ผู้จัดการรายวัน 360 - บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ โชว์ผลงานไตรมาส 2 กำไรสุทธิกว่า 1,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 17.28% เป็นผลจากรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น หลังจากรับรู้ยอดขายของโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 12 โครงการ
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แจ้งผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 1,880.84 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.18 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,603.34 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.15 บาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 277.00 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.28%
ขณะที่งวด 6 เดือน กำไรสุทธิสะสมรวมกว่า 1,467.58 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.14 บาท เทียบกับปีก่อน กำไรสุทธิ 2,896.02 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.27 บาท
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิไตรมาส 2/63 ปรับตัวเพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Core Profit) ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน รวมถึงผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
ทั้งนี้ บริษัทรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 1.76 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงไตรมาส 2/2563 เทียบกับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทแข็งที่ค่าขึ้น 1.06 บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาส 2/2562 และเทียบกับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง 2.50 บาทต่อดอลลาร์ในงวดไตรมาส 1/2563
ส่วนรายได้จากการขายและให้บริการในดังกล่าวเพิ่มขึ้น 8.8% มาอยู่ที่ระดับ 7,773 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 7,144 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ยอดขายเต็มไตรมาสของโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 12 โครงการในกลุ่ม GMP เทียบกับ 11 โครงการในงวดไตรมาส 2/2562 โดยทั้ง 12 โครงการสามารถขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้สูงขึ้นถึง 14.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แจ้งผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 1,880.84 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.18 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,603.34 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.15 บาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 277.00 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.28%
ขณะที่งวด 6 เดือน กำไรสุทธิสะสมรวมกว่า 1,467.58 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.14 บาท เทียบกับปีก่อน กำไรสุทธิ 2,896.02 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.27 บาท
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิไตรมาส 2/63 ปรับตัวเพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Core Profit) ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน รวมถึงผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
ทั้งนี้ บริษัทรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 1.76 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงไตรมาส 2/2563 เทียบกับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทแข็งที่ค่าขึ้น 1.06 บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาส 2/2562 และเทียบกับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง 2.50 บาทต่อดอลลาร์ในงวดไตรมาส 1/2563
ส่วนรายได้จากการขายและให้บริการในดังกล่าวเพิ่มขึ้น 8.8% มาอยู่ที่ระดับ 7,773 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 7,144 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ยอดขายเต็มไตรมาสของโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 12 โครงการในกลุ่ม GMP เทียบกับ 11 โครงการในงวดไตรมาส 2/2562 โดยทั้ง 12 โครงการสามารถขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้สูงขึ้นถึง 14.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน