เอเจนซี—ผู้นำจีนประกาศตั้งเป้าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจในแต่ละปี ไม่ต่ำกว่า 6.5 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างช่วง 5 ปี ข้างหน้านี้ และวานนี้ (5 มี.ค.) นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ยังได้ประกาศยอดเกินดุลงบประมาณที่ระดับสูงที่สุดจากปี 2519 หรือในรอบ 40 ปี
ด้วยสถานการณ์ที่จีนต้องเผชิญปัญหาท้าทายใหญ่ในปีนี้ ทั้งพลวัตรเศรษฐกิจที่ชะลอตัวครั้งประวัติการณ์และสถานการณ์ไม่แน่นนอนทั่วโลก นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงได้แถลงรายงานกรอบงานของรัฐบาลแก่ที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนจีน หรือรัฐสภาเมื่อวันเสาร์(5 มี.ค.) ระบุว่าจีนจำเป็นต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ “แข็งแกร่ง” โดยยังไม่ใช้นวัตกรรมมาเป็นพลังขับดันใหม่ในการกอบกู้เศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากจุดต่ำที่สุด และกับดักรายได้ปานกลาง
พร้อมกันนี้รัฐบาลได้ตั้งเป้ายอดขาดดุลงบประมาณ ที่ 3 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หรือคิดเป็น 2.18 ล้านล้านหยวนสำหรับปี 2559 นี้ เพื่อเป็นหลักประกันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จะอยู่ใน “อัตราที่สมเหตุสมผล” เทียบกับยอดเกินดุลฯที่แท้จริงของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 2.4 เปอร์เซ็นต์ โดยยอดเกินดุลฯที่ตั้งไว้สูงเช่นนี้ จะช่วยรองรับการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกลุ่มบริษัท
“ในปีนี้ประเทศของเราเผชิญปัญหาหนักหน่วงยิ่งขึ้น เราต้องเตรียมพร้อมสู้ศึกใหญ่” นายกฯหลี่ กล่าว
นอกจากนี้ ในการแถลงรายงานของคณะกรรมาธิการเพื่อการปฏิรูปและพัฒนาแห่งรัฐ หรือ เอ็นดีอาร์ซี) ซึ่งเป็นมือขวาวางแผนการพัฒนาประเทศของรัฐบาลจีน ยังสำทับด้วยว่า “นโยบายที่แข็งแกร่ง และการทุ่มผลักดันเป็นสิ่งจำเป็นหากต้องการบรรลุอัตราเติบโตตามเป้า”
รัฐบาลกลางแดนมังกรได้ตั้งเป้าจีดีพีสำหรับปีนี้ ระหว่าง 6.5 และ 7 เปอร์เซ็นต์ และจะเพิ่มจีดีพีและรายได้ต่อหัวประชากรเป็นเท่าตัวจากระดับเมื่อปี 2553 ให้ได้ภายในปี 2563
ในรายงานของรัฐบาลยังระบุว่า ฮ่องกงและมาเก๊าจะมีบทบาทมากขึ้นในการใช้พลังที่แตกต่างของดินแดนมาช่วยพัฒนาจีน ขณะที่ทางปักกิ่งจะช่วยหนุนนวัตกรรมและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของฮ่องกง รวมทั้งภาคบริการด้านกฎหมายของดินแดน
หลี่กล่าวว่า หนึ่งในภารกิจที่จะผลักดันในปีนี้คือ การเชื่อมโยงตลาดหุ้นเซินเจิ้นและฮ่องกง โดยจะมีการจัดตั้ง “ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม”
ด้านกลุ่มนักวิเคราะห์กล่าวกันว่า เป็นการยากที่จะรักษาอัตราเติบโตเศรษฐกิจให้อยู่เหนือระดับ 6.5 เปอร์เซ็นต์ แม้ออกมาตรการใหม่ต่างๆมาช่วยฯ
“จากรายงานของรัฐบาล แสดงว่าจีนกลับมามุ่งส่งเสริมอัตราเติบโต มากกว่าแก้ปัญหาการผลิตล้นเกินและการลดหนี้
การกำหนดยอดเกินดุลงบประมาณที่สูงขึ้น และนโยบายการเงินที่ผ่อนปรน อาจเป็นมาตรการที่จะใช้ได้ผล แต่เป้าหมายอัตราเติบโตที่ตั้งไว้นั้นยังสูงไป ” เสิ่น เจี้ยนกวง หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ประจำมิซูโฮ ซีเคียวริตี้ เอเชีย (Mizuho Securities Asia) กล่าว และยังชี้เพิ่มเติมอีกว่ากระแสชะลอตัวเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ต่อไปและจะส่งผลต่อภาคการค้า
สำหรับปีนี้รัฐบาลมังกรไม่ได้เสนอเป้าหมายอัตราเติบโตของภาคการค้าอย่างเจาะจง หลังจากที่ผิดหวังกับผลประกอบการในปี 2558 ที่มูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมกันแล้ว หดไป 7 เปอร์เซ็นต์ในภาคสกุลเงินหยวน และตก 8 เปอร์เซ็นต์ในภาคสกุลเงินดอลลาร์ ส่วนเป้าหมายภาคการค้าที่รัฐบาลตั้งไว้ปีที่แล้ว เท่ากับ 6 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ ผู้นำจีนยังลั่นจะสร้างงานในเขตเมือง เพิ่มอีกมากกว่า 10 ล้านตำแหน่งในปีนี้ และกำหนดเพดานอัตราว่างงานในเมือง ที่ 4.5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้อัตราว่างงานที่แท้จริงเมื่อปีที่แล้ว เท่ากับ 4.05 เปอร์เซ็นต์ จากตัวเลขหน่วยงานรัฐ
กลุ่มเจ้าหน้าที่จีนหวังที่จะสร้างงานในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีใหม่
สำหรับในด้านนวัตกรรมนั้น นายกฯหลี่ก็ได้ย้ำในการแถลงรายงานฯว่า ภาคนวัตกรรมยังเป็นพลังขับดันพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ โดยในรายงานพิมพ์เขียวการพัฒนาระหว่างปี 2559-2563 ระบุจีนตั้งเป้าเป็นผู้นำโลกด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง อย่างเช่น เซมิคอนดักเตอร์ และในชั่วรุ่นหน้าก็จะเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ชิป (chip materials) หุ่นยนต์ อุปกรณ์ด้านการบิน และดาวเทียม
นอกจากนี้ งบประมาณด้านการวิจัยและการพัฒนา จะเพิ่มขึ้น 2.5 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีในช่วงห้าปีนี้ เทียบกับ 2.1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีระหว่างปี 2554 -2558
Yeung Yue-ting นักเศรษฐศาสตร์รุ่นอาวุโสของ ANZ Banking กล่าวว่าการควบคุมอัตราว่างงานจะเป็นปัญหามากที่สุดในการปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องบีบให้พวกโรงงานปิดกิจการ เพื่อขจัดภาวะการผลิตล้นเกิน ในขณะที่ภาคการวิจัยและการพัฒนายังไม่มีความต้องการแรงงานในอนาคตอันใกล้
เศรษฐกิจจีนจะไม่ตกกระแทกแรง
ในวันอาทิตย์(6 มี.ค.) ประธานคณะกรรมาธิการเพื่อการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งรัฐ นาย สีว์ เส้าสื่อ ประกาศว่า เศรษฐกิจจีนจะไม่ตกกระแทกอย่างแรง หรือ ฮาร์ดแลนดิ้ง (Hard Landing) และจะไม่มีการปลดคนงานขนานใหญ่ในช่วงที่จะมีการปิดสายการผลิตที่ล้าสมัย
นอกจากนี้ สีว์ยังยืนยันอีกว่าจีนจะไม่บั่นทอนการเติบโตเศรษฐกิจโลก โดยการเติบโตเศรษฐกิจมังกรที่ระดับ 6.9 เปอร์เซนต์เมื่อปีที่แล้ว ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยประคองเศรษฐกิจโลกอยู่ในเวลานี้ ส่วนสถานการณ์ว่างงาน ยังมี “แนวโน้มที่ดี” แม้มีนโยบายปิดโรงงานที่ล้าสมัย และโละโครงสร้างพื้นฐานในภาคถ่านหินและเหล็กที่เก่า ใช้การไม่คุ้มแล้ว