การใช้วิธีการขนมวลชนเพื่อปะทะฝ่ายตรงกันข้าม ด้วยกำลังและความรุนแรง เริ่มหนักข้อขึ้นทุกวัน
เหตุการณ์วันเสาร์ที่เชียงราย เป็นการกระทำของกลุ่มคนฝ่ายเดียววิ่งไปกัดที่โน่นที่นี่เหมือนสุนัขบ้า เริ่มจากปิดถนนทางเข้าสนามบิน ตั้งด่านตรวจค้นคนเข้าออก ไปที่สำนักงานของอดีต ส.ว.เตือนใจ ดีเทศน์ ไปโรงแรมกลางเมืองขอเข้าตรวจค้นภายใน ไปสนามบินอีกรอบ และก็ไปจบที่การตั้งป้อมล้อมบ้านคน ยิงหนังสติ๊กเข้าบ้าน และทำลายหม้อแปลง มิหนำซ้ำยังวิสาสะส่งคนเข้าไปตรวจค้นบ้าน
ครบสูตรทุเรศ ถ่อย เถื่อน ไม่ต้องหาในตำราหรอก..แบบนี้แหละครับอนาธิปไตย !
รอฟังจากปาก นายกรัฐมนตรีว่าจะพูดถึงความถ่อย เถื่อน อันธพาลที่เชียงรายโดยกลไกกฎหมายของรัฐเปิดทางสะดวก...เปล่าเลย นายสมัคร สุนทรเวช ไม่พูดถึงเรื่องนี้สักแอะ สะท้อนวิกฤตของบ้านเมืองนี้ สังคมเกิดเหตุผิดปกติขึ้นแต่กลับไม่มีผู้ใหญ่ ไม่มีกลไกมาบรรเทาหรือแก้ปัญหา
ผู้ใหญ่ไม่เป็นผู้ใหญ่ ผู้น้อยยิ่งเหลวไหลเละเทะ !
แนวโน้มมวลชนออกอาละวาดที่หนักข้อขึ้นทุกวัน มาจากการให้ท้ายของผู้มีอำนาจ เพราะหากไม่มีใครให้ท้ายคงไม่กล้าละเมิดกฎหมายซึ่งหน้า
ผู้มีอำนาจก็ตั้งแต่ นักการเมืองในพื้นที่ ไปจนถึง นักการเมืองใหญ่ที่ส่งสัญญาณ “ฆ่า” นั่นแหละครับ
ความรุนแรงจึงลามกระจาย แพร่ขยายจากจังหวัดไปอีกจังหวัด
มีตำรวจผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง อย่าให้เอ่ยชื่อเลยเสนียดปาก พยายามอธิบายให้กันฟังในทำนองว่า รู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็อยากหาเรื่องเองนี่นา
อยากจะบอกไปยังตำรวจ และ คนที่คิดเช่นนี้ว่า นอกจากพวกคุณคิดผิดแล้ว ยังทำผิดด้วย
นี่คือหน้าที่โดยตรงของตำรวจ ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย รักษากฎหมาย ปกป้องคุ้มครองประชาชนที่เป็นเจ้าของภาษี
ม็อบถ่อยตั้งด่านค้นคนสุจริตที่จะเดินทางโดยเสรี ตำรวจหายไปไหน !!
ม็อบถ่อยไปรุมยิงหนังสติ๊ก ขว้างปาข้าวของใส่บ้านคน ตำรวจหายไปไหน !!
เจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้รัฐตำรวจ อาจจะเคยชินคิดว่า การที่ตนกระทำ หรือ ละเว้นการกระทำใด ๆ ที่สนองความต้องการของผู้มีอำนาจฝ่ายการเมือง คือ หนทางความอยู่รอดและเติบโต
นี่เป็นความเคยชินภายใต้สังคมแบบเก่า ภายใต้การเมืองเก่า ที่ประชาชนพลเมืองเขายังไม่ตื่น
ในยุคก่อน พอจะเข้าใจได้ว่า ไม่มีประชาชนคนไหนหรอกอยากไปมีเรื่องกับตำรวจ
อะไรยอมได้ ก็ยอม ๆ กันไป !
และต้องยอมรับว่าที่ผ่านมานั้น ประชาชนชั้นล่างในชนบท กลัว และ เกรง ตำรวจมากกว่าคนในเมืองที่ขับรถยุโรป มีฐานะ หรือมีตำแหน่งหน้าที่การงาน
โดยทั่วไปคนในตัวเมืองที่มีหน้าที่การงาน เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ นักธุรกิจ มักจะมี “มาด” หรือช่องทางการป้องกันตัวเองจากการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของตำรวจได้ในระดับหนึ่ง
ถ้าถูกแกล้งจากตำรวจที่ตั้งด่านลอย อาจจะไปพึ่งพาเพื่อนฝูงตำรวจระดับสัญญาบัตรที่รู้จัก หรือแม้จะถูกจับในคดีจิ๊บจ๊อยลหุโทษเพราะขับรถประมาท กินเลน จอดไม่ตรงที่จอด ฯลฯ ก็ดูเหมือนคนชั้นกลางก็จะหาวิธีการบรรเทาปัญหาของตนไปตามช่องทางที่มี
เกรง แต่ไม่ถึงกับ เกลียด หรือ กลัว !
มาถึงวันนี้ ชักไม่แน่ใจแล้ว เพราะเพื่อนฝูงจำนวนมากที่ได้สัมผัสเริ่มจะออกอาการปฏิเสธตำรวจถึงขนาดเห็นเป็นอุจจาระกองหนึ่ง
การทำหน้าที่ของตำรวจในขณะที่มีกลุ่มคนสองฝ่ายยืนอยู่ตรงกันข้าม ฝ่ายหนึ่งอยู่ในกรอบกติกา ทำตามสิทธิ เสรีภาพภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่อีกฝ่ายละเมิดกฎหมายอย่างถึงที่สุด
แตกต่างชัดเจน ระหว่างสองฝ่าย
แต่ตำรวจกลับไม่ทำหน้าที่ ปล่อยให้ฝ่ายถ่อย อันธพาลเข้าตีคนบริสุทธิ์
ตำรวจ เถื่อนเสียเอง !!
ม็อบว่าถ่อยแล้ว แต่ ตำรวจกลับเถื่อนกว่า
อย่ามาฟ้องผมนะ.. คำว่า “เถื่อน”ในที่นี้มีความหมายว่า “ไม่เป็นไปตามกฎหมาย” ถ้าปล่อยไปเช่นนี้ อนาธิปไตยเกิดแน่ ๆ และก็เกิดโดยน้ำมือของรัฐตำรวจโดยจงใจ
บ้านเมืองของเราทุกวันนี้ มีคนสองกลุ่มที่กำลังต่อสู้ และ อ้างในสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย”
ประชาธิปไตยที่แท้ต้องมาจากวิถีปฏิบัติ ความคิด และ วัฒนธรรม .. ประชาธิปไตย ต้องยอมรับในความเห็นต่าง และตอบโต้ภายใต้กรอบกฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรง
ยิ่งแตกต่างหลากหลาย และมีการยอมรับฟัง เปิดพื้นที่ให้แสดงออก คือ วิถีประชาธิปไตย
หากมีไอ้บ้าตัวไหนมาประกาศว่า ห้ามอีกฝ่ายพูด อีกฝ่ายแสดงออก ใช้กำลังเข้ามาทำร้าย แบบนี้ต่างหากที่เป็นวิถีเผด็จการ และเป็นวิถีเผด็จการแบบถ่อยเถื่อนสิ้นดี
ตำรวจ มีบทบาทสำคัญมากในสถานการณ์เช่นนี้
ตำรวจ จะเป็นผู้ช่วยรักษาประชาธิปไตย หรือ ตัวเร่งการทำลายประชาธิปไตยก็ช่วงจังหวะแบบนี้แหละ
การเมืองไทยกำลังถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ นี่เป็นรอยต่อที่จะพิสูจน์ว่าของการเมืองในวิถีอารยะจะก่อกำเนิดขึ้นในบ้านเมืองเราได้หรือไม่
แต่ที่แน่ ๆ องค์กรตำรวจ จะเป็นเป้าหมายสำคัญของการตรวจสอบ ปรับปรุงครั้งใหญ่ต่อไปหากมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมาในประเทศนี้
กลยุทธ์การไปขุดอันธพาลเพื่อมาใช้งานการเมืองแบบนี้น่ะ ไม่ชนะหรอก
การใช้ความหวาดกลัวไปกดดันฝ่ายตรงกันข้าม ใช้กับการเมืองไทยยุคใหม่จะไม่สำเร็จอีกต่อไป
ปรากฏการณ์มัฆวานรังสรรค์ และ การเคลื่อนไหวของบรรดาศิษย์มหาวิทยาลัยราชดำเนิน วิทยาเขตต่าง ๆ ในพื้นที่บ่งบอกได้ชัดเจนในระดับสำคัญ
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภาพสะท้อนของการใกล้ล่มสลายของระบบการเมืองแบบเก่า และล้าหลัง ..ยิ่งนานวัน..ยิ่งชัดเจน
มีบทเรียนในประวัติศาสตร์ทั้งของไทยและต่างประเทศจำนวนมาก บ่งบอกว่า เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ประชาชนพลเมืองจะปลดปล่อยความหวาดกลัว ไม่กลัวแม้กระทั่งรถถัง กระบอกปืน ขอเตือนเรื่องนี้ฝากไปยังเหล่าอันธพาลการเมืองและแก๊งตำรวจในเครื่องแบบให้สำเหนียกไว้จงหนัก
ประชาธิปไตยไทยกำลังปรับตัวครั้งใหญ่
ใครที่อยู่ข้างแก๊งอันธพาล - ข้างที่ใช้กลไกตำรวจละเมิดกฎหมายเสียเอง แล้วยังเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าตัวเองอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยก้าวหน้า ... คน ๆ นั้น ไม่บ้า ก็โง่ ล่ะวะ !!
ใช่ไหม ลุงเหวง ลุงรัญ ลุงจา ลุงอดิศร และคุณพี่ พงศ์เทพ เทพกาญจนา !!
เหตุการณ์วันเสาร์ที่เชียงราย เป็นการกระทำของกลุ่มคนฝ่ายเดียววิ่งไปกัดที่โน่นที่นี่เหมือนสุนัขบ้า เริ่มจากปิดถนนทางเข้าสนามบิน ตั้งด่านตรวจค้นคนเข้าออก ไปที่สำนักงานของอดีต ส.ว.เตือนใจ ดีเทศน์ ไปโรงแรมกลางเมืองขอเข้าตรวจค้นภายใน ไปสนามบินอีกรอบ และก็ไปจบที่การตั้งป้อมล้อมบ้านคน ยิงหนังสติ๊กเข้าบ้าน และทำลายหม้อแปลง มิหนำซ้ำยังวิสาสะส่งคนเข้าไปตรวจค้นบ้าน
ครบสูตรทุเรศ ถ่อย เถื่อน ไม่ต้องหาในตำราหรอก..แบบนี้แหละครับอนาธิปไตย !
รอฟังจากปาก นายกรัฐมนตรีว่าจะพูดถึงความถ่อย เถื่อน อันธพาลที่เชียงรายโดยกลไกกฎหมายของรัฐเปิดทางสะดวก...เปล่าเลย นายสมัคร สุนทรเวช ไม่พูดถึงเรื่องนี้สักแอะ สะท้อนวิกฤตของบ้านเมืองนี้ สังคมเกิดเหตุผิดปกติขึ้นแต่กลับไม่มีผู้ใหญ่ ไม่มีกลไกมาบรรเทาหรือแก้ปัญหา
ผู้ใหญ่ไม่เป็นผู้ใหญ่ ผู้น้อยยิ่งเหลวไหลเละเทะ !
แนวโน้มมวลชนออกอาละวาดที่หนักข้อขึ้นทุกวัน มาจากการให้ท้ายของผู้มีอำนาจ เพราะหากไม่มีใครให้ท้ายคงไม่กล้าละเมิดกฎหมายซึ่งหน้า
ผู้มีอำนาจก็ตั้งแต่ นักการเมืองในพื้นที่ ไปจนถึง นักการเมืองใหญ่ที่ส่งสัญญาณ “ฆ่า” นั่นแหละครับ
ความรุนแรงจึงลามกระจาย แพร่ขยายจากจังหวัดไปอีกจังหวัด
มีตำรวจผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง อย่าให้เอ่ยชื่อเลยเสนียดปาก พยายามอธิบายให้กันฟังในทำนองว่า รู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็อยากหาเรื่องเองนี่นา
อยากจะบอกไปยังตำรวจ และ คนที่คิดเช่นนี้ว่า นอกจากพวกคุณคิดผิดแล้ว ยังทำผิดด้วย
นี่คือหน้าที่โดยตรงของตำรวจ ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย รักษากฎหมาย ปกป้องคุ้มครองประชาชนที่เป็นเจ้าของภาษี
ม็อบถ่อยตั้งด่านค้นคนสุจริตที่จะเดินทางโดยเสรี ตำรวจหายไปไหน !!
ม็อบถ่อยไปรุมยิงหนังสติ๊ก ขว้างปาข้าวของใส่บ้านคน ตำรวจหายไปไหน !!
เจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้รัฐตำรวจ อาจจะเคยชินคิดว่า การที่ตนกระทำ หรือ ละเว้นการกระทำใด ๆ ที่สนองความต้องการของผู้มีอำนาจฝ่ายการเมือง คือ หนทางความอยู่รอดและเติบโต
นี่เป็นความเคยชินภายใต้สังคมแบบเก่า ภายใต้การเมืองเก่า ที่ประชาชนพลเมืองเขายังไม่ตื่น
ในยุคก่อน พอจะเข้าใจได้ว่า ไม่มีประชาชนคนไหนหรอกอยากไปมีเรื่องกับตำรวจ
อะไรยอมได้ ก็ยอม ๆ กันไป !
และต้องยอมรับว่าที่ผ่านมานั้น ประชาชนชั้นล่างในชนบท กลัว และ เกรง ตำรวจมากกว่าคนในเมืองที่ขับรถยุโรป มีฐานะ หรือมีตำแหน่งหน้าที่การงาน
โดยทั่วไปคนในตัวเมืองที่มีหน้าที่การงาน เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ นักธุรกิจ มักจะมี “มาด” หรือช่องทางการป้องกันตัวเองจากการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของตำรวจได้ในระดับหนึ่ง
ถ้าถูกแกล้งจากตำรวจที่ตั้งด่านลอย อาจจะไปพึ่งพาเพื่อนฝูงตำรวจระดับสัญญาบัตรที่รู้จัก หรือแม้จะถูกจับในคดีจิ๊บจ๊อยลหุโทษเพราะขับรถประมาท กินเลน จอดไม่ตรงที่จอด ฯลฯ ก็ดูเหมือนคนชั้นกลางก็จะหาวิธีการบรรเทาปัญหาของตนไปตามช่องทางที่มี
เกรง แต่ไม่ถึงกับ เกลียด หรือ กลัว !
มาถึงวันนี้ ชักไม่แน่ใจแล้ว เพราะเพื่อนฝูงจำนวนมากที่ได้สัมผัสเริ่มจะออกอาการปฏิเสธตำรวจถึงขนาดเห็นเป็นอุจจาระกองหนึ่ง
การทำหน้าที่ของตำรวจในขณะที่มีกลุ่มคนสองฝ่ายยืนอยู่ตรงกันข้าม ฝ่ายหนึ่งอยู่ในกรอบกติกา ทำตามสิทธิ เสรีภาพภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่อีกฝ่ายละเมิดกฎหมายอย่างถึงที่สุด
แตกต่างชัดเจน ระหว่างสองฝ่าย
แต่ตำรวจกลับไม่ทำหน้าที่ ปล่อยให้ฝ่ายถ่อย อันธพาลเข้าตีคนบริสุทธิ์
ตำรวจ เถื่อนเสียเอง !!
ม็อบว่าถ่อยแล้ว แต่ ตำรวจกลับเถื่อนกว่า
อย่ามาฟ้องผมนะ.. คำว่า “เถื่อน”ในที่นี้มีความหมายว่า “ไม่เป็นไปตามกฎหมาย” ถ้าปล่อยไปเช่นนี้ อนาธิปไตยเกิดแน่ ๆ และก็เกิดโดยน้ำมือของรัฐตำรวจโดยจงใจ
บ้านเมืองของเราทุกวันนี้ มีคนสองกลุ่มที่กำลังต่อสู้ และ อ้างในสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย”
ประชาธิปไตยที่แท้ต้องมาจากวิถีปฏิบัติ ความคิด และ วัฒนธรรม .. ประชาธิปไตย ต้องยอมรับในความเห็นต่าง และตอบโต้ภายใต้กรอบกฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรง
ยิ่งแตกต่างหลากหลาย และมีการยอมรับฟัง เปิดพื้นที่ให้แสดงออก คือ วิถีประชาธิปไตย
หากมีไอ้บ้าตัวไหนมาประกาศว่า ห้ามอีกฝ่ายพูด อีกฝ่ายแสดงออก ใช้กำลังเข้ามาทำร้าย แบบนี้ต่างหากที่เป็นวิถีเผด็จการ และเป็นวิถีเผด็จการแบบถ่อยเถื่อนสิ้นดี
ตำรวจ มีบทบาทสำคัญมากในสถานการณ์เช่นนี้
ตำรวจ จะเป็นผู้ช่วยรักษาประชาธิปไตย หรือ ตัวเร่งการทำลายประชาธิปไตยก็ช่วงจังหวะแบบนี้แหละ
การเมืองไทยกำลังถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ นี่เป็นรอยต่อที่จะพิสูจน์ว่าของการเมืองในวิถีอารยะจะก่อกำเนิดขึ้นในบ้านเมืองเราได้หรือไม่
แต่ที่แน่ ๆ องค์กรตำรวจ จะเป็นเป้าหมายสำคัญของการตรวจสอบ ปรับปรุงครั้งใหญ่ต่อไปหากมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมาในประเทศนี้
กลยุทธ์การไปขุดอันธพาลเพื่อมาใช้งานการเมืองแบบนี้น่ะ ไม่ชนะหรอก
การใช้ความหวาดกลัวไปกดดันฝ่ายตรงกันข้าม ใช้กับการเมืองไทยยุคใหม่จะไม่สำเร็จอีกต่อไป
ปรากฏการณ์มัฆวานรังสรรค์ และ การเคลื่อนไหวของบรรดาศิษย์มหาวิทยาลัยราชดำเนิน วิทยาเขตต่าง ๆ ในพื้นที่บ่งบอกได้ชัดเจนในระดับสำคัญ
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภาพสะท้อนของการใกล้ล่มสลายของระบบการเมืองแบบเก่า และล้าหลัง ..ยิ่งนานวัน..ยิ่งชัดเจน
มีบทเรียนในประวัติศาสตร์ทั้งของไทยและต่างประเทศจำนวนมาก บ่งบอกว่า เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ประชาชนพลเมืองจะปลดปล่อยความหวาดกลัว ไม่กลัวแม้กระทั่งรถถัง กระบอกปืน ขอเตือนเรื่องนี้ฝากไปยังเหล่าอันธพาลการเมืองและแก๊งตำรวจในเครื่องแบบให้สำเหนียกไว้จงหนัก
ประชาธิปไตยไทยกำลังปรับตัวครั้งใหญ่
ใครที่อยู่ข้างแก๊งอันธพาล - ข้างที่ใช้กลไกตำรวจละเมิดกฎหมายเสียเอง แล้วยังเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าตัวเองอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยก้าวหน้า ... คน ๆ นั้น ไม่บ้า ก็โง่ ล่ะวะ !!
ใช่ไหม ลุงเหวง ลุงรัญ ลุงจา ลุงอดิศร และคุณพี่ พงศ์เทพ เทพกาญจนา !!