เอเจนซีส์ – ตำรวจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สามารถจับกุม ดาลา อัล ฮาเชมี (Dala al Hashemi) ผู้ต้องสงสัยในชุมคลุมอิสลามแบบเต็มตัวบูร์กา ชาวเยเมน วัย 38 ปี ที่ลงมือใช้มีดแทง ไอโบลยา ไรอัน (Ibolya Ryan) ครูสอนภาษาอังกฤษชาวอเมริกันวัย 47 ปี ในห้องน้ำสตรีของห้าง และพบว่า 1 ชม.หลังจากนั้นวางแผนจะลงมือก่อการร้ายวางระเบิดบ้านแพทย์สหรัฐฯที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนื่องจากต้องการโจมตีสหรัฐฯ
หลังจากเกิดเหตุไอโบลยา ไรอัน (Ibolya Ryan) ครูสอนภาษาอังกฤษชาวโคลาโดวัย 47 ปี คุณแม่ลูกแฝด ที่อาศัยในตะวันออกกลางพร้อมบุตรชายวัย 10ปี ถูกมือมีดแทงเสียชีวิตภายในห้องน้ำห้างอาบูดาบี ซึ่งจากกล้องวงจรปิดของทางห้างพบผู้ต้องสงสัยสวมชุดคลุมอิสลามบูร์กาบริเวณหน้าลิฟต์ และรีบเดินหลบออกไปจากตัวห้างอย่างรวดเร็วหลังเกิดเหตุ
และล่าสุดเมื่อวานนี้(5)เดลี เมล สื่ออังกฤษรายงานว่า หลังจากตำรวจได้เข้าจู่โจมบุกค้นบ้านพักของดาลา อัล ฮาเชมี (Dala al Hashemi) ชาวเยเมน วัย 38 ปี พบว่าบ้านของเธอเป็นฐานปฎิบัติการก่อการร้าย และไม่ได้ลงมือเพียงตามลำพัง และยังพบว่ามี 1 ชม.หลังจากนั้นลงมือวางระเบิดทำมือที่หน้าอพาทเมนท์แพทย์ชาวสหรัฐฯเชื้อชาติอียิปต์ ซึ่งทางตำรวจพบว่าผู้ต้องสงสัยไม่รู้จักชาวอเมริกันทั้งสองเป็นการส่วนตัว แต่มีเป้าหมายโจมตีไปที่ผลประโยชน์สหรัฐเท่านั้น แต่ทว่าเคราะห์ดีที่บุตรชายของแพทย์เจ้าของบ้านพบระเบิดที่ประกอบจากกระป๋องก๊าซ ที่จุดบุหรี่ กาว และตะปูจำนวนหนึ่งเสียก่อน และสามารถถอดระเบิดออกมาได้ด้วยความปลอดภัย
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า นอกจากต้องการโจมตีสหรัฐฯแล้ว ยังมุ่งก่อความไม่สงบในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และข่มขู่ให้ประชาชนประเทศนี้ให้ตกอยู่ในความกลัว แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนเพื่อค้นหาจุดมุ่งหมายของผู้ลงมือก่อเหตุต่อไป
สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า ในวันพฤหัสบดี(4) สหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ได้เผยแพร่ภาพวิดีโอ แสดงให้เห็นการบุกจับของเจ้าหน้าที่ในช่วงกลางดึกที่บ้านพักของฮาเชมี และในวิดีโอยังแสดงให้เห็นถึงรถ SUV สีขาวของเธอที่พบจอดในบ้านนั้นตรงกับที่พบขับออกไปจากห้างยามเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีร่องรอยเลือดพบที่บริเวณพวงมาลัย และกระเป๋าเดินทางสีดำ ซึ่งเป็นใบเดียวกับที่คนร้ายถือไปยังบ้านพักของนายแพทย์สหรัฐฯที่เธอต้องการวางระเบิด
นอกจากนี้ พยานในเหตุการณ์จ้วงแทงไรอัน ครูสอนภาษาอังกฤษ ได้ให้สัมภาษณ์กับเดลีเมลว่า ไรอันถูกแทงมากถึง 6 ครั้ง ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ไรอัน วัย 47 ปีเกิดในฮังการี เติบโตในโรมาเนีย และศึกษาในสหรัฐฯ นอกจากนี้เธอยังมีประสบการณ์สอนภาษาอังกฤษในต่างแดนทั่ว 3 ทวีปมานานกว่า 15 ปี ก่อนที่จะย้ายมาที่อาบูดาบี โดยเธอถูกพบนอนเสียชีวิตจมกองเลือดภายในห้องน้ำของห้างสรรพสินค้าบูริก Bourik ที่ถือเป็นห้างระดับหรูในกรุงอาบูดาบี
และในขณะที่หน่วยรักษาความปลอดภัยของห้างรุดไปยังบริเวณที่เกิดเหตุ มือแทง ญิฮัดเยเมนวัย 38 ปีที่สวมบูร์กาอันเป็นเครื่องแต่งกายที่พบได้ทั่วไปในตะวันออกกลางแอบหลบไปบริเวณหน้าลิฟต์แล้ว และเดินออกไปยังลานจอดรถอย่างใจเย็น แต่คนร้ายได้ทิ้งมีดทำครัว อาวุธสังหารไว้เบื้องหลังในที่เกิดเหตุ
และในวิดีโอล่าสุดที่ทางเจ้าหน้าที่เผยแพร่พบว่า หลังจากนั้นฮาเชมี คนร้ายมือมีด มุ่งหน้าไปยังบ้านพักของแพทย์ชาวอเมริกัน และพบเห็นเธอถือกระเป๋าเดินทางสีดำติดตัวไปด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอพาทเมนต์ให้ข้อมูลว่า เห็นหญิงในชุดบูร์กาเดินเข้าไปยังอพาทเมนต์และหลบออกไปอย่างรวดเร็ว
ด้าน NBC News สื่อสหรัฐฯ รายงานเพิ่มเติมเมื่อวานนี้(5)ว่า ไอรีนา บาลาสซี ( Irina Balazsi) พี่สะใภ้ของไรอันในอเมริกาให้ข้อมูลว่า มารดาของผู้เสียชีวิตที่ในขณะนี้อยู่ในโรมาเนียไม่ได้รับทราบข้อเท็จจริงในการเสียชีวิตของบุตรสาว โดยได้แจ้งเพียงว่า ไรอันนั้นประสบอุบัติเหตุทางรถในวันจันทรร์(1)เพื่อไม่ให้เธอเสียขวัญจากความจริงที่โหดร้ายที่พบว่า ลูกสาวของเธอตกเหยื่อก่อการร้ายในตะวันออกกลาง ส่วนพี่ชายของไรอันนั้นไม่ได้รับทราบข่าวการเสียชีวิต เนื่องจากในขณะนี้ล้มป่วย และเกรงจะกระทบต่อจิตใจ โดยบาลาสซีให้ความเห็นว่า “ทั้งครอบครัวต่างช็อกกับข่าวการเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วนของไรอัน”
และหลังจากการเสียชีวิตของไอโบลยา ไรอัน พลเมืองสหรัฐฯ พบว่าก่อนหน้านั้นในวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา สถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงอาบูดาบี ออกแถลงการณ์เตือนชาวอเมริกันที่ทำงานด้านการสอน และเกี่ยวข้องกับโรงเรียนนานาชาติให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเว็บไซต์ของกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธประกาศตั้งเป้าจะโจมตีพลเมืองอเมริกันในสายอาชีพนี้เป็นพิเศษในตะวันออกกลาง และยังให้คำแนะนำในการปฎิบัติตัว อาทิ หลีกเลี่ยงการรวมตัวในที่ชุมชน หรือควรจะบอกกับผู้ร่วมงานเมื่อต้องการเดินทางไปยังสถานที่ใด พร้อมบอกเวลาการกลับเพื่อให้ทราบหากมีสิ่งผิดสังเกต และนำโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วยเสมอ พร้อมกับบันทึกหมายเลขฉุกเฉินหากเกิดเหตุ
