xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 324 ให้นายกฯสมัคร ออกหนังสือ “ชวนชิม ระดับชาติ” จะดีไหม?

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว แม้จะล่วงมาถึงเดือนที่สองของปีแล้ว บรรยากาศทางเหนือทางบ้านคนเขียนเย็นสบาย จึงรู้สึกชื่นมื่นราวกับอยู่ในเทศกาลปีใหม่ อยากให้เป็นอย่างนี้ต่อไปจนถึงสงกรานต์ ก็คงจะดี

ช่วงปีใหม่นั้น ตัวคนเขียนมีภาระจะต้องต้องรับประทานขนมหวาน ที่พรรคพวกนำมาให้ตั้งแต่ก่อนปีใหม่ และหลังปีใหม่ ดูช่างเยอะแยกเสียเหลือเกิน ทั้งนี้เป็นอานิสงส์ของการเขียนคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” แท้ๆทีเดียวเชียว พรรคพวกหลายคน จึงได้ให้ลูกหลานที่มีฝีมือ ทำมาให้ลุงลองชิม พร้อมขอคำวิพากษ์วิจารณ์ ในฐานะที่เป็นคอลัมนิสต์สายขนมนมเนย (บางทีก็เลยเถิด ไปถึงเรื่องการเมืองด้วย) เพื่อนำคำติชม ไปปรับปรุงขนมหวานของตนเสมอ

บางครั้งพรรคพวกรุ่นน้อง อย่าง พล.ต.ต.เสวก ปิ่นสินชัย เจ้าของฉายา อัศวินดำ ที่กำลังจะเปิดร้านกาแฟและอาหารแบบ take home ที่ปลายถนน ทองหล่อ-รามอินทรา บนพื้นที่กว้างใหญ่กว่า ๑๕ ไร่ (อยู่เลียบทางด่วน ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้ารามอินทรา บริเวณเดียวกับโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง และเวทีมวย) ก็มาขอให้ช่วยคัดขนมอร่อย จากแหล่งต่างๆเข้าร้านของเขาให้หน่อย

ก็ต้องช่วยแนะนำให้กัน รับรองว่าอร่อยแน่!

วิชาอาหารและขนมนี้ เป็นอานิสงส์ที่ได้อยู่บ้านคุณยายมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งท่านมีชื่อเสียงในเรื่องอาหารและขนมเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้เขียนเป็นคนรู้ “รส” ของอร่อยเป็นอย่างดี

ดังนั้น เมื่อบอกท่านผู้อ่านว่าขนมเจ้าไหนดีในคอลัมน์นี้ ก็จะได้เสียงตอบกลับมาว่า ไม่เคยผิดหวัง ตรงนี้เป็นคุณสมบัติที่

คุณยายให้มา...แท้ๆ

เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมได้ดูรายการจมูกมด ของช่อง ๗ สี ทีวีเพื่อใคร? เพราะชอบคุณพิษณุ นิลกลัด ที่มาคุยเรื่องสบายใจให้ฟัง รวมทั้งข่าวกีฬาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะข่าวในวงการกอล์ฟ แม้ตัวเองเลิกเล่นมานานแล้ว แต่ยังติดตามกีฬาชนิดนี้อยู่ และดีใจมากที่ได้เห็นการสนับสนุนเด็กหญิง-ชาย ที่มีความสามารถและฝีมือ พอจะก้าวไปสู่การแข่งขันในระดับโลกได้ ซึ่งเป็นการจุดประกาย ให้เยาวชนคนอื่นๆ เลือกเส้นทางเดินชีวิตในวงการกีฬาได้

คุณพิษณุฯได้พูดถึงเรื่องที่ทางการฮ่องกง จะออกหนังสือแนะนำร้านอาหารรวมทั้งอาหารจานเด็ด จากการรวบรวมเอาข้อเขียนของนักชิมระดับ “กูรู” คนดังฮ่องกงรวม ๕๐ คน เช่น เบลินดา หว่อง ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร เครก อู เชิง และ หยิง โช พิธีกรรายการอาหารชั้นแนวหน้า เดนนี่ ฮิบ นักชิมระดับปรมาจารย์ เป็นต้น ร่วมกันแนะนำร้านอาหารทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็น ตั้งแต่ร้านระดับภัตตาคารชั้นนำ ระดับที่เคยพิชิตรางวัล Best of the Best Culinary Awards ของฮ่องกง ไปจนถึงแผงขายริมบาทวิถีอย่างเกาลัดคั่วสุดยอดของ Uncle Chestnut หรือ “ลุงเกาลัด” โดยจัดทำเป็น “คู่มือ” สำหรับผู้คนที่จะมาเยือนเกาะแห่งนี้

นอกจากพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษแล้ว ทางการอ่องกงยังจัดพิมพ์เป็นภาษาไทย สำหรับคนไทย ที่ไปเยือนฮ่องกงปีละหลายแสนคน จะได้ใช้เป็นคู่มือในการกินไปชอบปิ้งไป โดยพิมพ์เป็นเล่มแทรก ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันเสาร์ที่ผ่านมานี้เอง

คุณพิษณุฯ ยังเห็นว่า....

เมืองไทยของเรานั้น น่าจะทำหนังสือเช่นนี้ออกมา คุณพิษณุฯได้ขอให้สมาชิกพรรคพลังประชาชน ที่ชมรายการในเช้าวันนั้น นำไอเดียนี้ไปเสนอนายกฯคนใหม่ ให้จัดทำหนังสือในลักษณะเดียวกัน โดยให้หัวหน้ารัฐบาลไทยคนใหม่ จัดทำหนังสือแบบเดียวกันนี้ขึ้น และให้นิวนายกฯเป็นผู้แนะนำ ร้านอาหารในกรุงเทพ ของเราจำนวน ๑๐๐ ร้าน แล้วจัดทำเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ แจกให้นักท่องเที่ยว ที่จะมาเมืองไทย หรือให้ซื้อหากันได้ในราคาถูก รวมทั้งให้มีฉบับแปลเป็นภาษาไทย นำออกจำหน่ายราคาย่อมเยาให้กับคนบ้านเราด้วย

ผมเห็นพ้อง กับคุณพิษณุฯทุกประการ!

นักพากย์และนักวิจารณ์กีฬา ระดับเกจิอย่างคุณพิษณุฯ ยังเล่าต่อไปอีกว่า ท่านกงสุลฮ่องกง (ขออภัย ฟังชื่อไม่ทัน) เห็นว่า เวลาที่ท่านทำงานอยู่ที่สถานกงสุล หรือพบปะผู้คน มักจะมีผู้ถามเสมอว่า

“ร้านไหนในอ่องกง ที่ขายอาหารไทยอร่อยๆบ้าง?”

ท่านกงสุล ที่จะต้องตอบคำถามเดียวกันเสมอ คงชักรำคาญ เลยจัดทำหนังสือแนะนำร้านอาหารไทยฝีมือดีในอ่องกง ซึ่งก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย แล้วพิมพ์ออกมาแจกจ่ายให้กับคนที่ถาม จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งตอบกัน อีกทั้งยังเป็นการโปรโมทอาหารไทย ในเกาะสำคัญแห่งนี้ด้วย

แม้ผมไม่อาจหาหน้าปกหนังสือ มาให้ท่านผู้อ่านดูได้ แต่เมื่อเข้าไปดูในเวบไซด์ของสถานกงสุล ก็เห็นรายชื่อร้านอาหารไทย ที่ทางกงสุลแนะนำเอาไว้ (ผู้ใดสนใจอาจเข้าไปดูได้ที่ www.thai-consulate.org.hk) อย่างไรก็ตาม....

แนวความคิดของท่านกงสุลนั้นดีจริงๆ ต้องขอปรบมือดังๆให้!

เรื่องอาหารประจำชาติของเรานั้น คุณพิษณุฯยังได้เล่าขยายต่อไปอีกด้วยว่า ขณะนี้อาหารไทยติดอันดับหนึ่งในห้า อาหารยอดนิยมของชาวโลกนิยม อันประกอบด้วย อาหาร จีน ฝรั่งเศส อิตาเลียน ญี่ปุ่น และไทยเรา และดูเหมือนว่า มาถึงวันนี้ความนิยมในอาหารบ้านเรา จะแซงหน้าญี่ปุ่น ไต่ขึ้นไปอยู่อันดับที่ ๔ เสียแล้วด้วยซ้ำ

ถ้าท่านผู้อ่านติดตามข้อเขียนผมมาตลอด จะเห็นได้ว่าคอลัมน์นี้ ยืนยันเสมอมา ถึงการสนับสนุนงานอาชีวะในด้านต่างๆ (กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๗๕ ไม่อยาก ‘รักคนพันธุ์อา’ ให้มันรู้ไป!) โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างผู้ชำนาญในงานครัว ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย หรืออาหารชาติอื่นๆ แล้วส่งคนของเราออกไปทำงานทั่วโลก เพื่อนำเงินกลับมาสู่บ้านเมืองของเรา

ดังนั้น จะต้องสนับสนุนให้สถาบันสอนการทำอาหารต่างๆ มีการสร้าง พ่อครัว-แม่ครัวไทยรุ่นใหม่ ให้ไต่ระดับขึ้นไปจนถึงชั้น “cook ชั้นนำของโลก” ทั้งนี้รัฐควรจะต้องทุ่มเทความช่วยเหลือเต็มที่ รวมทั้งผมยังต้องขอให้สานการดำเนินการต่อไป ในโครงการ “ครัวไทย...สู่ครัวโลก” ด้วย เพราะจะเป็นประโยชน์กับเยาวชน ที่ศึกษาทางด้านโภชนาการ และการประกอบอาหาร จะได้มีความสามารถเดินทางไปประกอบอาชีพ หรือเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารในอนาคตข้างหน้า

ผมมีตัวอย่างดีๆในเรื่องนี้ไม่น้อย วันหน้าจะได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังต่อไป

ขอย้อนกลับมา ถึงเรื่องคอลัมน์และหนังสือ เกี่ยวกับอาหารการกินสักหน่อย เพราะเขียนถึงตรงนี้ ต้องขอยกย่อง ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ที่เคารพของผม เพราะท่านอดทนเขียนคอลัมน์ “เชลล์ชวนชิม” มาตั้งแต่ผมเป็นนักเรียนนายร้อย ถึงบัดนี้ก็เกือบครึ่งทศวรรษแล้วตั้งแต่คอลัมน์ของท่าน ตีพิมพ์ใน “สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์” ทำให้พวกหนุ่มสาวรุ่นผมในสมัยนั้น ต้องติดตามไปหม่ำตามคำแนะนำเสมอ

จากนั้น คุณชายก็ย้ายจากวิกราชดำเนิน ไปเขียนใน “ฟ้าเมืองไทย” ของคุณอาจินต์
ปัญจพรรค์ และเมื่อสำนักพิมพ์ “โอเลี้ยง ๕ แก้ว” ของคุณอาจินต์ฯปิดตัวลง คุณชายท่านก็ย้ายมาลงหลักปักถ่อที่ “มติชนสุดสัปดาห์” ยืนยงมาจนทุกวันนี้

คะเนเอาว่า คุณชายเขียนมาตั้งแต่อายุ ๓๐ เศษ จนล่วงมา ๘๐ บริบูรณ์แล้ว ท่านก็ยังไม่เคยว่างเว้นการเขียน ยังคงถ่ายทอดเรื่องข้าวปลาอาหาร ให้อนุชนคนรุ่นหลังต่อไป

ขอจารึกนามของท่านไว้ ในฐานะ “วีรชนของคนก้นครัว” ที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้กับอนุชนคนรุ่นหลัง ให้มองว่างานประกอบอาหารนั้น เป็นอาชีพที่มีเกียรติ สามารถสร้างรายได้ให้ตัวเองและครอบครัว รวมทั้งบุกเบิกการเขียนคอลัมน์ประเภทการชิมอาหาร จนกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ชวนให้มีการติดตามของบรรดาผู้อ่านด้วย

อยากจะเพิ่มเติมเรื่องหนังสือ ที่เกี่ยวกับอาหารการกิน และการท่องเที่ยว เพิ่มเติมอีกสักนิด เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบว่า

หนังสือเกี่ยวกับภัตตาคารอาหารและการท่องเที่ยว ที่มีอายุยืนยาวมานับได้กว่าร้อยปี และเป็นต้นแบบให้กับหนังสือในแนวเดียวกัน รวมทั้งคอลัมน์อาหารอย่างเชลล์ชวนชิมด้วย ชื่อ “มิชลินไกด์” (Michelin Guide หรือ Le Guide Michelin) โดยความคิดริเริ่มของสองพี่น้องตระกูลมิชลิน คือ อังเดร มิชลิน (Andre Michelin ) และ อูเดอา มิชลิน (Udea Michelin) เป็นคู่มือนำเที่ยวและภัตตาคารอาหาร เล่มแรกของโลก เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๓ (ค.ศ. ๑๙๐๐)

ทั้งสองพี่น้องเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจยางรถยนต์ พ.ศ.นั้น ในตอนเริ่มต้นการทำหนังสือนั้น ก็มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อกระตุ้น ให้เจ้าของรถยนต์เดินทางมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการใช้และการขายยางในธุรกิจของตนเอง

ในช่วง ๒๐ ปีแรกหนังสือเล่มนี้ พิมพ์แจกฟรีให้กับเจ้าของรถยนต์ทุกคันในฝรั่งเศส และอาจจะยังมีการแจกฟรีต่อไป ถ้าไม่ใครบังเอิญไปเห็นว่า มีคนเอาหนังสือมิชลิน ไกด์ ที่ได้รับแจก ไปหนุนโต๊ะที่ขาข้างหนึ่งหักเสียก่อน เจ้าของเลยยุติการแจกฟรี ทำให้ต้องมีการซื้อหาเหมือนหนังสือทั่วไป และรายได้จากการขายหนังสือ กลายเป็นธุรกิจพันล้าน

ทั้งยังอยู่ยั้งยืนยงมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าศตวรรษแล้ว!

ปัจจุบันนี้ ตลาดหนังสืออาหารการกินกว้างขวางมากเหลือเกิน เมืองไทยเรายังอยู่ระหว่างการแข่งขัน กับชาติอื่นในภูมิภาคเดียวกันแทบจะทุกด้าน แม้เราอาจด้อยกว่าด้านอื่น

แต่เรื่องอาหารไทยแล้ว ใครจะไปรู้จักดีกว่าคนไทยเอง!?

ใช่แต่อาหารไทยเท่านั้น อาหารชาติไหนก็ตาม หากลองได้ตกมาอยู่ในมือของไทยแล้ว คนบ้านเรามีความอดทนสูง ในการที่จะพัฒนาอาหารเหล่านั้นให้ดีขึ้น ทั้งรูปลักษณ์และรสชาติ เพราะคนไทยนั้นมีความละมุนละไม ในฝีมือการหยิบจับปรับปรุงอาหารของชาติอื่น ให้มีรสชาติดีขึ้น อย่างอาหารของชาวมักกะโรนีเป็นตัวอย่างที่ดี จนมีคำพูดกันหนาหูในหมู่ชาวอิตาเลี่ยนปัจจุบัน ว่า

“อาหารอิตาเลี่ยนที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่เมืองไทย!”

ฉะนั้น จะไปยอมให้คนชาติอื่น มาออกหนังสือแนะนำแหล่งอาหารไทยของเรา ให้กับนักท่องเที่ยวก็ใช่ที่ และยิ่งหากได้ผู้แนะนำอาหารไทย เป็นตัวนายกรัฐมนตรีผู้นำประเทศเองด้วยแล้ว ก็น่าจะเป็นเรื่องดีมีประโยชน์ เพราะหัวหน้ารัฐบาลเรามีแต้มต่อในเรื่องนี้ ดีกว่าผู้นำชาติอื่นด้วยซ้ำไป เพราะนายกฯท่านนี้ มีรายการอาหารทางโทรทัศน์ เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับคนไทย รวมไปถึงชาวต่างประเทศ ที่อาศัยทำมาหากินในบ้านเราอยู่แล้ว

คุณพิษณุฯ ถึงกับบอกว่า หากนายกฯสมัครทำหนังสือเล่มนี้ รับรองว่าสถานีโทรทัศน์ใหญ่ๆอย่าง CNN จะต้องมาทำข่าวอย่างแน่นอน ตรงนี้ผมเชื่อเลย เพราะขนาดท่านนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ออกมาเป็นไกด์นำเที่ยวประเทศของตัวเองเท่านั้น ยังเป็นข่าวไปทั่วโลกมาแล้ว

ดังนั้น หากนายกฯของเมืองไทย จะเป็นผู้แนะนำร้านอาหารไทยเด่นๆของบางกอก ให้ฝรั่งมังค่าและนักท่องเที่ยวทั้งหลาย ไม่เห็นจะผิดกติกาตรงไหนเลยจริงๆ

ขอบอกอย่างไม่อ้อมค้อมว่า ผมไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และไม่คิดจะเป็น แต่ที่นำมาข้อเสนอของคุณพิษณุฯ มาบอกกล่าวทางคอลัมน์ เพื่อสื่อไปยังนายกฯท่านใหม่แทน เพราะเห็นว่าที่คุณพิษณุฯเสนอมานั้นเป็นประโยชน์ ได้จังหวะที่ถูกเวลาและถูกคน

เหตุผลนั้นก็คือ

ตอนนี้เมืองไทยเรา ได้นายกรัฐมนตรี ชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ซึ่งรู้จักกรุงเทพเป็นอย่างดี และยังเป็นเจ้าของรายการอาหารทางโทรทัศน์ ผู้คนรู้จักไปทั่วประเทศ ทั้งยังมีหนังสือแนวข้าวปลาอาหารและการครัว เป็นที่รู้จักกันทั่วไปแล้วด้วย

หากบังเอิญพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาลในตอนนี้ แล้วคุณพิษณุฯจะไปชักชวนให้
มิสเตอร์ มาร์ก ผู้นำพรรค มาเป็นผู้แนะนำหนังสือสำคัญ อันเป็นคู่มือสำหรับนักท่องเที่ยว และคนไทยใช้ประโยชน์ได้ด้วย คงจะผิดคนและผิดเวลาไปหน่อย เพราะหัวหน้าฝ่ายค้านรู้จักกรุงเทพไม่มากนัก แถมยังมีเสียงซุบซิบกัน ว่า

ท่านไม่คุ้น กับอาหารไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ เราจะไปตำหนิท่านก็ไม่ได้ เพราะท่านเรียนเมืองนอกเมืองนา มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ข่าวว่าไปกินอาหารนอกบ้านท้องไส้มักปั่นป่วน มีอันเป็นไปทุกที ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำแทบทุกจะครั้งไป

ตรงนี้ต้องเห็นใจ เพราะท้องใครท้องมัน ไม่เหมือนกัน ก็ขนาดคนเขียนแข็งแรงบึกบึนอย่างนี้ ท้องไส้ยังสู้ท่านนายกฯสมัครไม่ได้

แม้ผมเองจะกินได้ทุกอย่าง ไม่เคยย่นย่อ แต่พอเจอ “แกงคั่วหน่อไม้ดอง” ก็ยังต้องถอยหนี เพราะแพ้ทาง “หน่อไม้ดอง” ถ้าหน่อไม้สดแล้ว ไม่กลัว เท่าไหร่เท่ากัน แต่หัวหน้ารัฐบาลปัจจุบัน แม้ท่านจะอายุมากกว่าผมหลายปี ก็ยังบุกใส่ได้ไม่ครั่นคร้าม แบบดองเป็นดอง แถมยังกินเป็นเบรกฟาสต์เสียด้วย เพราะท่านชอบของท่านอย่างนั้น

ผมยังต้องยกธงขาว ยอมแพ้เลย!

ก่อนจบต้องขอบอกว่า เรื่องความไม่คุ้นกับอาหารไทยของผู้นำฝ่ายค้าน ไม่ใช่ผมแกล้งพูดเอาสนุก ขอรับรองว่าเป็นเรื่องจริง ไม่เชื่อลองไปถามนักข่าวสายทำเนียบดูเอาเอง แม้แต่กระจิบข่าวของ อ.ส.ม.ท. ยังเอามาเมาท์กระจายออกรายการวิทยุ ว่า

ตอนคุณมาร์คเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายก ยังต้องห่อแซนด์วิชไปกินที่ทำงานทุกวัน เพราะท้องไส้ไม่แข็งแรง จนเป็นที่รู้กัน แต่ตอนนี้จะดีขึ้นหรือยังไม่ทราบ?

ถ้ายังไม่ดีขึ้น และยังคงกินเหมือนเดิม หากมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำประเทศ ผมคงจะต้องให้ฉายาว่า “ท่านนายกฯแซนด์วิช” แต่เมื่อคุณวาสนา เธอยังพาคุณมาร์คไปไม่ถึงเก้าอี้นายกฯ ตอนนี้ก็ขอเรียกว่า


“ผู้นำฝ่ายค้าน-แซนด์วิช” ไปพลางๆก่อน ก็แล้วกัน!

...............................

กำลังโหลดความคิดเห็น