดี ไม่งั้น ASTV. เชื่อมสัญญาณได้แล้ว และระบบนี้ก็ทำให้ช่อง 11 ใช้ต่างจังหวัดเชื่อมออกอากาศแบบฉุกเฉินพลิกเป็นเหมือนแม่ข่ายออกอากาศในยามวิกฤตได้ ดังได้ทำสำเร็จให้เห็นมาแล้ว เมื่อโดนยึด
ขอให้ผู้บริหารสูงสุดยอมเปลี่ยนตามพนักงานเถอะครับ
ประการแรก เลิกรับใช้ฝ่ายการเมืองจนเกินงาม
ประการที่สอง กลับมาเป็นช่อง 11 และปรับรายการให้เป็นของประชาชน
ประการที่สาม ผมอยากให้เป็นช่องที่แสวงหากำไรเชิงพาณิชย์ รวมทั้งมีสารคดีและละครเริงรมย์ แต่ไม่มอมเมาด้วย ควรส่งเสริมดนตรีประเภทคอนเสิร์ตที่ดีๆ ด้วย เพื่อประโยชน์ในการศึกษาครับ
ท้ายสุดนี้ ผมถือว่านี่เป็นก้าวใหม่ที่ดี ขอขอบคุณชาวช่อง 11 ว่า มันเป็นประวัติศาสตร์ ประชาชนก็ต้องขอบคุณคนช่อง 11 ด้วย เป็นการกระทำที่กล้าหาญและไม่ต้องกลัวครับ
ผมฟังคำชมจากพันธมิตรที่เขาถ่ายทอด ชื่นชมพนักงานที่เข้าหารือกับท่าน ผ.อ.แล้ว รู้สึกดีใจแทนพวกท่านด้วย
ขอให้โชคดีและก้าวเดินอย่างมั่นคง
ไม่มีใครไปยึดสถานีท่านอีกแล้ว มีแต่คนจะไปมอบดอกไม้ให้ครับ
และฝ่ายข่าวส่วนหนึ่งครับที่ทนต่อไปไม่ไหว
พวกเขาได้ระลึกถึงวิญญาณของความเป็นมืออาชีพและมีสำนึกของการเป็นนักสื่อสารที่แท้จริง ไม่ต้องการเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด พวกเขารู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน เมื่อ NBT ถูกประชาชนเข้ายึด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกทำร้าย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งเขาเข้าใจได้แล้วก็คือเหตุผลว่าทำไมสถานีโทรทัศน์ของเขาจึงถูกประชาชนเกลียดชังถึงเพียงนี้
แน่นอนเพราะว่าสถานีของเขามันไม่ใช่สื่อที่ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่อประชาชน แต่มันกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองอยู่ในเงื้อมมือของรัฐบาลจนเรียกได้ว่าเกินขอบเขต ที่เลวร้ายก็คือ เอาสื่อของรัฐไปโจมตีฝ่ายที่คัดค้านรัฐบาล มิหนำซ้ำยังบังอาจเอาคนของรัฐบาลบางคนที่เคยหมิ่นสถาบันมาออกอากาศ 2-3 คน เพื่อโจมตีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่าพันธมิตรอีกก็หลายครั้ง
เมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็น่าสลดใจ ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปก็จะเกิดขาดความชอบธรรม
ผมเองไม่แน่ใจว่ามันเริ่มอย่างใด ใครเป็นผู้นำ แต่ผมขอยกย่องจิตใจและความกล้าหาญที่พนักงานของสถานีโทรทัศน์ของรัฐได้กระทำ พวกเขารวมกันสิ่งที่บัดนี้จะเป็นบันทึกในประวัติศาสตร์ และจะยิ่งใหญ่มากเป็นครั้งแรกของประเทศนี้ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกและขอบอกว่า นี่ยิ่งกว่าการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของสื่อ แต่เป็นการสู้เพื่อปลดพันธการของการได้มาซึ่ง “ความเป็นอิสระ” ของระบบสื่อสาร ที่ใหญ่กว่าเสรีภาพอีกนะ
ผมกล่าวเช่นนี้เพราะ “ระบบ” คือโครงสร้างขององค์รวมที่ครอบทั้งเสรีภาพ, ความรับผิดชอบ และการทำงานของบุคลากรทั้งหมด
เสรีภาพนั้นเป็นเงื่อนไขซึ่งผูกโยงกับเศรษฐกิจ, สังคม วัฒนธรรมที่มีทั้งจารีตประเพณี ความเชื่อ ตลอดจนศาสนากำกับหรือครอบงำอยู่
เสรีภาพเข้ามาสมทบส่วนกับความรับผิดชอบ เพราะหากไร้ซึ่งความรับผิดชอบแล้ว ก็อาจใช้เสรีภาพไปละเมิดต่อผู้อื่นต่อองค์กรหรือสถาบันต่างๆ ได้
ทั้งเสรีภาพและความรับผิดชอบนั้นมีผลอย่างยิ่งต่อพนักงานและบุคลากรในช่อง 11 (ผมจะไม่เรียก NBT อีกแล้ว)
สมัยหนึ่งช่อง 11นั้นดูจะเชย แต่ความจริงไม่ใช่เลยแท้แล้วฝ่ายช่าง, ฝ่ายเทคนิคของที่นี่เป็นครู และผู้เชี่ยวชาญโดนดึงตัวออกไปอยู่กับช่องอื่นๆ ก็มาก
หลายคนที่ผมเคยทราบไปอยู่กับ T.V. ต่างประเทศกับพวกอเมริกัน, อังกฤษ และทีวีญี่ปุ่นก็มีมากนะครับ
ปัจจุบันคนที่อยู่ก็ไม่ต่างอะไรจากคนเก่า ระบบของช่อง 11 ก็ดี ไม่งั้น ASTV. เชื่อมสัญญาณได้แล้ว และระบบนี้ก็ทำให้ช่อง 11 ใช้ต่างจังหวัดเชื่อมออกอากาศแบบฉุกเฉินพลิกเป็นเหมือนแม่ข่ายออกอากาศในยามวิกฤตได้ ดังได้ทำสำเร็จให้เห็นมาแล้ว เมื่อโดนยึด
ขอให้ผู้บริหารสูงสุดยอมเปลี่ยนตามพนักงานเถอะครับ
ประการแรก เลิกรับใช้ฝ่ายการเมืองจนเกินงาม
ประการที่สอง กลับมาเป็นช่อง 11 และปรับรายการให้เป็นของประชาชน
ประการที่สาม ผมอยากให้เป็นช่องที่แสวงหากำไรเชิงพาณิชย์ รวมทั้งมีสารคดีและละครเริงรมย์ แต่ไม่มอมเมาด้วย ควรส่งเสริมดนตรีประเภทคอนเสิร์ตที่ดีๆ ด้วย เพื่อประโยชน์ในการศึกษาครับ
ท้ายสุดนี้ ผมถือว่านี่เป็นก้าวใหม่ที่ดี ขอขอบคุณชาวช่อง 11 ว่า มันเป็นประวัติศาสตร์ ประชาชนก็ต้องขอบคุณคนช่อง 11 ด้วย เป็นการกระทำที่กล้าหาญและไม่ต้องกลัวครับ
ผมฟังคำชมจากพันธมิตรที่เขาถ่ายทอด ชื่นชมพนักงานที่เข้าหารือกับท่าน ผ.อ.แล้ว รู้สึกดีใจแทนพวกท่านด้วย
ขอให้โชคดีและก้าวเดินอย่างมั่นคง
ไม่มีใครไปยึดสถานีท่านอีกแล้ว มีแต่คนจะไปมอบดอกไม้ให้ครับ