โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
University of International Business and Economics
อีกไม่ถึงอาทิตย์ก็จะถึงวันหยุดเทศกาลไหว้ขนมจ้าง (บ๊ะจ่าง) ของจีนแล้ว ในปีนี้วันหยุดบะจ่าง หรือ บ๊ะจ่าง ที่ทางรัฐบาลประกาศไว้คือระหว่างวันที่ 25-27 มิ.ย. และหลังจากการผ่อนคลายระดับการป้องกันโควิด-19 ในปักกิ่งจากระดับสองลงสู่ระดับสาม ช่วงต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา บรรยากาศโดยทั่วไปของเมืองเริ่มกลับมาคึกคัก ประชาชนจีนในปักกิ่งเริ่มรู้สึกผ่อนคลายหลังจากตรึงเครียดกันมาเกือบครึ่งปี
ในมุมที่ใกล้ตัวของผู้เขียนเอง มหาวิทยาลัยก็เริ่มที่จะเปิดเพื่อต้อนรับนักศึกษาที่จะเรียนจบปีนี้ให้กลับมาเพื่อเก็บของและคืนหอพัก ทำเอกสารการเรียนจบ และจะมีการแบ่งกลุ่มจัดงานรับปริญญาให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษา คนรอบตัวหลายคนเริ่มจะวางแผนการออกไปเที่ยวต่างเมืองในช่วงวันหยุดที่กำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ แต่ดูเหมือนทุกคนจะฝันสลาย!
ในวันที่ 11 มิ.ย. ได้มีการรายงานข่าวด่วนว่า ตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ภายในพื้นที่ของปักกิ่งเพิ่มขึ้น 1 ราย โดยผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยขาเข้าและไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่เคยสัมผัสกับผู้ป่วยโควิด-19 เลย หลังจากเกิดมีรายแรกนี้แล้ว รายถัด ๆ ไปก็ตามมาอย่างรวดเร็ว จนหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป มีผู้ติดเชื้อใหม่ของปักกิ่งเพิ่มขึ้นเป็น 200 กว่าคน
มีหลายคนตั้งคำถามว่าปักกิ่งจะเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่?ปักกิ่งประกาศปิดเมืองเหมือนในอู่ฮั่นหรือไม่?
จากแหล่งข่าวของรัฐบาลและประสบการณ์ของตัวผู้เขียนเองที่พำนักอยู่ในปักกิ่งขณะนี้ ขอตอบคำถามแรกว่า ปักกิ่งเป็นไปได้ยากมากที่จะกลายไปเป็นแบบอู่ฮั่น เนื่องจากความพร้อมของจีนกับการรับมือตอนนี้เกือบจะ 100% (ขาดแต่วัคซีนเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงทดลองระยะที่สาม)
ปักกิ่งเองเป็นเมืองหลวงสามารถที่จะสั่งการและระดมทรัพยากรต่าง ๆ เข้ามาได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือบุคคลากรทางการแพทย์และเครื่องมือ ประชาชนมีประสบการณ์และความพร้อมในการรับมืออยู่
คำตอบสำหรับคำถามที่สองคือเรื่องของการปิดเมืองปักกิ่ง ต้องบอกว่า ไม่ใช่การปิดตายแบบอู่ฮั่นเพราะรัฐบาลยังเปิดช่องทางให้ประชาชนที่จำเป็นจะต้องเดินทางให้เดินทางเข้าออกได้อยู่ แต่ทั้งขาเข้าและออกจะต้องมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นลบไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ และจะต้องกักตัวเองตามที่รัฐบาลท้องที่ต่าง ๆ กำหนดอย่างเคร่งครัด และในบางหน่วยงานอาจจะมีความต้องการรายละเอียดอื่น ๆ อีก สรุปคือยังเปิดช่องทางให้มีการเดินทางในเคสที่จำเป็นอยู่แต่มีเงื่อนไขที่เยอะมาก ๆ นั่นเอง
จากการระบาดกลุ่มก้อนในปักกิ่งครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดจีนได้ยืนยันแหล่งแพร่กระจายโคโรนาไวรัสได้อย่างรวดเร็ว คือตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรแห่งใหญ่ของปักกิ่ง มีชื่อว่า“ซินฟาตี้”ตั้งอยู่ที่อำเภอฟงไถ ทางตอนใต้ของปักกิ่ง
หลังจากเกิดเคสผู้ป่วยรายที่สองสามเป็นต้นมา ตลาดซินฟาตี้ได้ถูกสั่งปิดทันที คนในห้ามออก-คนนอกห้ามเข้า และรีบทำการตรวจเชื้อให้แก่คนที่อยู่ในตลาดและผู้ค้าเป็นกลุ่มแรก ๆ ต่อมาไม่นานก็ประกาศปิดหมู่บ้านบริเวณรอบ ๆ ตลาด เพราะมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ จากเขตฟงไถนี้ ทำให้เขตนี้มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดที่สุดในปักกิ่ง การปิดหมู่บ้านไม่ให้คนในออกคนนอกเข้าก็จะมีฝ่ายบริการคอยอำนวยความสะดวกส่งสิ่งของให้ประชาชนที่ออกมาข้างนอกไม่ได้ การแพร่กระจายของผู้ป่วยโควิด-19 ในปัจจุบันกระจุกตัวอยู่ทางใต้ของเขตฟงไถ ซึ่งทางการก็ได้ทำการแบ่งเขตความเสี่ยงในปักกิ่งจากมากไปสู่น้อย
ประชาชนที่อยู่ในเขตความเสี่ยงสูงต้องหยุดการออกจากบ้านและเดินทาง การลงมือจัดการควบคุมที่รวดเร็วนี้ทำให้เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. นายหวู่จุนโหยวผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมโรคระบาดของจีนได้ออกมาบอกว่า “การระบาดของโรคโควิด-19 ในปักกิ่งวงกว้างได้รับการระงับแล้ว” หมายความว่าแนวโน้มการกระจายการติดไวรัสของกลุ่มคนจะไม่ขยายออกไปมากกว่านี้แล้ว ทั้งนี้มาตรการป้องกันยังคงต้องยังเข้มข้นอยู่และจะไว้วางใจไม่ได้
กลับมาที่แหล่งต้นตอการระบาดในปักกิ่งครั้งนี้ “ตลาดซินฟาตี้” ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1988 ในช่วงเริ่มต้นพื้นที่ของตลาดเพียง 10,000 ตร.ม. เท่านั้น จากการพัฒนามากว่า 30 ปีในปัจจุบันตลาดมีพื้นที่มากกว่า 1.01 ล้านตร.ม. เจ้าหน้าที่บริหารในตลาดมีมากถึง 1,700 คน มีมูลค่าทางทรัพย์สินราว 40,000 ล้านหยวน
ตลาดซินฟาตี้หลัก ๆ ค้าส่งสินค้าเกษตรสด ผัก ผลไม้ ไข่นมและเนื้อสดต่าง ๆ รวมทั้งยังมีส่วนของสินค้าเกษตรนำเข้าและสินค้าทะเลสดแช่แข็ง ถือเป็นตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรที่สำคัญแห่งหนึ่งของจีน ภายในตลาดมีแผงค้าถาวร 5,526 แผง มีปริมาณรถขนสินค้าเข้าออกในแต่ละวัน 30,000 กว่าคัน และปริมาณคนเข้าออกตลาดแห่งนี้ในแต่ละวันมีมากกว่า 50,000 คน จำนวนการเข้าออกของผักสดมากสุดถึง 12 ล้านกิโลกรัมต่อวัน จำนวนการเข้าออกของผลไม้สดมากสุดถึง 15 ล้านกิโลกรัมต่อวัน จำนวนการเข้าออกของสินค้าทะเลสดและแช่แข็งต่อวันมากกว่า 1,500 ตัน
ตลาดค้าส่งซินฟาตี้ถือว่าเป็นเส้นเลือดหลักในกระจายสินค้าเกษตรมาสู่ชาวเมืองปักกิ่ง โดยเฉพาะผักสดและผลไม้ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 80% สัดส่วนของเนื้อสดและอาหารทะเลแช่แข็งมีสัดส่วนประมาณ 10-15% ในปี 2009 ตลาดค้าส่งนี้มีจำนวนการขายส่งสินค้าเกษตรมากกว่า 9 หมื่นล้านกิโลกรัม จำนวนเงินสะพัดมากกว่า 3 แสนล้านหยวน จำนวนการค้าส่งสินค้าเกษตรของตลาดแห่งนี้ มีมูลค่ามากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ
ในปีที่แล้ว 2019 ตลาดซินฟาตี้มีการค้าขายสินค้าเกษตรรวม 17.5 ล้านตัน เงินสะพัดทั้งปี 1.3 ล้านล้านหยวน ในจำนวนตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรของจีนทั้งประเทศ 4,600 แห่ง ด้านปริมาณการขายส่งสินค้าเกษตรทั่วประเทศตลาดซินฟาตี้ครองอันดับหนึ่งติดต่อกันมาแล้วถึง 17 ปี จากการเติบโตขึ้นมาของตลาดซินฟาตี้ การกระจุกตัวของประชาชนที่มีมากขึ้น ทำให้โดยรอบมีหมู่บ้านและศูนย์โลจิสติกส์ก็ถูกพัฒนาตามขึ้นมา จนเกิดชุมชนหมู่บ้านรอบตลาดหลายสิบหมู่บ้าน มีศูนย์กระจายสินค้าและแหล่งซ่อมรถยนต์ รถบรรทุกอย่างครบวงจร รวมทั้งมีร้านอาหาร ห้างร้านบริการต่าง ๆ กระจุกตัวอยู่เป็นจำนวนมาก มีประชาชนอาศัยอยู่มากกว่าหนึ่งล้านคน
ตลาดซินฟาตี้ถูกปิดในครั้งนี้เพราะการระบาดกลุ่มก้อนครั้งใหม่ นำความงุนงงมาสู่ประชาชน ตลาดแห่งนี้เปิดให้บริการมาตลอดไม่เคยพบปัญหาการระบาด ทั้งที่เมื่อต้นปีที่อู่ฮั่นระบาดหนักก็ไม่เคยปิดตลาดเลย ทำให้ประชาชนทั้งประเทศโดยเฉพาะในปักกิ่งเกิดความกังวลใจ เพราะการมาของการระบาดในครั้งนี้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย อีกทั้งจากการเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมและสินค้าต่าง ๆ ในตลาดพบว่า RNA ของโคโรนาไวรัสนี้มาจากทางยุโรป และยังพบว่าบริเวณอาหารทะเลแช่แข็งและส่วนของที่ขายเนื้อสดมีตัวอย่างหลายชิ้นที่มีผลทดสอบเป็นบวก ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตโคโรนาไวรัสอาจจะมาจากสินค้าอาหารแช่แข็งนำเข้าจากต่างชาติ เพราะไวรัสโคโรนานี้จะมีอายุอยู่ได้ยืนยาวได้ในอุณหภูมิต่ำและชื้น อาจจะเป็นพาหะนำโรคมาสู่คนและสิ่งแวดล้อมได้
ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญในจีนยังไม่มีใครออกมายืนยันว่าสาเหตุการระบาดของปักกิ่งในครั้งนี้สุดท้ายแล้วต้นตอมาจากอะไร ยังคงเป็นปริศนาให้ค้นหาคำตอบกันอยู่ แต่สื่อต่าง ๆ และประชาชนจีนเริ่มมุ่งให้ความสนใจไปที่อาหารแช่แข็งนำเข้าและสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในโรงงานแปรรูปเนื้อในต่างประเทศที่ก็มีพบการแพร่ระบาดแบบกลุ่มก้อนอยู่เช่นกัน
หลายคนเริ่มที่จะไม่ไว้วางใจอาหารแช่แข็งและสินค้าเกษตรนำเข้าจากต่างประเทศ และทางการจีนก็ห้ามนำเข้าสินค้าอาหารจากโรงงานในยุโรปที่มีปัญหาแล้วด้วย
ผู้เขียนเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ รัฐบาลจีนจะมีกฎระเบียบการนำเข้าสินค้าและอาหารจากทั่วโลกที่เข้มงวดขึ้นไปอีก ดังนั้นสถานการณ์โควิด-19 ในจีนและในโลกไม่ใช่เรื่องไกลตัว เราทุกคนจำเป็นต้องปรับตัวและติดตามสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด