ขณะนี้ ชีวิตชาวจีนในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย เริ่มกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทางการค่อยๆผ่อนปรนมาตรการปิดเมืองที่กินเวลานานกว่าสองเดือนจากวันที่ 23 ม.ค. และมีกำหนดเปิดเมืองในวันที่ 8 เม.ย.นี้
สำหรับการปิดเมืองอู่ฮั่นซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดไวรัสโควิด-19 นั้นเป็นการตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างเด็ดขาด ประชากร 11 ล้านคนต้องอยู่แต่ในบ้านอย่างทรหดอดทน ขณะที่ทุกความเคลื่อนไหว ธุรกิจทุกภาคส่วน หยุดนิ่งเหมือนดั่งต้องคำสาป
เชื่อกันว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังอาละวาดผู้คนทั่วโลกอย่างไม่ปราณีปราศรัยขณะนี้ มีต้นตอการระบาดมาจากตลาดขายอาหารทะเลสดในเมืองอู่ฮั่น จำนวนผู้ติดเชื้อฯของเมืองคิดเป็น 2 ใน 3 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดในประเทศจีน ตลอดเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อฯรายใหม่ในจีนลดเหลือไม่กี่ร้อยคน ในเมืองอู่ฮั่นรายงานผู้ติดเชื้อฯรายใหม่ในหลายๆวันเป็น “ศูนย์” จนกระทั่งรัฐบาลมั่นใจและผ่อนปรนมาตรการปิดเมือง
สำนักข่าวรอยเตอร์สได้ตระเวนสัมภาษณ์ความรู้สึกของชาวอู่ฮั่นและแบ่งปันประสบการณ์ให้แก่ชาวโลกหลายล้านคน ซึ่งกำลังตกอยู่ในสภาพถูก “ล็อกดาวน์” หรือแยกโดดเดี่ยวเช่นเดียวกับที่พวกเขาประสบมาก่อน
มู่ จื้อ คนขับแท็กซี่
“ตอนแรกๆ ผมรู้สึกกลัวเนื่องจากงานอาชีพของผมต้องพบปะผู้คนมากมาย ผมจึงกลับบ้านและกักตัวเอง”
“เมื่อมาตรการควบคุมโรคระบาดเริ่มส่งผลในเดือนก.พ. ผมก็เริ่มโล่งใจหลังจากที่ตกอยู่ในความเครียดเป็นเดือนๆ และเนื่องจากในหมู่บ้านของผมไม่มีผู้ติดเชื้อ ทางการจึงอนุญาตให้พวกเราออกนอกบ้านได้เป็นกลุ่มแรกๆ”
“ตอนนี้สถานการณ์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในอิตาลี ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด และหวังว่าผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสโควิดในต่างแดนจะสามารถเอาชนะวิกฤตครั้งนี้”
ติง ฟ่าน วัย 27 ปี อาชีพรับจ้าง
“ตอนแรกๆ ผมกลัวมาก เนื่องจากในช่วงสัปดาห์หลังจากปิดเมืองจำนวนผู้ติดเชื้อฯในอู่ฮั่นพุ่งสูงมาก รายงานผู้ติดเชื้อที่แถลงในแต่ละวันทำให้ผมหดหู่มาก”
“ผมไม่คุ้นเคยกับการอยู่บ้านเลย และรู้สึกวิตกกังวลมากเนื่องจากทุกคนประสาทกินกันไปหมด เมื่อเปิดหน้าต่างมองออกไปข้างนอกก็เห็นแต่ความว่างเปล่า ไม่มีแม้เงาสิ่งมีชีวิตใด มันรู้สึกเศร้ามาก...เหมือนที่นี่ไม่ใช่บ้านผม ปกติเมืองนี้เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาคึกคัก”
“เราอยู่ในโลกใบเดียวกัน ต้องจับมือกันต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายครั้งนี้ ทุกคนควรออกไปข้างนอกน้อยลง อยู่บ้านอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ และเล่นเกมกันในครอบครัว”
หู หย่ง วัย 40 ปี พนักงานพ่นยาฆ่าเชื้อ
“ผมเป็นอาสาสมัคร เมื่อเร็วๆนี้ได้ทำงานในบริษัทบริการฆ่าเชื้อตามร้านค้าและถนน สถานการณ์โรคระบาดครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าจีนเข้มแข็งจริงๆ”
“ในฐานะที่ผมได้ผ่านตรงนี้มาแล้ว ก็อยากบอกทุกคนว่าอันดับแรก อย่าตระหนก ปรับสภาพจิตใจ สองคือปฏิบัติตัวแบบ “ปลอดภัยไว้ก่อน”เสมอ ได้แก่ ล้างมือ จัดบ้านที่อยู่อาศัยให้อากาศถ่ายเท และออกกำลังกายเป็นประจำ
เกิ่ง อี้ พนักงานโรงแรม
“ผมได้เห็นกับตาว่าเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลทำงานหนักและเสี่ยงชีวิตอย่างไรเพื่อช่วยอู่ฮั่น พวกเรารู้สึกเป็นบุญเป็นคุณออย่างใหญ่หลวง”
“วันนี้พวกเรารู้สึกว่าชัยชนะใกล้เข้ามาแล้ว ผมขอให้กำลังใจแก่ชาวโลก “สู้ สู้” อย่าท้อถอย! จับมือกันร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน ผมมั่นใจว่าเราจะรอดไปด้วยกัน”
หยวน เหยียนจ่ง วัย 59 ปี ปลดเกษียณงานแล้ว
“ผมเป็นชาวอู่ฮั่นโดยกำเนิด นับจากวันที่ล็อกดาวน์ ผมไม่ได้ออกนอกบ้านเลย ตอนแรกๆก็รู้สึกตื่นตระหนก เพราะโรคระบาดคราวนี้เลวร้ายจริงๆ”
“ผมเตรียมสำรองเสบียงอาหารข้าวของที่จำเป็นไว้ตั้งแต่ก่อนวันตรุษจีน ต่อมาเพื่อนบ้านของผมได้เปิด “กรุ๊ปแชทซื้อข้าวของกัน” ชีวิตในช่วงนั้นไม่ง่ายเลยแต่อยู่กับบ้านปลอดภัยกว่า”
“จากประสบการณ์ในอู่ฮั่น วิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะศึกโรคระบาดครั้งนี้คือ “อยู่บ้าน” อย่าออกไปข้างนอก ลดการติดต่อกัน อยู่บ้านให้ไวรัสมันเฉาตายไปให้หมด นี่คือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด”
หยัง หยวนฟาง วัย 39 ปี คนงานอาสาสมัครในชุมชน
“อาของผมถูกวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสโควิดเมื่อวันที่ 22 ม.ค. จากนั้นคนในบ้านของเธอก็ค่อยๆติดเชื้อกัน ตอนนั้นพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากชุมชนอย่างมาก”
“ผมเลือกเป็นอาสาสมัคร เพราะทำใจไม่ได้ที่จะเป็นแค่คนที่นั่งดูอยู่เฉยๆ สถานการณ์ตอนนั้นบีบคั้นใจผมมาก อู่ฮั่นเป็นบ้านของผม”
“ไวรัสตัวนี้น่ากลัวมาก การต่อสู้กับมัน...พวกเราต้องมีทัศนะเชิงบวกและสามัคคีปรองดองกัน”
ชิว เสี่ยวอิ่ง วัย 72 ปี เจ้าของร้านค้า
“การปฏิบัติตัวขั้นพื้นฐานสุด คืออย่าออกไปข้างนอก และอย่าไปบ้านคนอื่น หยุดทุกอย่าง อย่าแม้กระทั่งไปเยี่ยมญาติหรือไปกินข้าวด้วยกันระหว่างเทศกาลฉลองปีใหม่”
“หากพวกเราที่อยู่ในจีนสามารถพิชิตชัยเหนือโรคระบาดนี้ได้ ประเทศชาติอื่นๆก็จะเอาชนะมันและผ่านช่วงวิกฤตยากลำบากนี้ไปได้เช่นกัน ขอจงเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง หาหนทางที่จะขับไล่มันไป เรียนรู้จากจีนสร้าง ‘ทัศนะแห่งความรับผิดชอบ’ อย่างดูเบาไวรัสตัวนี้ และอย่าออกไปเดินตามถนนโดยที่ไม่สวมหน้ากาก”