มีหลายคน ทั้งนี้รวมทั้งนักวิชาการและพรรคการเมืองฝ่ายค้านก็เห็นว่า การที่กลุ่ม นปช.เคลื่อนพลเข้ามาทำร้ายพันธมิตรนั้นมาด้วยแรงหนุนจากรัฐบาล ก็เพื่อเปิดโอกาสที่จะฉวยโอกาสประกาศให้ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และก็หวังโยนอำนาจไปยังฝ่ายทหารและเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องให้มาจัดการกับพันธมิตร
แต่แล้ว ผบ.ทบ.และเหล่าทัพใช่ว่าจะก้าวสู่กับดักของรัฐบาลที่วางไว้ โดยรู้ว่าขืนทำอะไรเกินเลยไป ก็เท่ากับเปลืองตัวเปล่าๆ ไม่เป็นผลดี ภาพลักษณ์ขณะนี้กองทัพวางไว้เป็นกลางอยู่แล้ว
หน้าที่เฉพาะหน้าก็เป็นไปอย่างที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แถลงไว้นั่นแหละครับ คือทหารและตำรวจอยู่ตรงกลาง และจะพยายามไม่ให้ “คนปะทะกัน” แต่ปะทะกันทางความคิดไม่เป็นไรหรอก เพราะใช้เหตุผล ว่ากันไปตามกฎหมาย
แน่นอนว่าทำให้พวกอยากให้ใช้กำลังหรืออยากให้ปราบพันธมิตรอย่างรุนแรง เช่น นปช. หรือแม้แต่รัฐบาลย่อมผิดหวังที่เกมซึ่งคาดหวังมันออกมาแบบนี้
ความจริงนี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว
ความเป็นกลางนั้นลงไปถึงสื่อมวลชนที่ทาง ผบ.ทบ.ก็ไม่อยากให้โอนเอียงด้วย เพราะสถานการณ์อาจบานปลายไปสู่ความรุนแรงเมื่อไหร่ก็ได้ หากว่าสื่อขยายความมากเกินจริง
สำหรับฐานะของรัฐบาลหรือนายสมัครนั้น
ไม่มีอนาคตแล้ว ไหนจะเจอะปัญหายึดยุบพรรคอย่างแน่นอน ผู้บริหารนั้นก็หมดอนาคตไปด้วย
ทุกวันนี้ นายกฯ ก็ปกป้อง นปช.อยู่แล้วโดยพฤตินัย
เราเห็นว่าสถานการณ์ที่มันรุนแรงทุกครั้งไม่ใช่เป็นเพราะพันธมิตรเป็นผู้ก่อ แต่ถ้าเราพิจารณาตามสภาพที่เกิดขึ้นจริง มักจะเกิดจากฝ่ายที่ต่อต้านทั้งสิ้น
กระทั่งตามเว็บไซต์ที่ให้แสดงความคิดเห็นต่างๆ ก็จะพบความเห็นซึ่งถ้าเป็นของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมโดยสันติวิธีของพันธมิตร ก็จะมีความคิดเห็นในลักษณะให้ใช้ความรุนแรง ไม่ก็ใช้ข้อเขียนในเว็บถากถาง รวมทั้งบิดเบือนหรือแต่งข้อความเท็จเป็นการใหญ่
การที่มีปรากฏการณ์กดดันแบบบิดเบือนเช่นนี้ ย่อมทำให้ประชาชนสมทบเข้ากับพันธมิตรมากกว่าเดิม
องค์กรสื่อหลายองค์กรต้องออกมาประณามรัฐบาลว่าคือตัวการที่ยุยงให้ นปช.นั้นรุมตีพันธมิตร
โดยองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนได้แถลงประณามรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 ก.ย.นี้เอง ว่าหลังจากมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ศ.2548) แล้ว พอถึงเช้าวันอังคาร องค์กรอาชีพสื่อ ประกอบด้วย สภาการ นสพ., สมาคมนักข่าวนัก นสพ.แห่งประเทศไทย, สมาพันธ์นัก นสพ.แห่งประเทศไทย,สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย, สมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ก็แถลงการณ์โดยมีข้อใหญ่ใจความคือไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และระบุว่าเมื่อดึกวันจันทร์ที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมายืนยันได้ชัดๆ ว่า มีรัฐบาลจากแกนำของรัฐบาลไปมีส่วนสำคัญไปปลุกระดม, ปลุกเร้า และยังนำขบวน นปช.มาใช้ความรุนแรงกับพันธมิตรจนเกิดคนเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก ฯลฯ
นี่แหละครับ นอกจากนี้แล้ว นักวิชาการ, นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ยังออกมาแสดงตัวตอกหน้า อมธ.โดยเสนอจุดยืนว่าอยู่ข้างประชาชนและพันธมิตร และเตือนพวก อมธ.ว่า อยากให้วิญญาณ อ.ป๋วย, อ.ปรีดีต้องออกมาเคาะกะโหลกพวก อมธ.
ทั้งหมดนี้ชี้ว่าหลังมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมา เกมมิได้เป็นไปตามพวกกระหายเลือดคาดหวังแต่อย่างไร เพราะกองทัพยืนอยู่ข้างความเป็นธรรมมากกว่า เพราะอะไรหรือครับ
ก็เพราะความชอบธรรมที่ประชาชนเขาสู้กับพวกไร้ความชอบธรรม
โธ่... ไอ้ นปช.นั้นประวัติล้วนไม่จงรักภักดีต่อสถาบันทั้งนั้น ไม่ได้รักชาติเสียที่ไหน!!
แต่แล้ว ผบ.ทบ.และเหล่าทัพใช่ว่าจะก้าวสู่กับดักของรัฐบาลที่วางไว้ โดยรู้ว่าขืนทำอะไรเกินเลยไป ก็เท่ากับเปลืองตัวเปล่าๆ ไม่เป็นผลดี ภาพลักษณ์ขณะนี้กองทัพวางไว้เป็นกลางอยู่แล้ว
หน้าที่เฉพาะหน้าก็เป็นไปอย่างที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แถลงไว้นั่นแหละครับ คือทหารและตำรวจอยู่ตรงกลาง และจะพยายามไม่ให้ “คนปะทะกัน” แต่ปะทะกันทางความคิดไม่เป็นไรหรอก เพราะใช้เหตุผล ว่ากันไปตามกฎหมาย
แน่นอนว่าทำให้พวกอยากให้ใช้กำลังหรืออยากให้ปราบพันธมิตรอย่างรุนแรง เช่น นปช. หรือแม้แต่รัฐบาลย่อมผิดหวังที่เกมซึ่งคาดหวังมันออกมาแบบนี้
ความจริงนี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว
ความเป็นกลางนั้นลงไปถึงสื่อมวลชนที่ทาง ผบ.ทบ.ก็ไม่อยากให้โอนเอียงด้วย เพราะสถานการณ์อาจบานปลายไปสู่ความรุนแรงเมื่อไหร่ก็ได้ หากว่าสื่อขยายความมากเกินจริง
สำหรับฐานะของรัฐบาลหรือนายสมัครนั้น
ไม่มีอนาคตแล้ว ไหนจะเจอะปัญหายึดยุบพรรคอย่างแน่นอน ผู้บริหารนั้นก็หมดอนาคตไปด้วย
ทุกวันนี้ นายกฯ ก็ปกป้อง นปช.อยู่แล้วโดยพฤตินัย
เราเห็นว่าสถานการณ์ที่มันรุนแรงทุกครั้งไม่ใช่เป็นเพราะพันธมิตรเป็นผู้ก่อ แต่ถ้าเราพิจารณาตามสภาพที่เกิดขึ้นจริง มักจะเกิดจากฝ่ายที่ต่อต้านทั้งสิ้น
กระทั่งตามเว็บไซต์ที่ให้แสดงความคิดเห็นต่างๆ ก็จะพบความเห็นซึ่งถ้าเป็นของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมโดยสันติวิธีของพันธมิตร ก็จะมีความคิดเห็นในลักษณะให้ใช้ความรุนแรง ไม่ก็ใช้ข้อเขียนในเว็บถากถาง รวมทั้งบิดเบือนหรือแต่งข้อความเท็จเป็นการใหญ่
การที่มีปรากฏการณ์กดดันแบบบิดเบือนเช่นนี้ ย่อมทำให้ประชาชนสมทบเข้ากับพันธมิตรมากกว่าเดิม
องค์กรสื่อหลายองค์กรต้องออกมาประณามรัฐบาลว่าคือตัวการที่ยุยงให้ นปช.นั้นรุมตีพันธมิตร
โดยองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนได้แถลงประณามรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 ก.ย.นี้เอง ว่าหลังจากมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ศ.2548) แล้ว พอถึงเช้าวันอังคาร องค์กรอาชีพสื่อ ประกอบด้วย สภาการ นสพ., สมาคมนักข่าวนัก นสพ.แห่งประเทศไทย, สมาพันธ์นัก นสพ.แห่งประเทศไทย,สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย, สมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ก็แถลงการณ์โดยมีข้อใหญ่ใจความคือไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และระบุว่าเมื่อดึกวันจันทร์ที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมายืนยันได้ชัดๆ ว่า มีรัฐบาลจากแกนำของรัฐบาลไปมีส่วนสำคัญไปปลุกระดม, ปลุกเร้า และยังนำขบวน นปช.มาใช้ความรุนแรงกับพันธมิตรจนเกิดคนเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก ฯลฯ
นี่แหละครับ นอกจากนี้แล้ว นักวิชาการ, นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ยังออกมาแสดงตัวตอกหน้า อมธ.โดยเสนอจุดยืนว่าอยู่ข้างประชาชนและพันธมิตร และเตือนพวก อมธ.ว่า อยากให้วิญญาณ อ.ป๋วย, อ.ปรีดีต้องออกมาเคาะกะโหลกพวก อมธ.
ทั้งหมดนี้ชี้ว่าหลังมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมา เกมมิได้เป็นไปตามพวกกระหายเลือดคาดหวังแต่อย่างไร เพราะกองทัพยืนอยู่ข้างความเป็นธรรมมากกว่า เพราะอะไรหรือครับ
ก็เพราะความชอบธรรมที่ประชาชนเขาสู้กับพวกไร้ความชอบธรรม
โธ่... ไอ้ นปช.นั้นประวัติล้วนไม่จงรักภักดีต่อสถาบันทั้งนั้น ไม่ได้รักชาติเสียที่ไหน!!