ขนหน้าแข้งไม่ร่วง! เศรษฐีจีนไม่หวั่นรัฐบาลรีดภาษี “รถหรู” เพื่อลดความฟุ้งเฟ้ออวดรวย

ไฟแนนเชียล ไทม์ส - สืบเนื่องจากคำสั่งเรียกเก็บภาษีรถยนต์หรูหลากหลายยี่ห้อ อาทิ เฟอร์รารี่ เบนท์ลีย์ และลัมโบร์กีนี เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10 ของกระทรวงการคลังของจีน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. เป็นต้นมานั้น

นักวิเคราะห์บางส่วนแสดงความเห็นว่า มาตรการดังกล่าวซึ่งใช้กับการซื้อรถยนต์ที่มีราคาเกิน 1.3 ล้านหยวน หรือมากกว่า 6.5 ล้านบาท และมีจุดประสงค์ชี้แนะการบริโภคอย่างสมเหตุสมผล ตัดลดการปล่อยมลพิษ และประหยัดการใช้พลังงานตามคำแถลงของกระทรวงฯ อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนเพียงน้อยนิด

“สำหรับรถยนต์หรูระดับนั้น การขึ้นภาษีไม่ได้กระทบความต้องการซื้อมากนัก เพราะคนที่สามารถซื้อรถราคาสองล้านหยวน (ราวสิบล้านบาท) ได้ ก็รู้สึกว่าการจ่ายภาษีเพิ่มอีกสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่เรื่องยาก” เยล จัง เจ้าหน้าที่จากออโตโมทีฟ ฟอร์ซายท์ เซี่ยงไฮ้ (Automotive Foresight Shanghai) บริษัทผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับยานยนต์กล่าว

ทั้งนี้ จีนจัดเป็นหนึ่งในประเทศที่การซื้อรถยนต์นำเข้ามีราคาแพงที่สุดในโลก เนื่องจากการซื้อรถยนต์คันหนึ่งที่ราคาสูงกว่า 1.3 ล้านหยวน จะต้องเสียภาษีหลายรายการ ได้แก่ ภาษีนำเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีมลพิษจากรถยนต์ และภาษีส่วนเพิ่มเติมล่าสุด ซึ่งนับรวมแล้วคิดเป็นตัวเลขกว่าร้อยละ 35

จังเสริมว่า ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนคราวนี้เหมือนต้องการส่งสัญญาณให้ชาวจีนรู้จักประหยัด ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายปราบทุจริตคอร์รัปชั่นในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐ และความพยายามปรับภาพลักษณ์รัฐบาลที่ติดลบในสายตาประชาชนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

โดยในวันแรกของเดือนธ.ค. สำนักข่าวซินหวาของทางการจีน รายงานว่า รัฐบาลได้ออกกฎระเบียบใหม่มาควบคุมพฤติกรรมเจ้าหน้าที่รัฐ ระบุว่า “เจ้าหน้าที่รัฐควรเดินทางโดยปราศจากความเอิกเกริก ไม่กระทบกระเทือนการใช้ชีวิตของประชาชน และไม่ครอบครองยานยนต์เกินมาตรฐานสมควร”

“ชาวจีนกำลังถูกสั่งสอนไม่ให้อวดร่ำอวดรวยมากเกินไป” จังกล่าวอ้างถึงบรรยากาศอันแสนเข้มงวดของการจับตาสอดส่องเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงเหล่านักธุรกิจระดับสูงที่ตกอยู่ใต้แรงกดดันไม่ให้สำแดงความมั่งคั่งของตัวเองจนโดดเด่นเห็นชัด

ด้าน เจิง อวิ้น ประธานของโรแลนด์ เบอร์เกอร์ (Roland Berger) ในนครเซี่ยงไฮ้ สำทับว่า มาตรการเก็บภาษีฯ คงส่งผลต่อยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในจีนไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์

อนึ่ง นับตั้งแต่สี จิ้นผิง ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีจีนในปี 2555 เขาได้ให้ความสำคัญกับปัญหาช่องว่างขนาดมหึมาระหว่างคนรวยกับคนจนในประเทศ ด้วยเหตุว่ามันเป็นต้นตอของความตึงเครียดทางสังคม ที่อาจนำไปสู่ความวุ่นวายอื่นๆ ทำให้สีต้องหาทางยับยั้งตัวกระตุ้นการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของเศรษฐีจีน

ขณะเดียวกัน “รถยนต์หรู” ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความตะกละตะกลามในหมู่ผู้นำทางการเมืองจีน หลังจากเกิดกรณีลูกชายของนายลิ่ง จี้ฮว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูง ขับรถหรูชนกับรถเฟอร์รารี่ขณะแข่งกันบนถนนสาธารณะจนเสียชีวิต เป็นข่าวอื้อฉาวที่สร้างปฏิกิริยาสะท้อนแบบลูกโซ่ไปทั่วสังคมแดนมังกร

อ้างอิงข้อมูลจากแอลเอ็มซี ออโตโมทีฟ (LMC Automotive) ระบุว่า ยอดขายรถยนต์โรลส์-รอยซ์ในจีนปี 2556 อยู่ที่ 946 คัน แต่ต่อมาในปี 2558 ได้ลดลงเกือบครึ่งไปอยู่ที่ 517 คัน ส่วนค่ายลัมโบร์กีนีก็มียอดขายตกลงจาก 304 คัน ไปอยู่ที่ 133 คันในปีที่ผ่านมา