MGR ONLINE--จีนเปิด “การประชุมสองสภาใหญ่” ประจำปี ณ มหาศาลาประชาชนจีน กรุงปักกิ่ง ได้แก่ การประชุมสภาปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีนชุดที่ 12 ครั้งที่ 4 ที่เริ่มการประชุมเมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา และในวันที่ 5 มี.ค.ก็เปิดการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีนชุดที่ 12 ครั้งที่ 4
ในการประชุมสภาผู้แทนประชาชนจีนทั่วประเทศ หรือรัฐสภา กลุ่มผู้นำสูงสุดของจีนก็ได้ประกาศแผนการผลักดันอัตราเติบโตเศรษฐกิจที่กำลังเป็นประเด็นร้อนที่สุดของแดนมังกร หรือทั่วโลกก็ว่าได้ โดยกำหนดเป้าหมายอัตราเติบโตเศรษฐกิจหรือจีดีพีระหว่างห้าปีข้างหน้านี้ จะขยายตัวไม่ต่ำกกว่า 6.5 เปอร์เซ็นต์
รายงานข่าวของสื่อฮ่องกง เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ อ้างคำกล่าวของกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ ระบุว่า การกำหนดตัวเลขเป้าหมายอัตราเติบโตเศรษฐกิจนี้ เป็นการตัดสินใจทางการเมืองมากกว่าเป็นการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ และสะท้อนบทบาทสำคัญในวิสัยทัศน์การสร้างอนาคตทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ประกาศไว้
ผู้นำสี ได้ลั่นสัญญาสองข้อ ซึ่งได้ระบุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 (2016-2020) คือแผนการผลักดันจีดีพีของจีนให้สูงขึ้นเป็นเท่าตัวจากระดับปี 2553 ภายในปี 2563 พร้อมกับยกระดับรายได้ของผู้อาศัยในเขตเมืองและชนบท โดยภารกิจนี้นับเป็นหัวใจสำคัญของการบรรลุ “ความฝันจีน” (China Dream) อันนับเป็นเครื่องหมายรับประกันคุณภาพการปกครองของสี จิ้นผิง
“มันเป็นภารกิจที่จำเป็น เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์ได้สัญญากับประชาชนแล้วว่าจะเพิ่มจีดีพีและรายได้ต่อหัวประชากรสูงขึ้นเป็นเท่าตัวภายในปี 2020 และหากอัตราเติบโตโดยเฉลี่ยประจำปี ไม่ถึง 6.5 เปอร์เซ็นต์ในช่วงห้าปีนี้ ก็หมายถึงว่าจีนจะไปไม่ถึงเป้าหมายการสร้างสังคมมีกินมีใช้อย่างรอบด้านภายในปี 2020” นาย จัง เสี่ยวเฉียง อดีตรองประธานคณะกรรมการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งรัฐ ซึ่งเป็นหน่วยงานวางแผนการพัฒนาประเทศจีน กล่าว
หากสีประสบความสำเร็จในการสร้างสังคมมีกินมีใช้อย่างรอบด้าน เขาก็จะสามารถยืดอกอย่างภาคภูมิได้ว่า ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูชาติ (national rejuvenation) และทำคะแนนสูงในหนังสือแบบเรียนประวัติศาสตร์จีนในบทที่บันทึกเกี่ยวกับบทบาทการนำของสี
ทั้งนี้หลังจากที่สี จิ้นผิง ได้ขึ้นนั่งตำแหน่งเลขาธิการใหญ่แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนพ.ย.ปี ค.ศ. 2012 (2555) เขาก็ประกาศสร้าง “ความฝันจีน” (Chinese Dream) ได้แก่ “การฟื้นฟูประชาชาติจีนครั้งใหญ่” ซึ่งจะเป็นเครื่องหมายประกันคุณภาพของคณะปกครองประเทศของเขา
ความฝันจีนของสี จิ้นผิง คือการบรรลุ “เป้าหมายในวาระครบรอบ 100 ปี สองวาระ” (Two 100s) โดยเป้าหมายแรกคือ เป้าหมายทางวัตถุในการสร้างจีนเป็นสังคมมีกินมีใช้ (moderately well-off society) ในปี 2021 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 100 ปีของการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเป้าหมายที่สองคือการสร้างความทันสมัย ผลักดันให้จีนกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเต็มพิกัดในราวปี ค.ศ.2049 (พ.ศ.2592) ซึ่งเป็นปีครบแรก 100 ปีของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
แต่ในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ผู้นำจีนจะต้องออกแรงสองทาง โดยกวัดแกว่งอาวุธทางการเงินและการคลัง เพื่ออัดฉีดการเติบโต ที่ชะลอตัวอย่างรวดเร็วในขณะที่กลุ่มประชากรสูงอายุขยายใหญ่ ปัญหาคาราคาซังในภาคอสังหาริมทรัพย์ และระดับหนี้สินบานตะไท
ด้านกลุ่มผู้กำหนดนโยบายก็ยินดีทุ่มหมดหน้าตัก โดยกำหนดยอดเกินดุลงบประมาณถึงระดับ 3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเพดานจิตวิทยา และสูงจากระดับแท้จริง 2.4 เปอร์เซนต์ของปีที่แล้ว ทั้งนี้ในจีนมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรระบุว่า เพดานยอดเกินดุลงบประมาณ (อย่างน้อยก็ในกระดาษ) จะไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี แต่ธรรมเนียมปฏิบัตินี้กำลังถูกท้ายทายในเร็วๆนี้แล้ว
“เราไม่สามารถตัดแนวโน้มที่ว่า ยอดเกินดุลฯอาจเกิน 3 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้าหรือหลังจากนั้น อัตราเติบโตที่ 6.5 เปอร์เซ็นต์ เป็น ‘เส้นเหล็กต่ำสุด’ ที่ไม่อาจแตกทะลุลงไปต่ำกว่านี้ได้...หากอัตราเติบโตชะลอตัวใกล้แตะระดับนี้ ก็จะมีการระดมนโยบายอัดฉีดการเติบโต ” จยา คัง อดีตนักวิจัยในหน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลังจีน และปัจจุบันเป็นสมาชิกในคณะกรรมการปรึกษาการเมืองแห่งชาติ
ในการแถลงรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงก็ได้กล่าวว่าอาจต้องไฟเขียวให้หน่วยงานรัฐบาลบางกลุ่ม ก่อหนี้สินเพิ่มได้
ด้านนโยบายการเงิน จีนก็ได้ตั้งเป้าอัตราเติบโต 13 เปอร์เซนต์ในภาคปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (broad money supply) สำหรับปี 2016 นี้ ซึ่งเป็นอัตราสูงจากระดับ 12 เปอร์เซ็นต์ของเมื่อปีที่แล้ว และยังเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลได้รวมเป้าหมายอัตราเติบโตสำหรับยอดรวมการเงินเพื่อสังคมที่สูงโด่งที่ระดับ 13 เปอร์เซนต์ในปี2016 ซึ่งเป็นการขานรับการแถลงความเห็นของผู้ว่าการธนาคารกลางจีน นาย โจว เสี่ยวชวน ที่กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า จีนอาจต้องผ่อนปรนนโยบายการเงิน
ในด้านการเชื่อมโยงการคมนาคม จีนมีแผนขยายเครือข่ายเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ถึง 30,000 กิโลเมตร ภายในปี 2020 จากตัวเลขล่าสุดเมื่อปลายปี 2015 จีนมีเครือข่ายเส้นทางรถไฟความเร็วสูง 19,000 กิโลเมตร มากกว่าความยาวของเส้นทางรถไฟฯทั้งโลกรวมกัน นอกจากนี้ยังเล็งที่จะสร้างทางเส้นทางรถไฟข้ามช่องแคบเชื่อมฝูโจวกับไทเป
ในการแถลงรายงานรัฐบาล นายกฯหลี่ยังกล่าวว่าจะให้ความสำคัญมากขึ้นกับการส่งเสริมนวัตกรรม ปกป้องสิ่งแวดล้อม และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน แต่ก็แทบไม่มีความริเริ่มทางนโยบายที่เจาะจงใหม่ๆเลย
นายกฯหลี่กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ “ต้องผ่านขั้นตอนปรับเปลี่ยนอย่างเจ็บปวด พร้อมๆไปกับขั้นตอนยกระดับอย่างมีความหวัง”
จีนกำลังอดทนกับความเจ็บปวด และโละโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ต้องการในภาคการผลิต
นายหยิน เว่ยหมิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคมเผยเมื่อปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมาว่า จะมีการปลดคนงานถึง 1.8 ล้านคน ในภาคการผลิตโดยเฉพาะภาคถ่านหินและเหล็ก เพื่อแก้ปัญหาการผลิตล้นเกิน และขณะนี้รัฐบาลก็ได้เตรียมงบฯแสนล้านหยวนสำหรับช่วยเหลือคนงานเหล่านี้
ขณะที่ผู้นำจีนวาดภาพสวยหรูของชาติสังคมนิยมที่มั่งคั่งขึ้น มีความสุขมากขึ้น โดยซุกความเสี่ยง “กับดักรายได้ปานกลาง” ไว้ข้างหลังภาพ ความขัดแย้งในเศรษฐกิจและช่องว่างรายได้ก็ปรากฏชัดเกินกว่าที่จะทำเป็นมองไม่เห็นบนท้องถนน