xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights: จากโรคอุบัติใหม่โควิด-19 จีนตระหนักถึงปัญหาอะไรบ้าง&?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ดร.ร่มฉัตร จันทรานุกุล


กราฟิกแสดงการหยุดการจับ ซื้อขาย ขนส่งและการกินอาหารป่ารอบด้าน (ที่มา qhnews)
โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล 

ในปัจจุบันโรคโควิด-19 ที่ระบาดในจีนดูเหมือนว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ตัวเลขจำนวนการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยภายในประเทศลดลงเรื่อยๆ โรงพยาบาลชั่วคราวหลายแห่งในอู่ฮั่นทยอยปิดตัวลงจนหมด หมายความว่าผู้ป่วยอาการเบาหายดีและกลับบ้านกันแล้ว ถือเป็นสัญญาณที่ดี

บางมณฑลหลายสิบวันที่ผ่านมา ไม่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเลย ในพื้นที่ที่ค่อนข้างปลอดภัย คนจีนเริ่มกลับเข้ามาทำงานและค่อย ๆ เข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ในปัจจุบันจีนยังคงไม่ผ่อนคลายมาตราการป้องกันต่าง ๆ เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่ใช้เวลานานกว่าจะตรวจเจอและรักษา จากกรณีของผู้ป่วยที่รักษาหายออกจากโรงพยาบาลในอู่ฮั่น การตรวจร่างกายซ้ำพบว่าผลกลับมาเป็นบวกอีกครั้งมีอยู่ประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่มีอาการแต่อย่างใด แต่ผลตรวจที่เป็นบวกหมายถึงไวรัสยังคงมีชีวิตอยู่ในร่างกายและอาจจะมีโอกาสที่จะแพร่กระจายไปสู่คนอื่นได้อีก

ดังนั้น ในแผนการรักษาล่าสุดของทางการจีน กำหนดว่าผู้ป่วยที่หายดีแล้วกลับมาบ้านต้องกักตัวเองอีก 14 วันและในระหว่างนี้ต้องไปโรงพยาบาลตรวจซ้ำตามที่แพทย์นัดอย่างเคร่งครัด โรคระบาดอุบัติใหม่นี้เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วยากที่จะควบคุม ในเหตุการณ์ฉุกเฉินนี้ อุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ ที่ปะทุขึ้น ทำให้จีนกลับมามองจุดอ่อนของตัวเองและตระหนักถึงปัญหาหลาย ๆ ด้านที่ควรได้รับการแก้ไขในอนาคต

"ปัญหาแรก" ที่ชัดเจนเลยคือ เรื่องการรับประทานอาหารป่าของคนจีนเรียกว่า “野味”(Ye Wei)สัตว์ป่าเป็นพาหะนำโรคหลายชนิด อย่างเช่น ค้างคาว ที่มีไวรัสอยู่ในตัวเป็นร้อยประเภทและสามารถติดต่อสู่สัตว์อื่นสุดท้ายติดต่อมาสู่คนได้ ไวรัสมีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด การติดต่อมาถึงคนสามารถทำให้เกิดโรคต่าง ๆ นานาและสุดท้ายกลายเป็นโรคระบาดในที่สุด

ผลการถอดพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่พบว่าเหมือนกับไวรัสที่อยู่ในตัวค้างคาว 70 กว่าเปอร์เซ็นต์และมีความใกล้เคียงกับไวรัสโคโรนาที่ก่อให้เกิดโรคซาร์ส แต่โคโรนาตัวใหม่นี้มีความสามารถแพร่กระจายได้รุนแรงกว่าซาร์สและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าซาร์ส

ในวารสารและงานวิจัยต่าง ๆ มีใช้ชื่อเรียกไวรัสโคโรนาตัวใหม่นี้ว่า SARS-CoV-2 แสดงให้เห็นว่าเป็นไวรัสมาจากตระกูลเดียวกันนั่นเอง แล้วต้นต่อของทั้งซาร์สและโควิด-19 ล้วนมาจากสัตว์ป่าทั้งสิ้นและทั้งสองโรคนี้มีจีนเป็นแหล่งระบาดใหญ่ คราวนี้จีนนิ่งดูดายไม่ได้แล้ว ปัญหาการกินอาหารป่าของคนจีนมีมาตลอด เพราะคนจีนบางกลุ่มยังเชื่อว่าอาหารป่ามีประโยชน์และช่วยบำรุงกำลัง การระบาดของโรคครั้งนี้สร้างความเสียหายไม่ใช่แค่ในจีนแต่กับนานาประเทศด้วย ทำให้วันที่ 24 ก.พ.จีนลงดาบออกกฎหมายห้ามมีการจับสัตว์ป่า ห้ามซื้อขายสัตว์ป่า ห้ามขนส่งสัตว์ป่าและห้ามรับประทานสัตว์ป่าอย่างเด็ดขาด โดยคำสั่งดังกล่าวมีผลทันที ส่งผลให้ต่อจากนี้ไปจีนจะเคร่งครัดและเด็ดขาดกับเรื่องการรับประทานอาหารป่าของประชาชน จีนต้องตัดปัญหาจากต้นเหตุ ไม่ใช่แค่กฎหมายเท่านั้นที่ออกมาราวสายฟ้าแล่บ แต่การรณรงค์ภายในประเทศก็ทำควบคู่กันไปด้วย

นักวิจัยกำลังอยู่ในห้องปฎิบัติการทดสอบไวรัส (ที่มา Xinhua News)
"ปัญหาที่สอง" คือ ระบบสาธารณสุข จำนวนของแพทย์ พยาบาลและนักวิทยาศาสตร์ค้นคว้างานวิจัยเพื่อการพัฒนา จีนเป็นประเทศที่มีประชากร 1,400 ล้านคน แต่สัดส่วนของหมอต่อประชากรจีนยังอยู่ในระดับต่ำ โดยสัดส่วนหมอและพยาบาลต่อประชากรทั้งประเทศมีอยู่ประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ตั้งแต่ซาร์สระบาดในจีนเมื่อปี 2003 ขณะนั้นระบบสาธารณสุขของจีนยังแย่กว่าตอนนี้มาก โชคดีตรงที่ว่าโรคซาร์สระบาดในบางพื้นที่ไม่ใช่ทั่วประเทศ ในขณะนั้นมีผู้ติดเชื้อซาร์สทั่วประเทศจีน 7,748 คนและอัตราการเสียชีวิต 11 เปอร์เซ็นต์ ระยะเวลาในการระบาดของโรคประมาณ 8 เดือน โรคซาร์สนั้นหายไปเองและจนถึงวันนี้ล่วงเลยมา 17 ปีไม่พบการระบาดขึ้นอีก

แต่ครั้งนี้โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ถือว่าเป็นญาติใกล้ชิดของซาร์สได้อุบัติขึ้น ถึงแม้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยจะไม่รุนแรงเท่า แต่สร้างผลกระทบมหาศาลมาสู่มนุษย์ชาติ ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อจีนเคยออกมากล่าวว่า “เมื่อซาร์สหมดไปเหมือนการวิจัยและการพัฒนาวัคซีนเพื่อไวรัสโคโรนาจะหยุดลงตาม เป็นที่น่าเสียดายอย่างมาก หากว่าทุกคนละไม่ทิ้งและพยายามคิดค้นยาและไวรัสต่อ ตอนนี้เราอาจจะมียาและวัคซีนขึ้นมารับมือกับโควิด-19 นี้แล้วก็ได้”

อย่างที่ทุกท่านทราบว่า รัฐบาลจีนรวบรวมกำลังหมอและพยาบาลจากทั่วประเทศลงไปช่วยเหลืออู่ฮั่นและหูเป่ย ลงเงิน ลงแรงไปจำนวนมากเพื่อยับยั้งการระบาดและช่วยชีวิตผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ยังมีหน่วยแพทย์บางส่วนที่ติดเชื้อขณะปฎิบัติหน้าที่และหนักสุดคือเสียชีวิต “การขาดแคลนแพทย์และบุคคลากรเป็นปัญหาหนักของจีน” ในภาวะปกติโรงพยาบาลรัฐของจีนคนป่วยก็ล้นหลามอยู่แล้ว แพทย์ไม่เพียงพอ เตียงในโรงพยาบาลไม่เพียงพอต้องต่อคิวกันยาวเหยียด ยิ่งมาเกิดภาวะฉุกเฉินนี้ที่คนป่วยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอย่างรวดเร็วแทบไม่ต้องคิดว่าโรงพยาบาลจีนหลายแห่งจะวุ่นวายและอลหม่านขนาดไหน

จากเหตุการณ์โควิด-19 นี้ ทำให้ประชาชนจีนหลายภาคส่วน ให้ความสำคัญกับกลุ่มแพทย์ พยาบาลและนักวิจัย มีการออกมาเรียกร้องให้เพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการให้หมอ พยาบาล นักวิจัยและควรลดเงินรายได้ของพวกดารานักแสดงลง เพราะนักแสดงจีนนั้นอู่ฟู่กันมาก ในช่วงโควิด-19 ระบาดก็มีดราม่าตำหนิพวกดาราที่หนีออกไปเสพสุขต่างประเทศ ทำให้ทัศนคติของคนจีนส่วนใหญ่เปลี่ยนไป เห็นว่าฮีโร่และดาราตัวจริงคือพวกหน่วยแพทย์ที่ทำเพื่อประเทศชาติ

งานนี้ทำให้รัฐบาลกลางจีนลงดาบอีกเช่นกัน โดยออกประกาศลดสัดส่วนรายได้ของดาราในการถ่ายหนังแต่ละเรื่องลง เคร่งครัดเรื่องการจ่ายภาษีที่ต้องเต็มเม็ดเต็มหน่วยและดาราที่เป็นตัวอย่างไม่ดีให้สังคม ก็ห้ามออกกล้อง ออกสื่อสาธารณะใด ๆ ยกตัวอย่างเช่น ฟ่านปิงปิง หลังจากกรณีอื้อฉาวหนีภาษีก็ไม่ได้ออกมาร่วมรายการหรือแสดงหนังอีกเลย แถมหนังก่อนหน้าที่ถ่ายเสร็จไปก็ไม่ได้เข้าโรงฉายฯ อีกด้วย

"ปัญหาที่สาม" คือ การแก้ปัญหาการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ทำงานแบบผักชีโรยหน้าของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ จากปัญหาโรคระบาดแพร่กระจายรุนแรงในอู่ฮั่นและหูเป่ยเป็นปัญหาด่วนที่ต้องรีบเข้าแก้ไขและช่วยเหลือประชาชน การปะทุของการระบาดโควิดในพื้นที่อู่ฮั่นและหูเป่ยสะท้อนการทำงานที่ผิดพลาดในพื้นที่หลายภาคส่วน หลังจากการระบาดและประชาชนได้รับความเดือดร้อน มีเสียงการร้องเรียนออกมาในโซเซียลจีน พร้อมทั้งสายด่วนร้องเรียนของประชาชนมีเข้ามามากมาย ทำให้รัฐบาลกลางจีนลงมาควบคุมดูแล บริหารจัดการจากส่วนกลางโดยตรงเอง ซึ่งหลังจากการลงมาบริหารงานตรงของรัฐบาลกลาง สถานการณ์ในอู่ฮั่นและหูเป่ยก็ค่อย ๆ บรรเทาลงและดีขึ้น จนต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นของอู่ฮั่นและหูเป่ยรวมกันในแต่ละวันเหลือหลักสิบ

หากท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวในจีนอยู่จะทราบว่าสองเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ รัฐบาลกลางปลดเจ้าหน้าที่รัฐชั้นสูงในระดับมณฑลและเมืองไปหลายตำแหน่ง ต้นเหตุคือการละเลยและไม่จริงจังในการปฎิบัติหน้าที่ เรื่องราวที่เป็นที่ฮือฮาและออกทีวีไปทั่วประเทศของคณะผู้ตรวจการของรัฐบาลกลางที่ลงพื้นที่หูเป่ยตรวจสอบการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เขตหวงก่าง (Huang Gang) ซึ่งในช่วงปลายเดือนม.ค.เป็นเขตที่มีการระบาดหนักรองจากอู่ฮั่น โดยมีการซักถามผู้อำนวยการสารธารณสุขในพื้นที่ แต่กลับมีหลายคำถามสำคัญที่ผู้อำนวยการหญิงตอบไม่ได้ เช่น ไม่ทราบว่าโรงพยาบาลที่รับผิดชอบในพื้นที่รับผู้ป่วยไปแล้วกี่ราย เหลือเตียงอยู่กี่เตียง จำนวนผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายมีอยู่กี่คน ความสามารถในการตรวจหาเชื้อของโรงพยาบาลที่รับผิดชอบในพื้นที่เป็นอย่างไร

ผู้อำนวยการหญิงท่านนี้รายงานตัวเลขไม่ได้ทันที แต่ต้องโทรศัพท์ในขณะที่ประชุมเพื่อเช็คจำนวนอีกที คลิปการสัมภาษณ์ตรวจสอบนี้ถูกแชร์ไปวงกว้างและชาวเน็ตจีนก็ออกมาวิจารณ์ถึงความสามารถในการทำงานและความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ หลังจากคลิปนี้เปิดโปงออกมาได้ไม่นานผู้อำนวยการหญิงท่านนี้ก็ถูกลงดาบเด้งสายฟ้าแล่บทันที

นอกจากการลงไปตรวจสอบเองของรัฐบาลกลางแล้ว ยังเปิดพื้นที่ให้ประชาชนเป็นหูเป็นตากับการทำงานของเจ้าที่รัฐด้วย อย่างเช่น ในแอพ Wechat และ Alipay จะมีฟังชั่นให้ทิ้งข้อความร้องเรียนไปถึงรัฐบาลกลางและหน่วยงานหลักต่าง ๆ เพื่อให้การทำงานบริหารจัดการของรัฐเป็นไปอย่างประสิทธิภาพมากขึ้น

ในเว็บไซต์คณะกรรมการตรวจสอบวินัยของมณฑลหูเป่ยได้ออกประกาศไว้ดังนี้ว่า “ต้องจัดระเบียบและควบคุม กับพวกคนทำงานที่ดีแต่พูดแต่ไม่ทำ พูดเท็จ รายงานเท็จ ไม่ปฎิบัติตามกฎ เพิกเฉยต่อหน้าที่ วัน ๆ ยุ่งอยู่แต่กับการประชุมออกหนังสือรายงาน แต่ไม่เอาเวลาไปจัดการกับปัญหาด้านโรคระบาดภาคสนามที่แท้จริง ”

สามปัญหาหลักที่ผู้เขียนกล่าวไปข้างต้น เป็นปัญหาใหญ่ที่ปะทุขึ้นมาชัดเจนในช่วงของการมีมาของโรคโควิด-19 รัฐบาลและประชาชนจีนจริงจังและต้องการที่จะหาทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน การเกิดมาของปัญหาทำให้เราเห็นจุดอ่อนของตัวเอง สำคัญคือการแก้ไขและเตรียมตัวรับมือกับอนาคต โดยเฉพาะด้านการแพทย์และระบบสาธารณสุขจีน เราอาจจะเห็นการปฎิรูปใหญ่หลังจากโรคระบาดโควิด-19 นี้ ผ่านไป
กำลังโหลดความคิดเห็น