โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ประกันสังคมถือเป็นหลักประกันชีวิตพื้นฐานของประชาชนในประเทศ แต่ละประเทศมีระบบประกันสังคมที่แตกต่างกันไป ประกันสังคมของจีนถูกจัดระบบและเริ่มบริหารตามระบบอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี ค.ศ.1992 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือว่า ระบบประกันสังคมจีนเริ่มมีมาเพียง 32 ปีเท่านั้น!
ช่วงนี้จีนมีประเด็นถกร้อนเกี่ยวกับคนจีนวัยทำงานจำนวนไม่น้อยหยุดจ่ายเงินประกันสังคมกลายเป็นกระแสหนึ่งในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานในประเภทงานอิสระ จากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนระบุว่า กลุ่มคนทำงานอิสระมีจำนวนมากกว่า 2 ล้านคน และกำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
สำหรับกลุ่มคนที่ทำงานอิสระ กลุ่มคนว่างงานรอการจ้างจะต้องจ่ายค่าประกันสังคมด้วยตัวเองซึ่งบำนาญชราภาพและประกันสุขภาพเป็นสองตัวที่ต้องจ่ายในสัดส่วนมากสุด
ระบบประกันสังคมพื้นฐานของจีน 5 รายการ (หรือที่คนจีนเรียกกันว่า “五险一金” อ่านว่า อู่เสี่ยนอีจิน) ได้แก่ ประกันบำนาญ ประกันสุขภาพ ประกันการคลอดบุตร ประกันอุบัติเหตุ และประกันการว่างงาน)
บางเขตพื้นที่อย่างในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมไม่สามารถเลือกจ่ายตัวใดตัวหนึ่งได้ คือว่าหากว่าจะจ่ายประกันสังคมต้องจ่ายยกเซ็ต 5 ตัว ทำให้กลุ่มที่กำลังว่างงานหรือตกงานและต้องจ่ายประกันสังคมต่อเองต้องแบกรับต้นทุนการจ่ายประกันสังคมที่แพงขึ้นมาก ตัวอย่างเช่น ที่เซี่ยงไฮ้ผู้ประกันตนที่ประกอบอาชีพอิสระต้องจ่ายเงินประกันสังคมขั้นต่ำต่อเดือน 2,555.8 หยวน หรือประมาณ 12,755 บาท ซึ่งมาตรฐานการจ่ายระดับนี้เกือบจะเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือนของประเทศจีนที่ 2,690 หยวน หรือประมาณ 13,450 บาท นั่นเท่ากับว่าหากว่ารับเงินเดือนขั้นต่ำต่อเดือนคือต้องไม่กินไม่ใช้เลยถึงจะมีเงินเพียงพอไปจ่ายประกันสังคม
จากสถิติสำนักงานกำกับดูแลแรงงานจีน ในปัจจุบันพบว่าจีนมีประชากรที่มีงานทำทั้งหมด 776 ล้านคน ในจำนวนนี้ผู้ที่จ่ายเงินประกันสังคมมีอยู่เพียง 301 ล้านคน หรือเพียง 38% ของกลุ่มประชากรที่มีงานทำเท่านั้น
ที่น่ากังวลคือผู้ประกันตน 20% มีการหยุดจ่ายเงินประกันสังคม และมีเพียง 80% เท่านั้นที่จ่ายเงินประกันสังคมตามปกติ ข้อมูลนี้เริ่มถูกเผยแพร่และมีการพูดถึงกันมาตั้งแต่ปี 2021 ในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 จนถึงปัจจุบันมีผู้ประกันตนประมาณ 58 ล้านคนทั่วประเทศหยุด หรือเลิกจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมแล้ว โดยเหตุผลหลักๆที่ผู้ประกันตนหยุดการจ่ายประกันสังคมมีดังต่อไปนี้
- แรงกดดัน เงื่อนไขต่างๆ จากสังคมในปัจจุบัน ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งเลือกที่จะทิ้งประกันสังคม สำหรับคนหนุ่มสาวที่เพิ่งทำงานรายได้ไม่สูง แต่ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าเดินทาง ค่าครองชีพ เมื่อแต่งงานต้องแบกภาระรับความรับผิดชอบมากขึ้น ใช้เงินมากขึ้นและอีกนานกว่าจะเกษียณ หลายคนคิดว่า “เอาชีวิตรอดในปัจจุบันก่อนจะไปคิดถึงอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้า” นอกจากนี้ การจ้างงานในปัจจุบันไม่ค่อยมั่นคง การเปลี่ยนสถานที่ทำงานหากว่าไปต่างเมือง แต่ละครั้งประกันสังคมต้องมีการโอนเข้าออก บางคนมองว่ายุ่งยากก็หยุดจ่ายไปเลย
- ระยะเวลาที่กว่าจะได้เงินคืนจากประกันสังคมต้องรอนานเกินไป และเงินบำนาญไม่รู้ว่าอนาคตจะได้รับต่อเดือนเท่าไหร่ คนวัยทำงานรุ่นใหม่จำนวนมากเชื่อว่าประกันสังคมมีไว้สำหรับการดูแลผู้สูงอายุในปัจจุบันเป็นหลัก ส่วนประกันสุขภาพจะใช้ได้เฉพาะเวลาป่วยเท่านั้น โดยทั่วไปคนที่ได้ใช้สิทธิประโยชน์จากประกันสุขภาพมากจะเป็นผู้สูงอายุ จีนยังเผชิญกับสังคมสูงวัยที่ต้องมีต้นทุนการดูแลผู้สูงอายุในสังคมที่มีจำนวนมากขึ้น คนรุ่นใหม่บางส่วนยังมองว่าเรื่องเจ็บป่วยยังเป็นเรื่องไกลตัวและไม่อยากมารับภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้
- ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายประกันสังคม เช่น การยืดเวลาเกษียณอายุ ทำให้คนวัยทำงานรุ่นใหม่รู้สึกไม่มั่นคง “นโยบายการยืดเวลาเกษียณอายุ” กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคม และ 22 มณฑลได้เริ่มบังคับใช้นโยบายดังกล่าวแล้ว อายุเกษียณเดิมสำหรับผู้หญิงคือ 55 ปี ขยายเป็น 60 ปี สำหรับผู้ชายขยายอายุเกษียณไปเป็น 65 ปี คนวัยทำงานรุ่นใหม่จีนบางกลุ่มมองว่า การขยายอายุเกษียณออกไปแบบนี้เผลอๆ ตัวเองยังไม่ทันถึงอายุเกษียณ อาจจะเสียชีวิตก่อนก็เป็นได้
- เงินประกันสังคมที่เรียกเก็บเพิ่มขึ้นทุกปี แต่เงินเดือนไม่ได้เพิ่มขึ้นทุกปี อีกทั้งการจ่ายประกันสังคมหากว่าในเมืองไหนที่มีอัตราค่าจ้างพนักงานสูงกว่า ฐานประกันสังคมจะมีการปรับเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่นในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ มีฐานการจ่ายประกันสังคมอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ยังมีบางพื้นที่ที่การพัฒนาไม่สู้ดีฐานประกันสังคมจะถูกปรับลง เพราะต้นทุนการจ่ายประกันสังคมส่งผลไม่น้อย ทำให้คนจีนบางคนที่จ่ายไม่ไหวต้องละทิ้งการจ่ายเงินประกันสังคมเพื่อลดภาระทางการเงิน
- การประชาสัมพันธ์ประโยชน์ของประกันสังคมยังไม่เพียงพอ ทำให้ประชาชนบางคนยังไม่เข้าใจถึงประโยชน์ของการเข้าร่วมประกันสังคม นอกจากนี้ ยังมีคนรุ่นใหม่จีนจำนวนมากที่สับสนระหว่างประกันสังคมกับเงินบำนาญ โดยคิดไปว่ารอจนจะแก่แล้วค่อยจ่ายก็ทัน แต่ประกันสังคมของจีนในส่วนของเงินบำนาญ มีข้อกำหนดขั้นต่ำที่ต้องจ่ายติดต่อกัน 15 ปีถึงจะได้รับเงินบำนาญชราภาพรายเดือนไปจนเสียชีวิต หากว่า "ยิ่งจ่ายมาก ยิ่งได้มาก" ดังนั้นหากจ่ายครบ 15 ปีอาจจะได้รับเงินเงินบำนาญหลังเกษียณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กับคนที่จ่ายประกันสังคมติดต่อกันมามากกว่า 30 ปีจะได้รับเงินเงินบำนาญหลังเกษียณที่มากกว่ามาก
บัญชีประกันสังคมของจีนเป็นบัญชีแบบผสมผสานระหว่าง "บัญชีร่วม + บัญชีส่วนบุคคล" บัญชีร่วมจ่ายเบิกจริงตามจำนวนเงินที่ใช้ในปัจจุบันและบัญชีส่วนบุคคลเป็นการสะสมเงินสำรอง ภายใต้โมเดลนี้เงินที่กลุ่มคนทำงานวัยหนุ่มสาวจ่ายไปในระบบประกันสังคมในส่วนของบัญชีร่วมส่วนใหญ่จะถูกนำมาใช้เพื่อจ่ายเงินบำนาญของผู้เกษียณอายุ ณ ปัจจุบัน ส่วนในบัญชีส่วนบุคคลที่ถูกสะสมจะนำมาใช้โดยผู้ประกันตนเมื่อเกษียณอายุ ดังนั้น ณ ปัจจุบันหากมีคน "ยกเลิก" หรือ "หยุดจ่ายเงิน" ประกันสังคมมากเท่าใด ความเสี่ยงของกองทุนประกันสังคมจะยิ่งมากขึ้นเพราะภาระของกองทุนประกันสังคมที่ต้องแบกรับในปัจจุบันมีอยู่มาก
ในบทความออนไลน์ชิ้นหนึ่งมีการไปสัมภาษณ์ผู้ที่หยุดจ่ายประกันสังคม บางคนเลือกออกจากงานแต่ปัจจุบันยังว่างงานอยู่หางานทำไม่ได้ บางคนถูกปลดออกจากงาน ไม่มีหน่วยงานช่วยรับภาระเงินประกันสังคมทำให้ต้องจ่ายเองทั้งหมด กลายเป็นภาระที่หนักและจำเป็นต้องหยุดการจ่าย
มีคำพูดหนึ่งที่ว่า “ประกันสังคมเคยเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง แต่เมื่อรายได้ไม่มั่นคงกลับกลายเป็นภาระของชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” การซื้อรถ ซื้อบ้าน ทะเบียนบ้านและการรับบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนล้วนผูกติดอยู่กับประกันสังคมคือต้องจ่ายประกันสังคมในเมืองนั้นๆ ติดต่อกันกี่ปีถึงจะมีคุณสมบัติซื้อบ้าน ซื้อรถ ลูกได้เข้าเรียนโรงเรียนในเมือง ดังนั้นสำหรับชีวิตคนเราที่ไม่แน่นอนประกันสังคมไม่ได้อยู่ในลำดับที่สำคัญที่สุดอีกต่อไป
มีบทสัมภาษณ์หนึ่งของนายเจิ้งฝาน อายุ 32 ปี เป็นแรงงานต่างถิ่นเข้ามาทำงานในปักกิ่ง จ่ายประกันสังคมในปักกิ่งติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ในปี 2022 บริษัทที่เขาทำงานอยู่ปลดพนักงานจึงทำให้เขาต้องออกและข้อกำหนดของประกันสังคมในปักกิ่ง หากว่าไม่ใช่คนที่มีทะเบียนบ้านในปักกิ่งไม่สามารถจ่ายเงินประกันสังคมให้ตัวเองได้ กล่าวคือต้องสังกัดหน่วยงานถึงจะจ่ายได้ ทำให้เขาคิดวิธีตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมาและใช้บริษัทของเขาเป็นหน่วยงานจ่ายเงินประกันสังคม
ดังนั้นในทุกเดือน นายเจิ้งฝานต้องรับภาระจ่ายเงินประกันสังคมให้ตัวเองสองเท่า หนึ่งคือเงินในส่วนของบริษัทที่จ่ายสมทบและเงินส่วนของตัวเอง ด้วยวิธีนี้ทำให้ในแต่ละปีเขามีต้นทุนจ่ายประกันสังคมให้ตัวเองปีละประมาณ 30,000 หยวน หรือ 150,000 บาท! อีกทั้งข้อจำกัดของการซื้อบ้านในปักกิ่งต้องมีเงื่อนไขการจ่ายประกันสังคมติดต่อกันแบบห้ามขาดมากกว่า 5 ปีขึ้นไป หรือการขอย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาในปักกิ่งต้องใช้การสะสมคะแนนจากระยะเวลาการจ่ายประกันสังคม จากปัญหาหลายๆ ด้านเขาจึงเลือกย้ายออกจากปักกิ่งและหยุดจ่ายประกันสังคม แต่ใช้วิธีการบริหารเงินเก็บที่ตนเองมีอยู่ บริหารลงทุนต่อยอดเพื่อใช้ยามแก่ ซื้อประกันสุขภาพให้ตัวเองไม่ต้องการพึ่งพาประกันสังคมอีกต่อไป
ในปรากฏการณ์การหยุดจ่ายประกันสังคมของชาวจีน ส่วนใหญ่คือกลุ่มอาชีพอิสระ กลุ่มว่างงาน กลุ่มประกอบกิจการเล็กๆ ส่วนตัวหรือกลุ่มเกษตรกร ที่รับไม่ไหวกับภาระจ่ายประกันสังคมรายเดือนที่หนักหน่วง สืบเนื่องจากกระแสหยุดจ่ายประกันสังคมนี้ ทำให้ช่วงนี้ทางรัฐบาลจีนออกมาให้ข่าวปกป้องว่า “กองทุนประกันสังคมของประเทศยังแข็งแกร่งอยู่ ถึงแม้ว่าเงินฐานประกันจะขึ้นมาแต่ประชาชนได้รับการดูแลที่ดีขึ้น” เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น การจ่ายประกันสังคมก็เหมือนกับการประกันพื้นฐานในชีวิตให้กับตนเอง คนจ่ายไหวก็ยังจ่ายต่อไป ส่วนคนที่จ่ายไม่ไหวหรือมองว่าไม่คุ้มค่าก็เลือกที่จะไม่จ่ายหรือหยุดจ่าย สำหรับความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมจีนในอนาคตคงไม่มีใครตอบได้ในตอนนี้