xs
xsm
sm
md
lg

10 ข่าวดัง เศรษฐกิจจีนแห่งปี 2014

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การประชุม สองสภา (สภาปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีน และสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน) นับว่ามีความสำคัญและเป็นที่จับตาของนานาชาติ ที่ต้องการทราบว่าทิศทางที่จีนจะก้าวไปนั้นเป็นอย่างไร (ภาพ news.cn)
เอเจนซี - ในรอบปี 2557 (ค.ศ. 2014) ที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนแม้จะสามารถประคองตัวผ่านวิกฤตชะลอตัวไปได้ ด้วยอัตราการเติบโตที่คาดว่าต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี ทว่าในทางการรุกคืบด้านต่างๆ ของเศรษฐกิจกลับมีนัยยะสำคัญต่างๆ มากมาย ซึ่งรับประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจจีนในปีนี้ได้อย่างดี ไชน่าเดลี ได้รวบรวมข่าวเศรษฐกิจดังในรอบปีทีผ่านมา มีดังนี้
รถเข็นสินค้าในซูเปอร์มารเก็ตในปักกิ่งเมื่อวันที่ 16 เม.ย.2557 ขณะที่สำนักสถิติแถลง เศรษฐกิจจีนไตรมาสแรก โตช้าสุดในรอบ 18 เดือน อันเป็นสัญญาณเตือนรัฐบาลในการประคับประคองเศรษฐกิจมังกร ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับสองของโลก (ภาพ รอยเตอร์ส)
1. นโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่บรรทัดฐานใหม่ของการพัฒนาที่ยั่งยืน
ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในปีที่ผ่านมา อาจจะทำให้จีนพลาดเป้าหมายที่วางไว้สำหรับตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (ร้อยละ 7.5) ประกอบกับการไม่ยอมปล่อยชุดกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ๆ เหมือนอดีตที่ผ่านมา โดยใช้แต่มาตรการเล็กๆ เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น

การตัดสินใจดังกล่าวเป็นมติจากการประชุมสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติ หรือ ซีพีพีซีซี (CPPCC) ครั้งที่ 4 ชุดที่ 11 ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ผู้นำจีนจากสองสภา (สภาปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีน และสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน) มีมติว่าจะเน้นการพัฒนาและเติบโตอย่างมีคุณภาพ และปรับพื้นฐานโครงสร้างเศรษฐกิจ มากกว่าจะเน้นตัวเลขจีดีพี ซึ่งเป็นการเติบโตเชิงปริมาณ

เซิง ไหล่หยุน โฆษกสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน กล่าวว่า แม้อัตราการขยายตัวจะชะลอลง แต่ก็ตระหนักได้ว่าเศรษฐกิจจีนได้ก้าวสู่ยุคเปลี่ยนผ่านสู่บรรทัดฐานใหม่ของการผลิต นั่นคือการเปลี่ยนไปสู่การผลิตเชิงคุณภาพเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตมากขึ้น

นายเซิง กล่าวว่า ข้อมูลสถิติมีตัวเลขการเติบโตในภาคอุตสาหกรรม่ใหม่อย่างรวดเร็ว สวนทางกับภาพรวมของเศรษฐกิจ ยิ่งเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนโฉมของจีนไปสู่เศรษฐกิจใหม่

เหวิน ปู่กั่ว รองผู้อำนวยการสำนักงานวิจัย หน่วยงานในการกำกับดูแลของคณะกรรมาธิการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน อันเป็นหน่วยงานวางแผนเศรษฐกิจจีนระดับชั้นนำ กล่าวว่า ขนาดที่แท้จริงของเศรษฐกิจ ได้เข้าสู่จุดที่ว่าไม่ได้คำนึงเพียงอัตราเร่งของการขยายตัวอีกต่อไป ขณะเดียวกัน ภาคขับเคลื่อนของเศรษฐกิจยุคเดิม อาทิ การส่งออก และภาคการลงทุน ก็เริ่มคลายแรงขับดัน โดยเศรษฐกิจจีนเริ่มพัฒนาไปสู่การผลิตที่สะอาด ไม่ผลาญทรัพยากร ดังนั้น จึงมีความต้องการลดลงในด้านพลังงาน และวัตถุดิบ ปัจจัยเหล่านี้ย่อมมีผลต่ออัตราเร่งของเศรษฐกิจภาพรวมที่ชะลอตัวลง

เหวิน กล่าวว่าศักยภาพในการแข่งขันของจีนเวลานี้ ขึ้นอยู่กับนวัตกรรม เทคโนโลยี และตลาดการผลิตก็คงจะทรงระดับการขยายตัวไม่ให้เร่งเร็วแบบเน้นปริมาณเช่นเดิม และรัฐบาลก็จะใช้นโยบายกระตุ้นเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

จู ไห่ปิน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ จากเจพีมอร์แกน กล่าวคาดการณ์ว่า ในรอบหลายเดือนถัดจากนี้ นโยบายที่เกี่ยวกับการเติบโตเศรษฐกิจจีนคงจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก เช่นเดียวกับนโยบายการเงิน โดยการเติบโตของสินเชื่อจะยังคงมีเสถียรภาพฯ
ทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน (ด้านหลังคนขวา) และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย (ด้านหลังคนซ้าย) ต่างเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามข้อตกลงในนครเซี่ยงไฮ้เมื่อวันพุธ (21) ระหว่าง อเล็กเซย์ มิลเลอร์ ซีอีโอของ กาซปรอม (ด้านหน้าคนซ้าย) กับ โจว จี้ผิง ประธานของไชน่า เนชั่นแนล ปิโตรเลียม (ด้านหน้าคนขวา) โดยที่ฝ่ายจีนจะซื้อก๊าซจากรัสเซีย มูลค่าสูงถึง 400,000 ล้านดอลลาร์ ในระยะเวลา 30 ปี
2. จีน-รัสเซีย ลงนามซื้อขายก๊าซธรรมชาติ 30 ปี
ไชน่า เนชั่นแนล ปิโตรเลียม คอร์ป กับ กาซปรอมกิจการส่งออกก๊าซธรรมชาติอันดับหนึ่งของรัสเซีย โดยมีปูติน และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ร่วมเป็นสักขีพยานการตกลงการค้าที่รอคอยมานานกว่าทศวรรษ

ข้อตกลงที่มีความผูกพันกัน 30 ปีนี้ บรรลุเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 400,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะรับประกันความมั่นคงด้านพลังงานของจีนในการบริโภคอีกกว่า 2 ทศวรรษข้างหน้า โดยข้อตกลงนี้กำหนดให้กาซปรอม รัฐวิสาหกิจพลังงานของรัสเซีย จัดส่งก๊าซธรรมชาติให้ไชน่า เนชั่นแนล ปิโตรเลียม (ซีเอ็นพีซี) รัฐวิสาหกิจน้ำมันของปักกิ่งปีละ 38,000 ล้านลูกบาศก์เมตรเป็นเวลา 30 ปี และจะเริ่มส่งผ่านท่อส่งก๊าซทางภูมิภาคตะวันออกที่ร่วมสร้างโดยซีเอ็นพีซี และกาซปรอมตามข้อตกลงดังกล่าวฯ ในอีก 4 ปีข้างหน้า
นับจากที่จีนเริ่มหันมาพุ่งเป้าตรวจสอบกลุ่มรถยนต์ ออดี้ บีเอ็มดับเบิลยู, จากัวร์ แลนด์ โรเวอร์, ไคร์สเลอร์, โตโยต้า, และฮอนด้า ก็พากันประกาศหั่นราคาผลิตภัณฑ์ทั้งรถยนต์และชิ้นส่วน ในภาพ: โรงงาน BMW ในเสิ่นหยัง มณฑลเหลียวหนิง (ภาพรอยเตอร์ส)
3. ปราบปรามผูกขาด-สกัดภัยมั่นคง ส่งผลราคารถยนต์ลดฮวบ
ด้วยอานิสงส์จากปฏิบัติการลุยปราบปรามการผูกขาดของกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ในประเทศจีน ทำให้กลุ่มผู้บริโภคในจีนได้กินได้ใช้ผลิตภัณฑ์แบรนด์ดังกันในราคาที่ถูกลง จากก่อนหน้าที่ยักษ์ใหญ่แบรนด์ต่างชาติ อาทิ รถยนต์ออดี้(Audi) และยักษ์กาแฟสตาร์บัคส์(Starbucks) ได้ฟันกำไรบานในจีนมากเสียยิ่งกว่าในลอนดอนและนิวยอร์ก

เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดได้ไปบุกสำนักงานบริษัทรายใหญ่ต่างชาติและ ดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมผูกขาด ทั้งนี้จีนได้คลอดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดออกมาบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2552 โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ คณะกรรมการเพื่อการปฏิรูปและการพัฒนา หรือเอ็นดีอาร์ซี คณะกรรมการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ เป็นต้น

ปฏิบัติการปราบปรามการผูกขาดนี้ เริ่มโหมหนักจากเมื่อปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบสำนักงานยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ ทั้งสำนักงานบริษัทผลิตซอฟท์แวร์รายใหญ่แห่งไมโครซอฟท์(Microsoft), ควอลคอมม์(Qualcomm), แคทเทอร์พิลลาร์ (Caterpillar), มีด จอห์สัน (Mead Johnson Nutrition) ดานอน(Danone) เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) และเจนเนอรัล มอเตอร์ส (General Motors) แห่งสหรัฐฯ ก็เป็นเป้ารายล่าสุดที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบ โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมผูกขาดของกลุ่มบริษัทมากกว่า 1,000 ราย

นับจากเดือนกรกฎาคม ที่คณะกรรมการเพื่อการปฏิรูปและการพัฒนา หรือเอ็นดีอาร์ซี เริ่มหันมาพุ่งเป้าตรวจสอบกลุ่มรถยนต์ ออดี้ บีเอ็มดับเบิลยู (BMW), จากัวร์ แลนด์ โรเวอร์ (Jaguar Land Rover), ไคร์สเลอร์, โตโยต้า, และฮอนด้า ก็พากันประกาศหั่นราคาผลิตภัณฑ์ทั้งรถยนต์และชิ้นส่วนฯ ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ออดี้ เจอค่าปรับ 250 ล้านหยวน โทษฐานผูกขาด
แจ็ค หม่า ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานผู้บริหารของอาลีบาบาวัย 49 ปี ในวันเข้าตลาดวันแรกปิดราคาที่ $93.89 มูลค่ามากกว่า “อะเมซอน-อีเบย์” รวมกัน (ภาพเอพี)
4. “อาลีบาบา” เข้าตลาดวันแรกปิด $93.89 มูลค่ามากกว่า “ อะเมซอน-อีเบย์” รวมกัน
หุ้นอาลีบาบา (BABA) เปิดตัววันแรกในตลาดหุ้นนิวยอร์กอย่างสวยงาม ปิดที่ราคา $93.89 จากราคาไอพีโอ $68 มูลค่าแซงอะเมซอน-อีเบย์รวมกัน เปิดศักราชใหม่บริษัทจีน กลายเป็นธุรกิจอินเทอร์เน็ตขนาดใหญ่ที่สองของโลก รองเพียงแค่กูเกิล

เมื่อวันที่ 19 กันยายน กลุ่มอาลีบาบา โฮลดิ้ง เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของโลกสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ราคาเปิดสูงถึง 92.70 เหรียญสหรัฐฯ หรือสูงกว่าราคาที่เสนอขายเป็นครั้งแรกที่ 68 เหรียญสหรัฐฯ ถึงร้อยละ 40 ทำให้มูลค่าของอาลีบาบานั้นแซงยักษ์ใหญ่ในโลกอินเทอร์เน็ตอย่างเฟซบุ๊กไปตั้งแต่วันแรกที่ทำการซื้อขายในตลาด

ขณะนี้อาลีบาบามีมูลค่ามากถึง 231,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 7.45 ล้านล้านบาท หรือเปรียบได้ว่าใหญ่กว่ายักษ์ใหญ่ด้านอี-คอมเมิร์ซของสหรัฐฯ อย่าง อะเมซอน และอีเบย์รวมกันเสียอีก นอกจากนี้ยังถือได้ว่าใหญ่เทียบยักษ์ใหญ่ระดับท็อป 10 ของดัชนีเอสแอนด์พี 500 อีกด้วย จากการอ้างอิงของบลูมเบิร์ก

การเสนอขายหุ้นไอพีโอในตลาดนิวยอร์กวานนื้ถือเป็นบทใหม่สำหรับบริษัทจีนที่มีอายุเพียง 15 ปี และถือเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นด้วย แจ็ค หม่า ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานผู้บริหารของอาลีบาบากล่าว

“หนทางข้างหน้าจะยากขึ้น เพราะสิ่งที่เราระดมขึ้นมานั้นมากกว่าเงิน เราได้ระดมความเชื่อมั่นของลูกค้าเข้ามาด้วย” หม่าผู้บริหารวัย 49 ปี ซึ่งในอดีตเคยประกอบอาชีพเป็นครูสอนภาษาอังกฤษระบุ และว่าการออกไอพีโอครั้งนี้ถือเป็นหลักไมล์สำคัญของบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง และแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวความสำเร็จและการทำงานอย่างหนักของชาวอาลีบาบาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา

“เราโชคดี โชคของเรามาจากลูกค้าของเรา อินเทอร์เน็ต และประเทศจีน (หมายถึงตลาดอี-คอมเมิร์ซในจีนที่เติบโตอย่างมาก) และเราก็สำนึกในความโชคดีเหล่านั้น” หม่ากล่าวก่อนเคาะระฆังเปิดตลาดตามประเพณี

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินบางส่วนก็แสดงความวิตกว่าขนาดการไอพีโอที่ใหญ่มหาศาลของอาลีบาบาจะทำให้ บริษัทจากจีนกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ อย่าง อะเมซอน และอีเบย์ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนก็เชื่อว่าในระยะสั้นอี-คอมเมิร์ซของสหรัฐฯ จะไม่ได้รับผลกระทบอะไร

“เมื่อการออกไอพีโอของอาลีบาบาสำเร็จ พวกเขาต้องมุ่งเป้าไปที่การขยายตัวและเพิ่มขนาดของการค้าอี-คอมเมิร์ซในตลาดจีน ด้วยการปรับปรุงการขนส่งไปยังพื้นที่ห่างไกล ให้คนเหล่านั้นสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์ได้เพิ่มขึ้น” ทูดอร์กล่าว และว่า สิ่งนี้ถือเป็นข่าวดีของแบรนด์ระดับโลก และผู้ค้ารายย่อยของสหรัฐฯ ในการใช้อาลีบาบาเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าชาวจีน

การขยายตัวของอาลีบาบาครั้งนี้ ยังส่งผลให้แจ็คหม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา เมื่อปี 1999 ในอพาร์ทเมนต์ของตัวเองที่เมืองหางโจว ประเทศจีน กลายเป็นผู้ร่ำรวยมากที่สุดในจีน เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 34 ของโลก โดยเบื้องต้นมีการประเมินว่าทรัพย์สินของหม่า มีมูลค่ามากกว่า 2.19 หมื่นล้านเหรียญ
ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิล “Larry Page” จับมือกับซีอีโอเลอโนโว “Yang Yuanqing” หลังจากเลอโนโวตกลงซื้อกิจการโทรศัพท์มือถือของโมโตโรลาจากกูเกิลด้วยมูลค่า 2.91 พันล้านเหรียญสหรัฐ
5. เลอโนโวทุ่ม 2.3 พันล้านดอลล์ฮุบธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ x86 ของไอบีเอ็ม
เมื่อวันที่ 29 กันยายน เลอโนโวเจรจาซื้อธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ x86 ของไอบีเอ็ม ครอบคลุมซิสเต็มส์ เอ็กซ์, เบลดเซ็นเตอร์ เฟล็กซ์ ซิสเต็มส์ เบลด และสวิตช์, x86 เบส เฟล็กซ์ อินทิเกรเต็ด ซิสเต็มส์, เน็กซ์สเกล และไอดาต้า เพล็กซ์ รวมถึงซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้อง, เบลด เน็ตเวิร์กกิ้ง เป็นผลให้เลอโนโวก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการฯ รายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ไล่หลังรายใหญ่อย่างฮิวเล็ต แพกการ์ด และเดลล์ อิงก์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ (2005) ก็ได้ซื้อกิจการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของไอบีเอ็มไปก่อนแล้ว

นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคมถัดมา เลอโนโวยังได้ตามซื้อโมโตโรลาจากกูเกิล ในราคา 2,910 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้เลอโนโวผงาดเป็นกิจการสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ตามหลังเพียงแอปเปิล และซัมซุง
บรรยากาศการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในงานตลาดนัดซื้อขายที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่งในจีน ซึ่งกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังรัฐบาลผ่อนกฎคุมเข้มฯ
6. ผ่อนคลายกฎควบคุมอสังหาริมทรัพย์และเงื่อนไขสินเชื่อฯ
เมื่อวันที่ 30 กันยายน ธนาคารกลางจีนได้ยอมผ่อนคลายมาตรการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยการผ่อนปรนให้ผู้ซื้อบ้านหลังที่สองสามารถซื้อขายวางเงินดาวน์ที่ต่ำและยังได้รับการพิจารณาสินเชื่อ หลังก่อนหน้านี้จะพิจารณาให้เฉพาะผู้ซื้อบ้านหลังแรก หรือผู้ซื้อหลังที่สองที่ผ่อนหนี้หลังแรกหมดแล้ว

เช่นเดียวกับผู้ซื้อบ้านหลังที่สาม ก็ได้รับอานิสงค์จากการผ่อนปรนมาตรการนี้ด้วย อันเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลต้องการกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้งในไตรมาสที่ 4 หลังซบเซาจากการคุมเข้มมานาน โดยคาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะกลับมาโตได้ในครึ่งหลังของปี 2015
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โบกมือทักทายประชาชนที่มารอต้อนรับ โดยมีนายอับดุลลา ยามีน ประธานาธิบดีมัลดีฟส์ เดินเคียงอยู่ด้านข้าง (ภาพ ซินหวา)
7. “เส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21” เชื่อมการค้าข้ามทวีป
นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้เริ่มต้นขอแรงสนับสนุนในการสร้าง “เส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21” ซึ่งจะเชื่อมการค้าระหว่างจีน อาเซียน ผ่านมหาสมุทรอินเดีย และไปจรดทวีปยุโรปปลายทาง โดยเมื่อวันที่ 15 กันยายน ผู้นำจีนได้เดินทางไปประเทศมัลดีฟส์เป็นแห่งแรก

ผู้นำแดนมังกรกล่าวว่า “จีนยินดีต้อนรับมัลดีฟส์สู่การร่วมมือกันสรรสร้างเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 นี้ ด้วยการดึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของตนเองออกมา”

การเริ่มเส้นทางสายไหมฯ ครั้งนี้ เป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทางการเมืองและแสวงความร่วมมือระหว่างเอเชีย-ยุโรป ซึ่งนอกจากมัลดีฟ ยังมี ทาจิกิสถาน ศรีลังกา และอินเดียด้วย พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีจีนยังได้ประกาศตั้งกองทุนเส้นทางสายไหม 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเส้นทางสายไหม ด้วยการลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภค วิทยาการ และการเงินในกลุ่มประเทศในเส้นทางสายไหมนี้
ประธานาธิบดีปาร์ค กึน-เฮ ของเกาหลีใต้ สัมผัสมือนายกรัฐมนตรีเหวียน เติ๋น ยวุ๋ง ระหว่างแถลงข่าวร่วมกันหลังหารือทวิภาคี วันที่ 10 ธ.ค.-(ภาพรอยเตอร์ส)
8. การค้าทวิภาคีจีน-อาเซียน-เอเชียแปซิฟิก แผ่ขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว
การพบปะหารือระหว่างผู้นำ 21 ชาติในเอเชียแปซิฟิก รอบล่าสุด มีวาระสำคัญอยู่ที่การกระชับสัมพันธ์การค้าระหว่างภูมิภาค ซึ่งการตกลงครั้งประวัติศาสตร์นี้ จีนสนับสนุนแผนการค้าเสรีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยพร้อมกันนี้ ยังได้เตรียมเวลา 2 ปีสำหรับวิจัยเขตการค้าเสรีเอเชียแปซิฟิก

ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม จีนยังได้บรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับเวียดนาม เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย โดยในส่วนของเวียดนามและเกาหลีใต้นี้ ทั้งสองประเทศมีกำหนดที่จะเริ่มข้อตกลงขั้นต้นในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าก่อนลงนามอย่างเป็นทางการ และได้รับการรับรองจากรัฐสภา ซึ่งข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคีฯ ครอบคลุมใน 17 ภาคส่วน ที่รวมทั้งสินค้า การบริการ การลงทุน และสิทธิในทรัพย์สินทางปัญหา โดยเวียดนามเห็นชอบที่จะเปิดเสรีสินค้านำเข้าจากเกาหลีใต้ร้อยละ 92.2 ส่วนอัตราการเปิดเสรีของเกาหลีใต้จะอยู่ที่ร้อยละ 94.7
โครงการเชื่อมโยงระบบซื้อขายหุ้นตลาดหุ้นฮ่องกงกับเซี่ยงไฮ้เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 พ.ย. 2557 โดยคาดว่าจะมีการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนหลายพันล้านดอลลาร์ในแต่ละวัน – ภาพรอยเตอร์ส
9. โครงการ Shanghai-Hong Kong Stock Connect
โครงการซื้อขายหุ้น Shanghai-Hong Kong Stock Connect ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในฮ่องกงเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พร้อมความคาดหวังว่าจะสร้างมูลค่าการซื้อขายหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างเซี่ยงไฮ้กับฮ่องกง และยังเป็นการเปิดประตูการเงินเชื่อมจีนแผ่นดินใหญ่กับตลาดการเงินโลก โดยนักลงทุนฯ ซึ่งมีวงเงินมากกว่า 500,000 หยวนขึ้นไป สามารถซื้อหุ้นฮ่องกง ผ่านโบรคเกอร์ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และเช่นเดียวกัน ผู้ลงทุนในฮ่องกง ก็สามารถซื้อหุ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้ที่มีเงื่อนไขควบคุมเข้มงวด

โครงการนี้ ช่วยพัฒนาให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางเงินหยวนนอกประเทศจีน พร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพให้กับตลาดหุ้นทั้งสอง
ธนาคารกลางจีนในกรุงปักกิ่ง ปรับลดครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี หรือตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2555 ทำให้มีความหวังว่าจะสร้างสภาพคล่องของตลาดและกระตุ้นเศรษฐกิจหลังเติบโตต่ำสุดในรอบ 5 ปี  –รอยเตอร์ส
10. ธนาคารกลางจีนลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 2 ปี
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว ธนาคารกลางของจีน (พีบีโอซี) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี โดยลดระดับดอกเบี้ยเงินฝากรายปีลงอีกร้อยละ 0.25 เหลือเพียงร้อยละ 2.75 และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 0.40 ลงไปอยู่ที่ร้อยละ 5.6

การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ถือว่าเหนือความคาดหมายและเป็นการปรับลดครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี หรือตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2555 ทำให้มีความหวังว่าจะสร้างสภาพคล่องของตลาดและกระตุ้นเศรษฐกิจหลังเติบโตต่ำสุดในรอบ 5 ปี

การตัดสินใจดังกล่าว ได้รับขานรับจากตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากเศรษฐกิจจีนถูกกดดันอย่างหนักจากภาวะชะลอตัว และต้นทุนการกู้เงินที่สูงขึ้น โดยจีดีพีของจีนในไตรมาส 3 ชะลอการเติบโตร้อยละ 7.3 จากร้อยละ 7.5 ในไตรมาส 2 และร้อยละ 7.4 ในไตรมาสแรก ของปี 2557

เอลิซ่า หลิว นักเศรษฐศาสตร์ประจำซีซีบี อินเตอร์เนชั่นแนล ซีเคียวริตี้ส์ระบุว่า การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีน เนื่องจากเห็นว่า บริษัทผู้ประกอบการของจีนไม่สามารถแบกรับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่สูงในปัจจุบันได้ นอกจากนั้น ยังคาดว่า ธนาคารกลางจีนอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาสหน้า เพื่อสู้กับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดและผลกำไรของภาคอุตสาหกรรม ที่ชะลอการเติบโต

ทั้งนี้ ผู้คุมกฎของจีนได้ยกเลิกฟลอร์ของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เมื่อปี 2556 เพื่อเปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์แข่งขันปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อหาลูกค้า อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ยังไม่สามารถทำให้ต้นทุนเงินกู้ของบริษัทเอกชนลดลงได้ โดยยังคงแบกรับต้นทุนที่สูงอยู่ ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อยดิ้นรนหาแหล่งเงินกู้ และมักใช้ช่องทางนอกงบดุล ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอย่างมาก


กำลังโหลดความคิดเห็น