วันที่สามในเมืองอูหลู่มูฉี เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
คาราวานคณะตามรอยเส้นทางสายไหมเริ่มจากใจกลางเมืองแล้วค่อยๆหมุนออกไปนอกเมืองบ้าง
ห่างจากอูหลู่มู่ฉีไปทางทิศตะวันตกประมาณ 40 กิโลเมตรมีเขตการปกครองตัวเอง หรือ จังหวัดหนึ่งของซินเจียงที่ชื่อว่า ชางจี๋(昌吉)หรือ หุยชางจี๋(回昌吉)
ชางจี๋ ถือเป็นเมืองโบราณบนเส้นทางสายไหมอีกเมืองหนึ่ง ตั้งอยู่หลังเขาเทียนซาน เมื่อครั้งอดีตเคยมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้ามีความอุดมสมบูรณ์ หรือ โอเอซิสของละแวกนี้
ในความกว้างใหญ่ไพศาลของแผ่นดินซินเจียง คำพูดต้องย้อนกลับไปกล่าว “ไม่ถึงซินเจียงไม่รู้ความไพศาลของผืนแผ่นดิน ไม่ถึงทิเบตไม่รู้สีสันของสวรรค์ชั้นฟ้า”* หากไม่ได้สัมผัสก็ยากที่จะบอกได้ว่า ที่ว่ากว้างใหญ่นั้นกว้างใหญ่เพียงใด หลายพื้นที่เป็นถิ่นทุรกันดาร แห้งแล้ง และ ทะเลทราย การที่ชางจี๋เป็นโอเอซิสถือเป็นความโชคดีสำหรับผู้พักอาศัยหรือสัญจรผ่านในเส้นทางสายไหมโบราณ
ผู้พักอาศัยที่ชางจี๋ที่อยู่มานานแทบจะปักหลักมาพร้อมกับการค้นพบโอเอซิส คือ ชนชาติหุย เมืองนี้จึงต่างกับในอูหลู่มู่ฉีหรือที่อื่นๆในซินเจียงที่ส่วนใหญ่เป็นชาวอุยกูร์ และ ฮั่น ซึ่งจะมีสัดส่วนจำนวนมากพอๆกัน
เมื่อเอ่ยถึงชางจี๋จึงต้องคู่กับชนชาติหุย เป็นหุยชางจี๋
ชาวหุย เป็นคนจีนนับถือศาสนาอิสลาม สืบเชื้อสายมาจากมุสลิมชาวเปอร์เซีย อาหรับ และ เอเชียกลาง ที่อพยพเข้ามาในจักรวรรดิจีนในฐานะทูตการเมือง ทหาร และพ่อค้า ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 บรรพบุรุษของชาวหุยจึงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะบนเส้นทางสายไหมในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ และเมืองท่าแถบชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจีน
พ่อค้ามุสลิมเหล่านี้นอกจากนำสินค้ามีค่า เทคโนโลยีใหม่ และความมั่งคั่งสู่จักรวรรดิจีน เช่น เครื่องเทศ งาช้าง เพชรนิลจินดา พวกเขายังเผยแพร่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ความรู้ด้านดาราศาสตร์และการแพทย์สู่สังคมจีนอีกด้วย*
เท่าที่สังเกตความแตกต่างระหว่างชนชาติอุยกูร์กับหุยที่เป็นมุสลิมเหมือนกัน ผู้ชายหุยจะสวมใสหมวกสีขาวเด่นชัด ยามที่เดินปะปนกันบนท้องถนนคนนอกอย่างเราสามารถคาดเดาพอได้ ขณะที่ผู้หญิงการแต่งกายแทบจะไม่มีอะไรต่างกัน
ชางจี๋นอกจากเป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมของมุสลิมชนชาติหุยแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งค้นพบซากฟอสซิลสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์อย่างไดโนเสาร์อีกต่างหาก ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ นักโบราณคดีได้ค้นพบฟอสซิลไดโดเสาร์กินพืชที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาในโลกที่นี่
ขณะเดียวกัน ยังพบฟอสซิลของบรรดาบรรพบุรุษของสัตว์น้ำยุคปัจจุบันอีกหลายเผ่าพันธุ์ เดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ชางจี๋แล้ว หลับตานึกถึงโลกยุคจูราสสิค จากชางจี๋จะไปถึง กาฬสินธุ์ หรือ ขอนแก่น ที่ซึ่งก็ขุดพบญาติพี่น้องของมันเหมือนกันหรือไม่
สัตว์ขนาดใหญ่อุ้ยอ้ายทั้งหลายเหล่านี้จะไปมาหาสู่กันหรือไม่ ถ้าไป มันจะใช้เวลามากน้อยแค่ไหน มโนตามยากเหลือเกิน ไม่เหมือนยุคนี้หรืออนาคตอีกไม่กี่ปีของซินเจียงจะไปไหนมาไหนด้วยความรวดเร็วกว่าวันนี้มากมายหลายเท่าตัว
จากชางจี๋ย้อนกลับเข้าเมืองอูหลู่มู่ฉี อดคิดถึงนโยบายของสี จิ้นผิง ที่ประกาศไปเมื่อ 3 ปีก่อน (2013) ว่า จะฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองของเส้นทางสายไหมโบราณขึ้นมาใหม่ โครงการอภิมหาโปรเจกต์รถไฟความเร็วสูงก็เดินหน้าอย่างรวดเร็ว
ผ่านมา 3 ปี สิ่งที่คาราวานนักข่าวได้เห็นที่สถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูง หรือ ชุมทางแห่งใหม่ของพวกเขาในพื้นที่กว้างใหญ่จะผุดขึ้นมาทั้งตัวอาคารผู้โดยสารขนาดหัวลำโพงเราดูเล็กลงไปเพียงปลายเล็บ หนึ่งในสองอาคารเริ่มเปิดบริการแล้ว ที่เหลือเป็นคอมเพล็กซ์ที่มีทุกอย่างตั้งแต่อาคารสำนักงาน ธุรกิจ โรงแรมที่พัก ศูนย์ประชุมฯ (อ่าน.. New Silk Road ฝันที่ใกล้เป็นจริงของจีน..)
เส้นทางสายไหมสมัยใหม่จึงจะถูกเชื่อมต่อด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทั้งภายในประเทศจีนเองและออกไปสู่ภายนอกด้วยโครงข่ายตามเส้นทางสายไหมเส้นเดิมยุคโบราณผ่านเอเชียกลาง เอเชียใต้ อาหรับ ไปจนถึงอังกฤษ
อีกไม่นานจากนี้ หากคนจีนในซินเจียงคิดจะไปเที่ยวรัสเซียเพื่อนบ้านที่เดิมเคยนั่งรถไฟข้ามวันข้ามคืนก็จะเหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง
….
ว่ากันว่า หากเป็นเมื่อสัก 10 ปีก่อน ถ้าเอ่ยถึงซินเจียงอุยกูร์ คนจีนน้อยคนนักที่อยากจะย้ายถิ่นฐานจากที่อื่นมาปักหลักที่นี่
ความทุรกันดารของลักษณะภูมิศาสตร์เอย การคมนาคมเอย จะ เดินทางไปมาหาสู่กันก็แสนลำบาก นั่งรถไฟจากเป่ยจิงมาที่อูหลู่มู่ฉีต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่า 34 ชั่วโมง หนทางเดียวที่รวดเร็วคือ นั่งเครื่องบิน แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าใครๆก็เดินทางได้ เพราะค่าใช้จ่ายสูง แต่ภายหลังเมื่อเริ่มมีรถไฟฟ้าความเร็วสูง และ โครงการเส้นทางสายไหมใหม่ ทุกอย่างในอูหลู่มู่ฉีก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้มีคำกล่าวใหม่ว่า เส้นทางสายไหมใหม่ คือ ความฝันครั้งใหม่ คำกล่าวนี้ไม่จำกัดเฉพาะคนในอูหลู่มู่ฉีเท่านั้น หากรวมถึงมืองอื่นๆในซินเจียงอุยกูร์ด้วย โดยเฉพาะเมือง คาซการ์** เมืองสำคัญของเส้นทางสายไหมโบราณอีกแห่งหนึ่ง
บ่ายวันนั้น หัวข้อการพูดคุยกันบนรถระหว่างเพื่อนใหม่ในคาราวานนักข่าวแทนที่จะเป็น ความเว่อวังของสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูง ชางจี๋เมืองโบราณ หรือ ถกถึงไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆที่เราพากันตระเวณเยี่ยมชมสัมผัสมาทั้งวันกลับพูดคุยระคนอาการตื่นเต้นกับโปรแกรมที่จะเดินทางต่อในช่วงค่ำ
นั่นเพราะ ปลายทางต่อไปเป็นเมืองโอเอซิสเก่าแก่อีกแห่ง ได้แก่ เมืองคาซการ์ (kashkar)
---
คาซการ์ แรกฟังแค่ชื่อก็ให้ความรู้สึกที่มีเสน่ห์ พอทราบข้อมูลก็ชวนให้นึกจินตนาการย้อนไปในห้วงเวลาที่รุ่งโรจน์ของเมืองสำคัญของเส้นทางสายไหมเมื่อหลายพันปีก่อน
เมืองคาซการ์เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตะวันตกที่สุดของจีนพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างทาจิกิชสถาน ปากีสถาน คีกีซสถาน อยู่ไกลจากอูหลู่มู่ฉีพอสมควร โดยสารเครื่องบินราว 1 ชั่วโมงเศษๆ
พอมาถึงสนามบินในเมืองคาซการ์เป็นเวลาเกือบ 4 ทุ่มแต่ก็เหมือนสักช่วงโผล้เผล้ พระอาทิตย์ยังลาลับขอบฟ้าไม่สนิท
ไม่ทันลากกระเป๋า สัมภาระออกจากสนามบินเพื่อไปชื่นชมทิวทัศน์ของเมืองโบราณ หัวใจเราก็เต้นระส่ำขึ้นมากระทันหัน มองเห็นเพื่อนใหม่ในคณะแทบทุกคนจัดแจงเปิดกระเป๋าพรึ่บพั่บ! บ้างหยิบหน้ากากอนามัยมาสวม บ้างหยิบผ้าพันคอ พันปิดหน้าปิดปากปิดจมูกเหลือเพียงลูกกะตาไว้คอยมองทางเท่านั้น เหลือแต่ไอ้หนุ่มไท่กั๋วที่ยืนงง
หรือว่า เมืองนี้มีปัญหาแล้ว?
-----
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไปได้ในอังคาร)
อ่านย้อนหลัง : ตอนที่ 1 เส้นทางสายไหมไดอารี่:ไม่ถึงซินเจียงไม่รู้ความไพศาลของผืนแผ่นดิน
:ตอนที่ 2 เส้นทางสายไหมไดอารี่(2) : ล้อหมุน
ตอนที่3 : เส้นทางสายไหม ไดอารี่ (3) อูหลู่มู่ฉีวัฒนธรรมพันปีมีอยู่ทุกที่ ทุกเวลา
หมายเหตุ
*ข้อมูลจากวิกิพีเดีย : https://th.wikipedia.org/wiki/หุย
**ข้อมูลจากวิกิพีเดีย : https://en.wikipedia.org/wiki/Kashgar