xs
xsm
sm
md
lg

สื่อจีน Global Times ชี้ “ทิ้งมายาภาพความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ แต่ก็อย่าละความพยายามฟื้นสัมพันธ์...”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์โกลบอล ไทม์สในปักกิ่ง ลงภาพผู้นำเดโมแครตที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน และรองปธน. คาเมลา แฮร์ริส พาดหัวข่าว “คำปราศรัยในการชนะเลือกตั้งของไบเดน เผยความคิดที่จะประนอมความขัดแย้ง” ภาพวันที่ 9 พ.ย.2020 (ภาพ รอยเตอร์ส)
ขณะที่ประเทศต่างๆฟันธงชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯของผู้นำพรรคเดโมแครต นายโจ ไบเดน และพากันออกมาแสดงความยินดีกับเขาโดยที่ไม่สนใจโดนัลด์ ทรัมป์อีกแล้ว ทว่า ประมุขแห่งรัฐแดนพญามังกรจีนยังเงียบ ไม่ออกโรงมาแสดงความยินดีปรีดากับว่าที่ประมุขแดนพญาอินทรี

“เรา (จีน)เห็นไบเดนประกาศชัยชนะแล้ว แต่เราก็รอการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการหลังเสร็จสิ้นกระบวนการโดยบริบูรณ์ตามกฎหมายสหรัฐฯ” หวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนบอกกับที่ประชุมข่าวประจำวันในกรุงปักกิ่งในวันจันทร์(9 พ.ย.)

มองย้อนกลับไปในปี 2016 ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ส่งสาสน์แสดงความยินดีกับทรัมป์ผู้ชนะการเลือกในวันที่ 9 พ.ย. หลังวันเลือกตั้งรอบชี้ขาด

ขณะนี้ความสัมพันธ์จีนและสหรัฐฯมาถึงจุดตกต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษด้วยศึกพิพาทในหลากหลายด้านทั้งประเด็นเทคโนโลยี การค้า ฮ่องกง โรคระบาดโควิด-19 รัฐบาลทรัมป์ซัดหมัดหนักรัวๆใส่จีนแบบไม่ยั้งจัดมาตรการคว่ำบาตรปักกิ่งหลายชุด

ในการช่วงเปลี่ยนตัวนายใหญ่ทำเนียบขาวแห่งวอชิงตันเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสองยักษ์มหาอำนาจเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้ไปย่อมเป็นที่จับตามอง

มาส่องความสัมพันธ์สหรัฐฯกับจีนจะเป็นอย่างไรในยุคผู้นำพรคเดโมแครต โจ ไบเดน จากเสียงของค่ายสื่อกระบอกเสียงใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

บทบรรณาธิการโกลบอล ไทมส์ (Global Times)สื่อภาษาอังกฤษในเครือ พีเพิล เดลี่ เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์(8 พ.ย.) พาดหัวบทความว่า “ทิ้งมายาภาพต่อความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ แต่อย่าถอยความพยายาม” (ที่จะกระเตื้องความสัมพันธ์)...

โกลบอล ไทมส์ อ้างอิงกลุ่มนักวิเคราะห์ทั้งหมดว่าศึกชนช้างที่รัฐบาลทรัมป์ไล่ฟัดจีนราวช้างตกมันคือสงครามการค้านั้นได้สร้างสภาพแวดล้อมทั่วไปให้แก่ความสัมพันธ์จีนและสหรัฐฯและยังได้เปลี่ยนแนวคิดของชนชั้นนำอเมริกันที่มีต่อจีน เมื่อไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเขาจะรักษาทัศนคติที่แข็งกร้าวต่อจีน...ได้แก่ สิ่งที่สหรัฐฯให้คำจำกัดความว่า “สิทธิมนุษย์ชน” เช่น ประเด็นกิจการในฮ่องกง และเขตปกครองตัวเองชนชาติอุยกูร์แห่งซินเจียง อีกทั้งมีความเป็นได้ว่ารัฐบาลพรรคเดโมแครตของไบเดนอาจทวีแรงกดดันจีนมากขึ้น พูดอย่างสั้นๆคือ สหรัฐฯจะไม่ลดแรงกดดันจีนในประเด็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี จีนควรพูดคุยกับทีมของไบเดนในประเด็นขัดแย้งทั้งหมดอย่างสุดสามารถเพื่อที่จะฟื้นสัมพันธ์สองชาติสู่ภาวะที่คาดหมายได้มากที่สุด

ประการแรก ยังมีพื้นที่อีกมากในการปรับปรุงความสัมพันธ์จีนและสหรัฐฯในศึกปราบโควิด-19 ภารกิจสำคัญที่สุดที่ไบเดนจะต้องทำหลังจากนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีคือการหยุดโรคระบาด อย่างที่เขาได้พูดในก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐฯไม่มีทางเลือกอื่นในการต่อสู้กับโรคระบาดนอกจากการแก้ปัญหาแบบเป็นวิทยาศาสตร์ เช่นนี้แล้วก็เป็นเรื่องยากที่ทางวอชิงตันจะใช้ยุทธศาสตร์ที่เอาแต่ “โทษจีน” และยืนกราน”ให้จีนรับผิดชอบ”ลูกเดียว และอาจเป็นไปได้ที่สองยักษ์ใหญ่ชาติอำนาจจะหันมาจับมือกันต่อสู้กับโรคระบาด โดยความร่วมมือในด้านนี้อาจทำให้ทั้งสองหันมาประเมินปัญหาที่ติดแน่นฝังลึกในความสัมพันธ์สองชาติ

ประการที่สอง ไบเดนยืนยันว่าเขาตั้งใจเข้าร่วมส่งเสริมข้อตกลงกรุงปารีสว่าด้วยสภาพการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อช่วยผลักดัน “กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (United Nations Framework Convention on Climate Change)

ประการที่สาม ในภาคเศรษฐกิจและการค้า มีแนวโน้มสูงว่าไบเดนจะเดินหน้าแคมเปญ “กดดันอย่างถึงขีดสุด” ของทรัมป์ แต่อาจไม่ใช้สไตล์ “ทรัมป์บ้า”บุ่มบ่ามวางเดิมพันอย่างบ้าบิ่น ทั้งนี้ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาสหรัฐฯออกมาตรการที่ทำให้ทั้งตัวเองและผู้อื่นเจ็บระนาว รัฐบาลอินทรีชุดใหม่น่าจะพยายามผลักดันหนทางที่ปฏิบัติได้จริงและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง

ประการที่สี่ รัฐบาลทรัมป์ทำเกินไปและทำลายศรัทธาของจีนและสหรัฐฯในการผลักดันความเชื่อมโยงระหว่างประชนชนสองชาติ การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้ครอบครัวชาวจีนจำนวนมากเลิกล้มแผนการส่งลูกหลานมาเรียนในสหรัฐฯซึ่งขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังสูงมาก จนความสัมพันธ์เชิงดีมานด์และซับพลายในภาคการศึกษาเปลี่ยนไปมาก ดังนั้นไบเดนจึงไม่มีพื้นที่มากนักในการกดดันกลุ่มนักศึกษาและนักวิชาการจีนต่อไป

ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเดินผ่านป้ายอิเลคทรอนิกสรายงานดัชนีหุ้นเซินเจิ้น และดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ในช่วงเช้าวันที่ 9 พ.ย. ได้แก่ หุ้นเซินเจิ้น ปิด +1.40%  และ หุ้นเซี่ยงไฮ้ ปิด+1.05%  ที่เขตการเงินลู่จยาจุ่ย ในเซี่ยงไฮ้ (ภาพ รอยเตอร์ส)
กล่าวโดยทั่วไป รัฐบาลทรัมป์ได้ดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่อจีนอย่างไม่ลืมหูลืมตา ขณะนี้ไพ่หลายใบของทรัมป์ถูกทิ้งไปแล้ว และแทบไม่เหลือทรัพยากรให้รัฐบาลไบเดนใช้ไม้ “ที่แข็งกร้าวไปกว่านี้” ต่อจีน พูดตรงๆคือความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯอยู่ในระดับที่ผิดปกติอย่างมาก ความตึงเครียดดังกล่าวทำให้ผลประโยชน์ที่แท้จริงของทั้งสองชาติ กระเด็นออกจากจุดหรือที่ทางที่มันควรอยู่

แน่นอน พรรคเดโมเครตแดนพญาอินทรีมีความดื้อรื้นกว่าในเรื่องค่านิยม แต่ด้วยมีสถานภาพเป็นชาติอำนาจหลักของโลก จีนและสหรัฐฯจะไม่ถลำสู่การเผชิญหน้าทางยุทธศาสตร์กันง่ายๆด้วยเพียงเพราะความแตกต่างด้านค่านิยม นอกจากนี้ไบเดนจะให้ความสนใจมากกว่าในการพัฒนาความสัมพันธ์ทรานสแอตแลนติกให้แข็งแกร่งมากขึ้น แต่พันธมิตรดังกล่าวไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับจีน หากวอชิงตันต้องการที่จะใช้ฉวยประโยชน์จากกลุ่มพันธมิตรเหล่านี้ในการต่อกรกับจีน ก็อาจถูกสกัดโดยพันธมิตรของตน เนื่องจากพันธมิตรของสหรัฐฯหลายรายมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับจีนและพวกเขาจะไม่อยากเผชิญหน้ากับจีนเพื่อขยายอำนาจของกลุ่มพันธมิตรกับสหรัฐฯ

ในตอนท้ายบทบรรณาธิการโกลบอล ไทมส์ชี้ว่าจีนไม่ควรหลงอยู่ในมายาภาพใดๆที่ว่ารัฐบาลไบเดนจะช่วยทำให้ความสัมพันธ์จีนและสหรัฐฯผ่อนคลายหรือพลิกเปลี่ยนไป ทั้งไม่ลดทอนความเชื่อในการปรับปรุงความสัมพันธ์ การแข่งขันของสหรัฐฯต่อจีนและการตั้งรับจีนมีแต่จะเข้มข้นมากขึ้น แต่ด้วยเพราะผลประโยชน์ร่วมของประชาชนระหว่างสองประเทศและของประชาคมโลก ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯจะผ่อนคลายลงและสามารถควบคุมได้ สองประเทศจะต้องทำงานร่วมกันและดำเนินมาตรการร่วมเพื่อหาหนทางและสร้างเสถียรภาพบางอย่าง และประคับประคองความสัมพันธ์ที่บูดเน่าให้อยู่ในขอบเขตที่คาดหมายได้


มรรควิธีพื้นฐานสำหรับจีนที่จะสามารถรับมือกับความท้าทายทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯคือเสริมสร้างพลังอำนาจแข็งแกร่งของตัวเอง จีนจะต้องเป็นประเทศที่สหรัฐฯไม่อาจกดขี่หรือทำลายความมั่นคง และการร่วมมือกับจีนเป็นหนทางดีที่สุดสำหรับสหรัฐฯในการบรรลุผลประโยชน์แห่งชาติอเมริกัน นี่คือหลักการสูงสุด


กำลังโหลดความคิดเห็น