นอร์ทอีส รับเบอร์ ไตรมาส 2 ปี 2563 กำไรนิวไฮพุ่ง 224.90 ล้านบาท หนุนครึ่งปีแรกกำไรสุทธิที่ 284.79 ล้านบาท หลังประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น ต้นทุนลดต่ำลง พร้อมรับอานิสงส์เศรษฐกิจจีนฟื้นหลังคลายล็อกดาวน์เมืองจากโควิด-19 คำสั่งซื้อระยะยาวพุ่ง ผู้บริหารมั่นใจแนวโน้มครึ่งปีหลังโตโดดเด่นทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง รายได้แตะ 17,000 ล้านบาท
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,692.40 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 224.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.61 ล้านบาท เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 166.29 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.25% ซึ่งเป็นการทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ (นิวไฮ) ส่งผลให้ครึ่งปีแรก บริษัทมีรายได้รวม 5,646,76 ล้านบาท มีกำไรสุทธิที่ 284.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.56 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 267.23 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.57%
โดยปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น มาจากการที่บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการประสิทธิภาพ
การผลิตได้ดีขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปรับลดลงจาก 91.6% ในช่วงเดียวกันปีก่อนเหลือ 87% ประกอบกับบริษัทฯ ได้
มีการบันทึกกำไรอัตราแลกเปลี่ยนจากไตรมาส 1/63 กลับเข้ามาเพิ่มอีกราว 126.42 ล้านบาท รวมถึงความสามารถในการ
บริหารจัดการอัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันคำสั่งซื้อ (Order) จากลูกค้าจีนก็
ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รับอานิสงค์กิจกรรมทางเศรษฐกิจจีนที่เริ่มกลับมาคึกคัก โดยเฉพาะยอดจำหน่ายรถยนต์
เพื่อการพาณิชย์ที่พลิกกลับมาเติบโตอีกครั้ง ภายหลังจากได้มีการคลายล็อกดาวน์เมือง หลังปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อ
ไวรัส COVID-19
นายชูวิทย์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลังมั่นใจผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น หลังจากล่าสุดบริษัทฯ ได้สัญญา
ระยะยาวจากลูกค้าใหม่ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์และรถบรรทุกรายใหญ่ของประเทศจีนเพิ่มเข้ามาอีก จำนวน 2 ราย ได้แก่
LLIT (หลิงหลง) ซึ่งมีคำสั่งซื้อราว 48,000 ตัน/ปี และ Triangle Tyre ซึ่งมีคำสั่งซื้อราว 24,000 ตัน/ปี โดยจะเริ่มทยอยส่ง
มอบในไตรมาส 3/63 นี้ และนอกจากนี้บริษัทฯ ยังเตรียมขยายฐานรุกตลาดอินเดียเพิ่มเติมอีกด้วย
สำหรับโรงงานแห่งใหม่กำลังการผลิตรวม 172,800 ตัน/ปีนั้น เริ่มเดินเครื่องการผลิตเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ
มีกำลังการผลิตรวม 465,600 ตัน/ปี จากก่อนหน้านี้มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 292,800 ตัน/ปี อย่างไรก็ตามปีนี้บริษัทฯจะมีการ
เดินเครื่องจักรโรงงานแห่งใหม่เพียงแค่ 70% ตามปริมาณออเดอร์ในปัจจุบัน ส่วนปีหน้าคาดจะเดินเครื่องจักร 100% เบื้อง
ต้นจากแผนงานที่วางไว้บริษัทมั่นใจว่า ผลการดำเนินงานปี 2563 จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ที่รายได้ 17,000 ล้านบาท
ราว 30% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 13,107.15 ล้านบาท
“เราได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องราคา ตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ลูกค้าทั้งรายเก่าและรายใหม่ โดยเฉพาะลูกค้าจากจีนมีออเดอร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจากแผนงานที่วางไว้ จึง
มั่นใจว่า ครึ่งปีหลังกำไรจะนิวไฮต่อเนื่องทุกไตรมาส” นายชูวิทย์กล่าว