นักเดินทางที่เคยมาอูหลู่มู่ฉี เมืองสำคัญบนเส้นทางสายไหมทั้งอดีตและปัจจุบันของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ว่าไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนในอูหลู่มู่ฉี ทุกที่ ทุกเวลา คุณจะรู้สึกสัมผัสได้ถึงวัฒนธรรมหลายพันปีของพวกเขา
วันแรกเราก็พอสัมผัสได้เช่นนั้น ตั้งแต่อาหาร การแต่งกาย การศึกษา ศาสนา ล้วนบ่งบอกความมีอารยธรรมของชาวอุยกูร์
ที่อูหลู่มู่ฉี ยังมีเขตที่เรียกว่า “ชีฝัง สตรีท” (七坊街 : Qi Fang Jie culture Industry creativity zone , Qi fang street) ให้ศึกษารากเหง้าวัฒนธรรมของชาวซินเจียง
วันที่สองของการเรียนรู้เส้นทางสายไหม เริ่มต้นเหมือนวันแรกราวๆ10โมงเช้า คาราวานนักข่าวก็ออกจากโรงแรมย่านใจกลางเมืองมุ่งสู่เขตชีฝัง
ไม่นานนักก็มาถึงอาคารเล็กๆที่เก็บรวบรวมวัตถุบ่งชี้ทางวัฒนธรรมของอูหลู่มู่ฉี และ แสดงผลงานศิลปะของศิลปิน ตลอดจนนวัตกรรมใหม่ๆที่สร้างสรรค์ขึ้นมา
ย่าน ชีฝัง สตรีท นี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2009 รัฐบาลจีนต้องการให้ผู้มายืนเมืองเส้นทางสายไหมได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและนวัตกรรมสร้างสรรค์ของชาวอุยกูร์ ถือเป็นศูนย์กลางของศิลปะวัฒนธรรมในซินเจียงก็ว่าได้
อาคารหลังเล็กแบ่งซอยเป็นห้องต่างๆแยกแสดงงานศิลปต่างๆเอาไว้ มีตั้งแต่เครื่องประดับ ภาพวาด งานปั้น ตุ๊กตาผ้า เรซิน หินแกะสลัก โดยเฉพาะหินถือว่าอยู่คู่กับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนซินเจียงมาช้านาน น่าสนใจมาก
ดังที่ทราบ ซินเจียง เป็นเขตปกครองที่กว้างใหญ่มากของจีน ภูมิประเทศประกอบไปด้วยภูเขา บนเขามีหินหลากหลายประเภท ศิลปินชาวอุยกูร์รู้จักเก็บหินมาสร้างสรรค์ให้เป็นงานศิลปะ ที่เราพบเป็นศิลปินที่เก็บหินมาจากภูเขาต่างๆในซินเจียง
หินชนิดต่างๆต่างสีต่างลวดลายค่อยๆเอามาบดละเอียดโรยไปบนผืนผ้าหรือกระดาษตามเส้นที่ร่างไว้ออกมาเป็นภาพวาดที่สวยงามตามสีของหิน
งานศิลป์ในอาคารแห่งนี้มีเวลาให้คนรักศิลปะละเมียดละไมไปเรื่อยๆ จนถึงงานที่มาจากไม้ อาวุธโบราณอย่างธนู หรือ เกาทัณฑ์ ที่คุ้นเคยในยุทธจักรนิยายหรือหนังจีนก็มีแสดง
ห้องนี้ เหนือผนังห้องแสดงธนู ลูกธนู มีแขวนหนังหมาป่า หรือ สุนัขจิ้งจอก พร้อมซองลูกธนู ยิ่งทำให้คิดถึงการล่าสัตว์ของชนเผ่าเร่รอนที่อยู่นอกกำแพงเมืองจีน หรือ นอกด่าน ในนิยายหลายเรื่องเสื้อขนสัตว์โดยเฉพาะหนังหมาป่ามีค่ายิ่งกว่าทองคำ
ว่ากันว่า หนังหมาป่าให้ความอบอุ่นในหน้าหนาวได้ดีกว่าขนสัตว์อื่นๆ ความสวยงามของขนของมันเสริมส่งบุคลิกภาพของผู้สวมใส่ให้ดูน่าเกรงขาม
นั่นเพราะอาจจะเป็นชนเผ่าเร่ร่อนเหล่านี้ก็บูชาหมาป่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หรือ เทพผู้พิทักษ์แห่งทุ่งหญ้า
ในบันทึกที่เล่าต่อๆกันมาแม้แต่จอมจักรพรรดิเจงกิสข่านแห่งมองโกลที่สร้างกองทัพให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร แผนการสู้รบบุกตีเมืองประเภทว่องไวปานสายฟ้าแลบได้นั้น ก็เพราะ จำลองแบบมาจากฝูงหมาป่า
เหม่อมองหนังหมาป่า คันธนู และรูปปั้นทหารจีนโบราณแล้วใจเคลิ้บเคลิ้ม ยิ่งเดินมาอีกห้องเจอตัวเป็นๆที่สต๊าฟไว้ พร้อมกับภาพวาด และ งานแกะสลักรูปหมาป่าบนหิน
หมาป่าคือหัวใจวัฒนธรรมแห่งชนเผ่านอกด่าน แต่วันนี้เรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงความเรื่องเล่าในนิยายจีน ความเชื่อที่สัมผัสได้จริงหลงเหลือน้อยลงในปัจจุบัน ไม่ว่าหนุ่มสาวชาวอุยกูร์ หรือ พวกมองโกล คงไม่ได้ยินเรื่องราวเก่าๆเกี่ยวกับหมาป่ากันอีกแล้ว
ใครไม่อินแต่ไอ้หนุ่มไท่กั๋วอิน ใช้เวลาพินิจพิเคราะห์เรื่องราวของหมาป่าในห้องวัฒนธรรมมากกว่าห้องอื่นๆ หลับตาลงก็เผลอคิดว่าตัวเองเป็น “เซี่ยสิน”พระเอกในนิยายจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่อง “พยัคฆราชซ่อนเล็บ” ที่เกิดหลุดเข้าไปในอดีตสมัยราชวงค์หมิง กลางทุ่งหญ้ากว้าง เมฆขาวลอยล่อง สวมเสื้อหนังสุนัขจิ้งจอกนั่งอยู่ในกระโจมร่ำสุรา มองดูสาวชนเผ่านอกด่านร่ายรำ
….
เสพงานศิลป์ บนถนนวัฒนธรรมชีฝัง ได้ความฝันมาตื่นหนึ่ง หยิบเอาเรื่องราวในห้องเกาทัณฑ์และหมาป่าโพสต์ในอินสตราแกรมและเฟซบุ๊ค กันลืมเผื่อเวลาผ่านไป เฟซบุ๊คจะคอยเตือนความทรงจำครบรอบ 1 ปี 2 ปีแล้วนะ
บ่ายวันนั้น ชีวิตยังไม่ห่างจากละครหรือนิยาย พอกลับเข้ามาในเมืองก็ตรงไปที่โรงละครประจำของคนอูหลู่มู่ฉี เพื่อดูการซ้อมละคร และ เล่นดนตรีของวงออเคสตร้าประจำเมือง ก่อนที่จะเปิดรอบการแสดงให้เด็กๆและผู้ปกครองได้ดูในเทศกาลวันเด็กของจีนซึ่งตรงกับช่วงต้นเดือนมิถุนายนของทุกปี
ตอนที่ไปดูโรงเรียนมัธยมของที่นี่เห็นถึงการให้ความสำคัญของรัฐบาลต่ออนาคตของชาติ ที่โรงละครก็ไม่ต่างกัน ตัวละคร ผู้จัด คณะดนตรี ต่างทุ่มเทเต็มที่เพื่อเด็กๆ
พิถีพิถันเอาใจใส่ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ แม้กระทั้งเนื้อหาของละครที่นำเสนอยังแฝงด้วยปรัชญาการดำเนินชีวิตให้เด็กๆเก็บไปคิด
…
อยู่กับนิยาย และ ละครมาตลอดเช้าถึงบ่าย ต้องรอถึงเกือบเย็นค่อยได้กลับสู่ชีวิตจริง
จุดหมายเป็นตลาดเอ้อเต้าเฉียวหรือตลาดต้าปาจา(二道桥大巴扎) ในใจกลางเมืองอูหลูมู่ฉี ที่ซึ่งน่าจะเห็นวัฒนธรรมในชีวิตจริงของคนบนเส้นทางอารยธรรมหลายพันปีอีกมิติหนึ่ง
ที่ตลาดคล้ายกับตลาดจัตุจักรบ้านเรา เพียงแต่สื่งก่อสร้างอลังการสวยงามตามสถาปัตยกรรมของอิสลาม หอสูงตระหง่านดูโดดเด่น จ่อกแจ่กจอแจไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น มีนักท่องเที่ยวบ้างประปราย สินค้าที่มีวางขายส่วนใหญ่เป็นผลผลิตในท้องถิ่น แต่ก็มีที่มาจากส่วนอื่นๆของจีนและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น รัสเซีย ปากีสถาน คาซัคสถาน ทาจิสสถาน เป็นต้น
ตลาดใหญ่มีเนื้อที่กว้างต้องใช้เวลาพอสมควรในการเที่ยวชม สินค้าหลายอย่างวางกอง ผ้าไหมแพรพรรณ เครื่องประดับ เครื่องเงิน ทองแดงแบบอาหรับ เครื่องดนตรีพื้นเมือง มีดเหล็กซินเจียง พรมเปอร์เซีย ละลานตาเชื้อเชิญให้ทรัพย์ละลายหายไปจากกระเป๋า
ทว่า สิ่งที่เร้าใจและถือเป็นไฮไลต์เฉพาะที่ซินเจียงที่รับทราบมา คือ บรรดาผลไม้แห้งโดยเฉพาะองุ่น ที่นี่เป็นถิ่นกำเนิดขององุ่นพันธุ์ดี ผลิตผลแปรรูปเม็ดองุ่นแห้งเป็นของขึ้นชื่อและเป็นของฝากอันดับหนึ่งที่ไม่ว่าใครมาต้องซื้อติดมือกลับไป
เม็ดองุ่นแห้งในกระบะที่นำมาวางบนแผงขายละลานตาไปหมด มีทั้งองุ่นเขียว แดง ดำ เม็ดเล็กเม็ดใหญ่ ไม่สามารถจำแนกความอร่อยด้วยตาเปล่านอกจากหยิบชิมไปทีละกระบะ กว่าจะลองลิ้มชิมทุกกระบะรู้สึกอิ่มตรงนั้นแล้ว
ในขั้นตอนสำคัญ การต่อรองราคา ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งแน่นอนไม่มีใครที่จะทำได้ดีกว่าผู้หญิง พวกเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ชอปปิ้ง ตามตำราพิชัยสงครามเรียกว่า แผนนารีพิฆาต หรือ แผนนางงาม
ครั้งนี้ไอ้หนุ่มไท่กั๋วชั่งน้ำหนักตัดคำว่าอายออกไปจากพจนานุกรมส่วนตัว กล้าที่จะไหว้วานเพื่อนร่วมทางนักข่าวสาวน้อยสัญชาติจีนจากยูเครน และ พี่สาวใหญ่ใจดีสัญชาติจีนแต่ทำงานให้สำนักข่าวฮอล์ลแลนด์ช่วยเจรจาภาษาจีนกับพ่อค้าชาวอุยกูร์
เมล็ดองุ่นแห้งสีเขียวขนาดใหญ่จากกิโลกรัมละ 80 หยวน (400 บาท) เหลือเพียง 40 หยวน(200บาท) สีดำจากกิโลกรัมละเกือบๆ 100 หยวน(500บาท) เหลือ 70 หยวน(350บาท) ราคาลดลงอย่างฮวบฮาบราวกับราคากระทะวิเศษของวู้ดดี้
พ่อค้าชาวอุยกูร์ถึงกับเร่งตวงเมล็ดองุ่นแห้งใส่ถุงชั่งน้ำหนักด้วยความว่องไว คงคิดในใจ รีบขายๆให้มันไป ใส่ถุงแพคเสร็จรับเงินมาถิอโอกาสไล่พวกมันไปทางอ้อม เกรงลูกค้ารายอื่นจะตามอย่าง ได้ขาดทุนกำไรกันพอดี
พ่อค้ายื่นของมาเรายื่นเงินไป สายตาค้อนขวับของพ่อค้าปะทะกับยิ้มแห่งสยามที่กลั่นออกมาจากใจแต่กระเดียดไปในทางกระหยิ่มยิ้มย่องราวกับจอมยุทธสู้ชนะศึกครั้งสำคัญ
"เป็นอย่างไร ท่านทราบความร้ายของแผนนางงามของเราแล้วหรือไม่ 555"
พ่อค้าคล้ายไม่สนใจ เหมือนจะบอกว่า ท่านจะคิดอะไรก็แล้วแต่ท่าน เอาที่สบายใจ เขารีบรับเงินมาแล้วจัดแจงบรรจงหย่อนลงในกล่องไม้ใบใหญ่ ดูท่าการค้าการขายของเขาคงดีไม่น้อย
วูบนึงขณะที่เขาหย่อนเงินนั้นเราคล้ายมองเห็น พ่อค้าที่น้อยครั้งจะยิ้มแย่มกับแย้มยิ่มที่มุมปาก
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไปได้ในวันพฤหัสบดี)
อ่านย้อนหลัง : ตอนที่ 1 เส้นทางสายไหมไดอารี่:ไม่ถึงซินเจียงไม่รู้ความไพศาลของผืนแผ่นดิน
:ตอนที่ 2 เส้นทางสายไหมไดอารี่(2) : ล้อหมุน