โลกเปลี่ยนอีกครั้ง กับรายการ Fortune Global 500 ที่ออกมาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา Walmart ยังติดอันดับต้น ๆ อีกครั้งแต่ที่ตามมาคือบริษัทจีน 3 แห่ง ได้แก่ Sinopec, State Grid และ China National Petroleum
เรื่องใหญ่คือเป็นครั้งแรกที่ Fortune Global 500 มีบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงมากกว่าในสหรัฐอเมริกา 124 / 121 บริษัท และถ้าบวกเพิ่มบริษัทในไต้หวันด้วย จำนวนบริษัทของคนจีนจะเพิ่มขึ้นเป็น 133 แห่ง
ย้อนไปตอน Global 500 ออกมาครั้งแรกในปี 1990 ตอนนั้นยังไม่มี บริษัทจีนอยู่ในรายชื่อเลยสักรายเดียว ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วโดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตทางการค้าทั่วโลกที่ขยายตัวจาก 39% ของ GDP โลกเป็น 59%
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีนมีความเกี่ยวพันกันในหลาย ๆ ด้าน ยากที่จะจินตนาการได้ว่าสองชาตินี้จะ "แยกส่วน" กันได้อย่างแท้จริง แม้ว่าสวนทางกับฝั่งการเมือง
อีกเรื่องเป็นที่น่าสังเกตว่า รายได้และอันดับบริษัทจีนหลายแห่งที่อยู่ในรายชื่อเช่นเดียวกับทั้งสามรายที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่ได้ขึ้นลงตามพลวัตรการค้า แต่เป็นเพราะการผูกขาดที่รัฐสนับสนุนในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้น การมีรายชื่อติดอันดับ อาจยังไม่รับประกันความสามารถในการทำกำไร
ด้านผู้แพ้รายใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรกในปีนี้ ได้แก่ Pemex, Schlumberger, Softbank, US Postal Service และ Nissan - ขาดทุน 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2019
ส่วนอันดับที่หกและเจ็ดผู้แพ้ คือ Deutsche Bank และ General Electric ในทางกลับกัน Saudi Aramco มีกำไรสุทธิ 8.8 หมื่นล้านดอลลาร์ และเป็นบริษัทที่ทำกำไรสูงสุดของ Fortune Global 500 เป็นปีที่สองติดต่อกัน
