xs
xsm
sm
md
lg

เส้นทางสายไหมไดอารี่&:ไม่ถึงซินเจียงไม่รู้ความไพศาลของผืนแผ่นดิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ทิวทัศน์ซินเจียงมองจากมุมบนเครื่องบิน
不到新疆不知地域的辽阔,不到西藏不知天堂的色彩

“ไม่ถึงซินเจียงไม่รู้ความไพศาลของผืนแผ่นดิน ไม่ถึงทิเบตไม่รู้สีสันของสวรรค์ชั้นฟ้า”*

บนน่านฟ้าเมื่อเข้าเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์มองผ่านหน้าต่างเครื่องบินลงไปเห็นผืนดินด้านล่างต้องประหวัดคิดถึงคำจีนประโยคนี้

เทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นแนวยาว บนยอดปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน คล้ายภาพวาดวิจิตรสวยงามจนไม่อยากจะเชื่อว่า นี่เป็นโลกมนุษย์

นิยายจีนหลายเรื่องชอบที่จะเปิดฉากด้วยภูมิประเทศแบบนี้... “บนยอดเขาอันเปลี่ยวร้างหนาวเหน็บที่ๆไม่มีแม้แต่ทวิชาติจตุบาทอาศัยอยู่ได้ (แต่ต่อมากลับมีชายคนหนึ่งซึ่งต่อมาคือพระเอกของเรื่องยืนเด่นเป็นสง่า)” ตอนนั้นยังนึกภาพตามไม่ออก

อย่าว่าแต่นึกตาม กระทั่งนึกฝัน ยังไม่กล้าฝันว่าสักวันจะพานพบทิวทัศน์แบบนี้ ดินแดนแบบนั้นในโลกนิยายน่าจะคล้ายกับภาพที่เห็นแล้วละ

ซินเจียง(新疆)ตามความหมายแปลว่า 'ดินแดนใหม่' เป็นมณฑลที่อยู่ทางตะวันตกสุดของประเทศจีน นับเป็นมณฑลที่ใหญ่ที่สุด กินพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร

พื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลนี้มีความเป็นที่สุดของจีนและของโลกอยู่ไม่น้อย ภูเขาอาเอ่อไท่ซัน ภูเขาเทียนชาน และ ภูเขาคุนหลุนชานตั้งอยู่จากทิศเหนือไปยังทิศใต้ มีแม่น้ำถ่าหลี่หมู่ซึ่งเป็นแม่น้ำภายในดินแดนที่ไม่ไหลลงทะเลที่ใหญ่ที่สุดของจีน มีทะเลสาบบ๋อซือเถิง ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของจีน และ มีพื้นที่ต่ำถู่หลู่ฟันซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำสุดของจีน

นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ทะเลทรายทากลามากัน(ถ่าเค่อลาหม่ากัน) ก็เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดของจีน และอันดับที่สองของโลก และมีทะเลทรายกู่เอ่อบันทงกู่เท่อ เป็นทะเลทรายใหญ่อันดับที่สองของจีน อุดมด้วยทรัพยากรน้ำมันปิโตเลียม แก๊สธรรมชาติ *

จากกรุงเทพฯจะมาซินเจียงไม่มีเที่ยวบินที่บินตรง หลังจากขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิต้องแวะพักเปลี่ยนเครื่องที่คุนหมิงแล้วค่อยมาถึงเมืองอูหลู่มู่ฉี เมืองเอกของซินเจียงอุยกูร์ใช้เวลา 7.50 ชั่วโมง

เส้นทางนี้ถือว่าใกล้ที่สุด หากแวะพักที่เป่ยจิง หรือ ซั่งไห่ ต้องใช้เวลากว่า 10 ชั่วโมง รวมถึงค่าตั๋วที่แพงกว่า

ภาพแรกของแผ่นดินซินเจียงก็ติดตราตรึงใจทันทีเอาไปหักลบค่าตั๋วไป-กลับที่จ่ายรวมประมาณ20,000 บาทได้มากทีเดียว

ข้ามผ่านเขตเทือกเขาเข้าสู่เมืองอูหลู่มูฉี เหมือนแอ่งกะทะะ อารมณ์เปลี่ยนแทบไม่ทัน เบื้องล่างที่ปรากฎแก่สายตากลายเป็นเมืองที่มีตึกระฟ้าอาคารสูงต่ำสลับกันมากมายกระจายตัวออกไปทุกทิศทุกทางอย่างไร้ที่สิ้นสุดให้ความรู้สึกทึ่ง นึกไม่ถึงอีกครั้ง

นี่คือ อูหลู่มู่ฉี**...ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่สวยงาม?

….

เมืองอูลู่มู่ฉี ย้อนเวลาไปในอดีตกว่า 2,000ปีก่อนคงเป็นทุ่งหญ้าที่สวยงาม ต่อมาพอเส้นทางสายใหม่***รุ่งเรือง การค้า การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม อารยธรรมของประเทศที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสายนี้ตั้งแต่จีน อินเดีย เอเชียกลาง เปอร์เซีย ไปจนถึงยุโรป คงค่อยๆเปลี่ยนโฉมหน้าอูหลู่มู่ฉีให้เป็นเมืองใหญ่ดังที่เห็นในปัจจุบัน

ทว่า ภาพแรกที่หยิบมาโพสต์ ในอินสตราแกรม และ เฟซบุ๊คที่ส่งออกไปเผยแพร่ถึงเพื่อน พร้อมคำบรรยายสั้นๆว่า “อาหารมื้อแรก มีความเป็นซินเจียง” กลับเป็นจานอาหารเล็กๆที่มีแป้งเป็นเส้นคล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยวราดด้วยน้ำซอสสีคล้ายๆแกงกะหรี่มีถั่วโรยหน้า ไม่ใช่ความใหญ่โตโอฬาร ตึกระฟ้าดารดาษของเมืองหลวงซินเจียง

มาต่างถิ่นนี่มักเป็นสิ่งแรกที่จะต้องทำ ด้วยความเชื่อว่า จะพาตัวเองเข้าสู่เส้นทางลัดซึมซับวัฒนธรรมของท้องถิ่นได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ

ในสารคดีเส้นทางสายไหมที่เคยดู ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร บอกว่า นอกจากผ้าไหมเรียบลื่นละมุนทรงคุณค่าที่พ่อค้าวาณิชซื้อขายแลกเปลี่ยนกันจนเป็นที่มาของชื่อเส้นทางการค้าโบราณสายนี้แล้ว อาหารจำพวกเส้นล้วนมีถิ่นกำเนิดจากที่นี่ หรือ จะเรียกล้อกันไปได้ว่า เส้นทางสายก๋วยเตี๋ยว สปาเก็ตตี้

ลิ้มรสชาติอาหารไป ฟังคำบอกเล่าเพิ่มเติมจากคนท้องถิ่นที่ไปรับมาจากสนามบิน จากอาหารเลยทราบไปถึงความเป็นอยู่ของคนที่นี่

ที่ซินเจียง มีคนต่างชาติพันธุ์รวมกันอยู่พอสมควร เชื้อชาติที่มากที่สุดคือคนเชื้อสายเติร์กที่เรียกตัวเองว่า อุยกูร์(Uyghur) หรือ ในภาษาจีนคือ เหวย อู๋ เอ่อร์ (维吾尔) นอกจากนั้นเป็นชาวฮั่น และ ชนกลุ่มน้อยอื่นๆกว่า 40 กว่ากลุ่ม

อุยกูร์ ต่างจากชาวฮั่น นับถือศาสนาอิสลามอยู่ในซินเจียงมานานตั้งแต่เป็นเมืองศูนย์กลางของเส้นทางสายไหม อาหารการกินย่อมแตกต่างกันกับชาวจีนด้วย จานหลักบนโต๊ะที่สังเกตุเห็นว่า จะต้องมีแน่นอน คือ หนัง (馕)หรือ นาน(Nan) ,ข้าว ทั้งที่เป็นข้าวสวยเหมือนเรากับข้าวที่เอาไปผัด แพะย่างเสียบไม้ (羊肉串) คนท้องถิ่นเรียกว่า Kebab นอกจากนั้นมีแกงกะหรี่ ผัดพริกแบบพื้นเมือง (อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9490000093092...จดหมายจากซินเกียง : ตามหาเแพะ (3) คอลัมน์ ริมจัตุรัส โดยวริษฐ ลิ้มทองกุล)

หลายวันต่อมาไม่ว่าจะเดินไปตามถนน บนภัตตาคาร ห้องอาหารโรงแรม หรือ ตลาด ทุกหนทุกแห่งหาซื้อนานได้ง่ายๆ มีทั้งที่เป็นแผ่นแป้งเบ้อเร้อเท่ากระด้ง แผ่นเดียวสามารถเรียกเพื่อนกินที่คบไว้มากกว่าเพื่อนตายมากินกันได้สบายหลายคน แบบที่มีไส้แพะ ราคาไม่แพง ก้อนกำลังเหมาะอบจากโอ่งร้อนๆ ถือเดินกัดกินตามวิถีฟาสต์ฟู้ดก็อิ่มอร่อยกว่าเบอร์เกอร์ของฝรั่ง

ขณะที่บรรดาแกงกะหรี่ ผัดพริกของชาวอุยกูร์ ส่วนประกอบของอาหารประเภทนี้มีส่วนของเครื่องเทศที่ให้รสชาติใกล้เคียงกับเครื่องแกงไทยคุ้นลิ้นคุ้นรสชาติไม่ถึงกับต้องปรับตัวมาก เมื่อกินกับนานจะอร่อยมากคล้ายเป็นของคู่กันที่เกิดมาเพื่อกันและกัน

ประเดิมมื้อแรกเพื่อนใหม่ในต่างถิ่นจึงแนะนำให้เต็มโต๊ะ ของคาวมีแล้ว ของหวานและผลไม้ที่นิยมของคนที่นี่ คือ โยเกิร์ตนมแพะใส่น้ำตาลโรยหน้าสักช้อนรสชาติจะดีมาก ผลไม้คือ แตงโมเคียงคู่กับเมล่อนหรือแคนตาลูบ

เพื่อนใหม่เล่าว่า เรามาเร็วไปนิด ฤดูที่เมล่อนอร่อยและหวานกรอบที่สุดยังมาไม่ถึงต้องรออีกสองสามเดือนซึ่งก็ตรงกับฤดูร้อนของที่นี่ (กรกฎาคม-กันยายน)

เครื่องดื่มหลักเป็นน้ำชา อย่าได้ร่ำร้องอยากจะกินกาแฟสตาร์บังในซินเจียง เพราะต่อให้ร่างกายโหยหาคาเฟอีนแค่ไหน มองหาร้านกาแฟหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

“อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ” แถมได้ความรู้เรื่องกินอยู่เพื่มเข้ามา ความกระหายใคร่รู้สัมผัสวิถีชีวิตของคนเมืองอูหลู่มู่ฉีก็มีมากขึ้น กลบลบความเหนื่อยล้าของการของการรอนแรมมาเกือบ 8 ชั่วโมง ยิ่งคิดว่า มาต่างถิ่นเวลาต้องใช้ให้มีค่าที่สุด หลังมื้ออาหารจึงถือโอกาสเดินเล่นรอบๆโรงแรมที่พัก

----

แสงแดดช่วงเดือนพฤษภาคมในซินเจียงซึ่งถือว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิส่องแสงแรงกล้า ดูแล้วถ้าเป็นบ้านเราต้องมีความร้อนที่ตามมา แต่ที่นี่กลับไม่มีความรู้สึกว่ากำลังถูกแผดเผา บางครั้งในร่มไม้กลับมีลมพัดเอาความเย็นของอากาศที่คล้ายหน้าหนาวในเชียงใหม่มาให้สัมผัส

คนในเมืองใหญ่อูหลู่มู่ฉีไม่ได้เร่งรีบเร่งร้อน ถนนสำคัญใจกลางเมืองรถต่อแถวยาวตามกันไปไม่ได้ติดสลับหยุดนิ่งนานๆเหมือนกรุงเทพฯ ระบบขนส่งมวลชนมีโครงข่ายรถบีอาร์ทีที่ทันสมัยบริการ

กิจกรรมยามบ่ายไปจนถึงค่ำของคนเมืองจะใช้สวนสาธารณะที่มีอยู่หลายจุดผ่อนคลาย คนหนุ่มสาว มนุษย์เงินเดือน จับกลุ่มพูดคุยกัน บ้างเล่นกีฬา บ้างจูงมือบุตรหลานมาเดินเล่นออกกำลังกาย ดูไปใกล้เคียงกับคำว่า สโลว์ไลฟ์ ที่คนเมืองใหญ่เฝ้าใฝ่ฝัน

เวลาผ่านไปช้าๆ มองฟ้า แดดยังเปรี้ยงเหมือนยังอยู่ในช่วงบ่ายหน้าร้อนของกรุงเทพฯ แม้จะถึงเวลาอาหารค่ำที่นัดแนะไว้สองทุ่มแล้วก็ตาม

ตามข้อมูลที่รับทราบมาก่อนบอกว่า ซินเจียงตั้งอยู่ในเขตแดนตะวันตกสุดของจีนเป็นพื้นที่รับแสงแดดที่มากที่สุด แสงแดดที่นี่ไม่ขี้เกียจขยันขันแข็งไปกระทั่งเราจะหลับม่อยไปเอง

คืนนั้นพระอาทิตย์ลับฟ้าไปตอนเกือบ 4 ทุ่ม

(โปรดติดตามตอนต่อไปได้ในวันพฤหัสบดีนี้)

----
หมายเหตุ

*ข้อมูลจากวิกิพิเดียhttps://th.wikipedia.org/wiki/เขตการปกครองซินเจียงอุยกูร์
**อูหลู่มู่ฉี เป็นภาษามองโกล แปลว่า ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่สวยงาม
***ข้อมูลจากวิกิพิเดียhttps://th.wikipedia.org/wiki/เส้นทางสายไหม -เส้นทางสายไหม (Silk Road หรือ Silk Route) เป็นเส้นทางการส่งการค้าและวัฒนธรรมซึ่งผ่านภูมิภาคของทวีปเอเชียที่เชื่อมตะวันตกและตะวันออกโดยการโยงพ่อค้าวาณิช ผู้แสวงบุญ นักบวช ทหาร ชนเร่ร่อนและผู้อาศัยในเมืองจากจีนและอินเดียไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนระหว่างเวลาหลายสมัย
เส้นทางสายไหมมีความยาว 6,437 กิโลเมตร (4,000 ไมล์) ได้ชื่อมาจากการค้าผ้าไหมจีนที่มีกำไรมากตลอดเส้นทาง เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น(206 ปีก่อน ค.ศ. – ค.ศ. 220) ราชวงศ์ฮั่นขยายเส้นทางการค้าส่วนเอเชียกลางราว 114 ปีก่อน ค.ศ.
ที่ไหนๆก็มีหนังหรือนาน ฟาสต์ฟู้ดที่อร่อยมากของคนอุยกูร์





อาหารมื้อแรกมีความเป็นซินเจียง
แผ่นเดียวอิ่มทั้งครอบครัว






ไม่ได้ลิ้มลองแพะย่างถือว่ามาไม่ถึงซินเจียง
แตงโม เมล่อน อยู่บนโตํะเสมอ
ชากับลูกหม่อมสุกรสชาตหอมหวาน
ถูกและอร่อยมาก
ในเมืองตอนเลิกเรียนราวๆเกือบสองทุ่ม สว่างราวบ่ายๆ


ถนนว่างโล่งแม้จะเป็นชั่วโมงเร่งด่วน สุนัขที่ไม่ค่อยจะมีในอูหลู่มู่ฉียืนหอนกลางถนนสบายๆ
อาหารมื้อแรกมีความเป็นซินเจียง



จัตรัสกลางเมืองที่กำลังจะมีงาน

กำลังโหลดความคิดเห็น