ร่มฉัตร จันทรานุกูลมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจระหว่างประเทศ วิทยาลัยนานาชาติ
เรื่องที่เป็นที่จับตามองมากที่สุดเรื่องหนึ่งในตอนนี้คงจะหนีไม่พ้น การพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาทองคำโลก ภายใต้ภาวะสถานการณ์ทั่วโลกที่ซับซ้อน มหาอำนาจอย่างอเมริกาและจีนที่ความสัมพันธ์เข้าขั้นตึงเครียด สถานการณ์ของโควิด-19 ซึ่งยังไม่มีวี่แววจะควบคุมได้หรือบรรเทาลง มาพร้อมกับพิษเศรษฐกิจที่แสนสาหัสที่กระทบกับคนชั้นกลาง ผู้เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของหลายประเทศ
ในปีนี้รัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลจีน ปล่อยเงินออกมาในระบบเศรษฐกิจจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและในอนาคตเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น การที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นหมายความว่า เงินในกระเป๋าของเราทุกคนจะมีกำลังซื้อน้อยลง (หรือของแพงขึ้น) นั่นเอง
ในเมื่อเงินในกระเป๋าเรากำลังจะด้อยค่า หลายคนก็มองหาวิธีการที่จะทำให้เงินที่มีอยู่ไม่ลดมูลค่าและมีมูลค่าเพิ่มขึ้น แน่นอนว่า “ทองคำ” เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนเพื่อคงและเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สิน อีกทั้งทองคำสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วไม่เหมือนกับอสังหาริมทรัพย์ ทองคำมีมูลค่าราคาเป็นมาตรฐานโลก ทุกประเทศในโลกนี้ถือครองทองคำในคลังของประเทศ ดังนั้นทองคำได้รับความเชื่อถือและหากมองกันระยะยาวมาจนถึงวันนี้ ก็คงปฏิเสธกันไม่ได้จริง ๆ ว่าทองคำคือ ที่หลบภัยในการลงทุน “Safe haven” แม้ว่าในหลายปีมานี้ บางช่วงราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นลงแรงและเร็ว แต่หากมองกันระยะยาวแล้วการถือทองคำคือการคงมูลค่าของทรัพย์สิน
จีนมีคำกล่าวยอดฮิตที่ว่า “盛世古董,乱世黄金”(อ่านว่า เฉิงชื่อกู๋ต่ง ล่วนชื่อหวงจิน) หมายความว่า ในยุคเฟื่องฟูของโบราณจะมีมูลค่าที่สุด ในยุควุ่นวายทองคำจะมีมูลค่าที่สุด
ดังนั้น หากมองในสถานการณ์โลกของเราตอนนี้ ทองคำมีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปอีก จากเหตุปัจจัยของเงินดอลล่าร์ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง และนักลงทุนทั่วโลกโยกย้ายเงินเข้าไปที่ทองคำ แต่เนื่องจากราคาทองคำแกว่งขึ้น-ลงอย่างรุนแรง นักลงทุนระยะสั้นคงต้องระมัดระวังในการลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะการถูกเทขายในแต่ละครั้งราคาจะลดลงมาฮวบฮาบเลยทีเดียว
ผู้อ่านอาจจะอยากทราบกันว่าคนจีนชอบการลงทุนทองคำกันมากน้อยเพียงใด?
ผู้เขียนขอตอบว่าคนจีนชอบลงทุนทองคำกันมากพอสมควรเลย สมัยก่อนจะมีแต่พวกคนรุ่นลุงรุ่นป้าที่ชอบซื้อทองสะสม แต่ในยุคนี้คนรุ่นใหม่เริ่มที่จะหันมาสนใจการลงทุนทองคำกันมากขึ้น ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากราคาทองคำสองสามปีนี้ราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกปี อัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนจากการลงทุนกองทุนรวมต่าง ๆ ลดลง การลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความผกผันสูง ดังนั้นคนจีนเริ่มโยกเงินมาซื้อทองคำกันมากขึ้น
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของทองคำในประเทศจีนมีหลายปัจจัยด้วยกัน(ดังรูปข้างต้น) ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายการซื้อขายทองคำในประเทศ คือประชาชนซื้อง่ายขายคล่องกันมากขึ้น หลังจากสิบกว่าปีของการพัฒนาชนชั้นกลางในจีนมีมากขึ้น ประชากรของประเทศและความเป็นเมืองของจีนมีมากขึ้น รายได้ที่มากขึ้นของประชาชนนำมาสู่การบริโภคที่ตามมา
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมาจีนเป็นประเทศที่มีอุปสงค์ด้านทองคำมากที่สุดในโลก โดยในปี 2019 จีนมีอุปสงค์ทองคำทั้งปีถึง 1,002.8 ตัน เป็นอันดับหนึ่งของโลก
แนวโน้มของการลงทุนซื้อทองคำของประชาชนจีนมีมากขึ้น แต่ในขณะนี้มีจำนวนมากเท่าใดนั้นยังไม่มีหน่วยงานที่ออกมารายงานอย่างแน่ชัด ทองแท่งเพื่อการลงทุนมีขายในธนาคารและร้านทองใหญ่ ๆ โดยมาตรฐานทองคำแท่งของจีนที่ซื้อขายกันทั่วไปคือ AU99.99% ราคาต่อหน่วยของทองจีนจะเป็นราคาต่อกรัม ทองแท่งในจีนส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบ 10/20/50/100/200/500 กรัมเป็นต้น ราคาเปลี่ยนแปลงตามราคาโลกและมีศูนย์กลางซื้อขายทองคำแห่งใหญ่ของประเทศอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลกลางและก่อตั้งโดยธนาคารกลางแห่งชาติของจีน มีชื่อเรียกทางการว่า Shanghai Gold Exchange(SGE) ซึ่งราคาซื้อขายทองคำในประเทศจีนก็อ้างอิงจากศูนย์ซื้อขายทองคำเซี่ยงไฮ้นี้
ในด้านของประชาชนทั่วไป พฤติกรรมการซื้อทองคำของคนส่วนใหญ่คือการซื้อทองรูปพรรณ รองลงมาคือทองแท่ง คนจีนชอบซื้อทองส่วนหนึ่งก็มาจากวัฒนธรรมที่ตกทอดกันมา เช่นว่า คนจีนชอบให้ทองเป็นของขวัญแก่ผู้สูงอายุ ให้ทองคำใส่เป็นข้อมือหรือข้อเท้าแก่เด็กทารกแรกเกิด การแต่งงานที่ต้องมีการใส่เครื่องประดับทองคำ ฯลฯ
นอกจากนี้ผู้เขียนสังเกตว่า ตลาดทองรูปพรรณของจีนมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง การออกแบบของทองที่นี่มีความทันสมัย สินค้าทองรูปพรรณที่นี่มีเหมาะสมกับคนทุกช่วงอายุให้เลือกซื้อ ไม่โบราณ ทองรูปพรรณที่นี่มีมาตรฐานทั่วไปที่ AU 99.90% ซึ่งก็ทำให้ราคาสูงกว่าไทยมากเช่นกัน
ส่วนการขายทองรูปพรรณของที่นี่ค่ากำเหน็ดส่วนใหญ่จะรวมเข้าไปในราคาทองต่อกรัมเลย อย่างเช่นในช่วงนี้ (2 ส.ค.) ราคาทองพื้นฐานต่อกรัม 420 หยวน ราคาทองรูปพรรณจะประมาณกรัมละ 550 หยวน/กรัมขึ้นไป จากที่ผู้เขียนอธิบายไป จะเห็นว่าต้นทุนการซื้อทองของคนจีนสูงทีเดียว อีกทั้งกฎการรับซื้อคืนของแต่ละร้านทองก็แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะหักเพิ่มกรัมละ 2-3 หยวนต่อราคาทองที่รับซื้อคืนในวันนั้น ดังนั้นหากมองในแง่ของการลงทุนการซื้อทองรูปพรรณไม่ค่อยคุ้มเท่าใดนัก
การลงทุนทองคำของคนจีนในปัจจุบันก็ยังมีการซื้อขายผ่านกองทุนต่าง ๆ ที่ขายในแอปพลิเคชันของธนาคาร สำหรับคนที่มีเงินไม่มากก็สามารถลงทุนทอง ซื้อทองในระบบออนไลน์ได้ โดยธนาคารบางที่ก็มีบริการซื้อทองกระดาษ คือซื้อไว้แล้วไม่ต้องถือทองกลับบ้าน ฝากทองเอาไว้ที่ธนาคารหากจะเอาเมื่อไหร่ก็สามารถขอถอนออกมาจากธนาคารได้ ตรงนี้เป็นการลดความเสี่ยงของการถือทองเอาไว้ที่ตัวเองนั่นเอง
ในการจัดอันดับปีนี้เดือนพ.ค. ประเทศทั่วโลกที่ถือครองทองคำมากที่สุด จีนเป็นลำดับที่ 7 ของโลก โดยการถือครองทองคำของธนาคารกลางแห่งชาติจีนอยู่ที่ประมาณ 1,948 ตัน คิดเป็น 3.5 เปอร์เซ็นต์ของทองคำสำรองทั่วโลก ในขณะที่ลำดับที่ 1 ได้แก่ อเมริกา ที่มีทองคำถือครองถึง 5,410 ตัน คิดเป็น 15.5 เปอร์เซ็นต์ของทองคำสำรองทั่วโลก ส่วนอินเดียเป็นลำดับที่ 10 ของโลก มีการถือครองทองคำอยู่ประมาณ 650 ตันคิดเป็นประมาณ 1.8 เปอร์เซ็นต์ของทองคำสำรองทั่วโลก
จากภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก ประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มจะเพิ่มการสำรองทองคำมากยิ่งขึ้น กอปรกับที่กล่าวไปข้างต้นว่าทองคำคือ ที่หลบภัยในการลงทุน (Safe haven) ดังนั้นจากการคาดการณ์ในขณะนี้คาดว่าราคาทองคำในช่วงใกล้ ๆ นี้น่าจะขึ้นไปถึง 3,000 ดอลล่าร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ดี ในระดับประชาชนคนธรรมดา ผู้เขียนมองว่าการลงทุนทองคำในช่วงนี้ มีความผันผวนสูงและเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลที่ต้องประเมินสถานการณ์ของตนเองให้รอบคอบ เพราะการลงทุนทั้งหลายมีความเสี่ยงอยู่ทั้งสิ้น